บทที่๘...ไม่เคยรู้ (๒)
“เงินนั้นเธอชดใช้ให้ฉันด้วยร่างกายสิ”คำพูดกำกวมทั้งยังแววตาที่มีความปรารถนาของเขาทำให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ก็ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
“คุณหมายความว่ายังไง”ภราดรไม่ตอบคำถามของเธอแต่จุมพิตหญิงสาวแผ่วเบาก่อนจะผละออกด้วยเวลาไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ
“ต่อจากนี้เธอต้องมีแค่ฉัน มาหาฉันทุกครั้งที่เรียก”แต่นั้นมันก็อยู่ในข้อตกลงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เมื่อยังคงเห็นเปมิกาทำหน้าสงสัยจึงเอ่ยต่อ
“จนกว่าฉันจะเบื่อ ต่อจากนั้นค่อยใช้เงินคืนแล้วกัน”ไม่รู้ว่าเรียกว่าคุ้มได้ไหมในเมื่อร่างกายสมส่วนของเปมิกาเขาก็เห็นหมดทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงยื่นข้อเสนอบ้าๆ แบบนี้ให้อีกฝ่าย
“แสดงว่าถ้าคุณเบื่อฉันเมื่อไหร่ ก็ให้ใช้หนี้ให้คุณใช่ไหม”พยักหน้าเป็นการตอบ อาจเพราะไม่ชอบที่จะให้เธอไปเป็นของใครทั้งที่ตนเองยังใช้ไม่คุ้ม ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่เบื่อผู้ชายหน้าไหนก็ไม่สามารถเอาตัวดาราสาวไปได้ทั้งนั้น ความคิดของเขา...ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน
“ใช่ แต่คงไม่เร็วๆ นี้หรอก”หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดด้วยคำพูดของเขา ทุกคนเห็นเธอเป็นสินค้าที่จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ไม่คิดว่าจะรู้สึกอะไรเลยใช่ไหมทั้งที่ความจริงแล้วต่อให้ถูกทำร้ายมาบ่อยเพียงไรใจก็ไม่ได้ชินชากลับยิ่งสร้างบาดแผลให้ชัดขึ้นเรื่อยเหมือนอย่างตอนนี้
“ขอบคุณที่กรุณานะคะ”กล้ำกลืนฝืนทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะตัดสินใจเองทุกอย่างมันเริ่มจากเธอทั้งนั้นหากไม่ยุ่งกับภราดรหรือพ่อเลี้ยงคงได้อยู่อย่างสงบมากกว่านี้
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มตอนนี้เลยไหม”คว้าเอวบางมาก่อนจะจับนอนลงโดยมีตนเองคร่อมอยู่ทำเอานักแสดงสาวตกใจกับเหตุการณ์แบบนี้
“คุณดลจะบ้าเหรอ ออกไปเดี๋ยวนี้อายเขา”ตอนโมโหเธอก็ดูน่ารักไปอีกแบบ ยิ่งใบหน้าหวานยามเขินอายก็เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าคมได้เหมือนกัน
“คิดอะไรฉันแค่จะเอาใบไม้ออกให้”หยิบใบมะขามที่ร่วงใส่ผมนุ่มสลวยออกช้าๆ ก่อนจะนอนลงข้างเธอโดยไม่ลืมใช้แขนตนเองเป็นหมอนชั่วคราวให้คนข้างกาย
“ในเมื่อเธอเล่าตำนานพระจันทร์ให้ฟังฉันก็จะเล่านิทานตอบแทน”ความเงียบที่เข้าครอบงำพร้อมความคิดของเปมิกาที่ล่องลอยไปไกล ความเจ็บปวดยังคงไม่จางหายแต่เขาก็ดึงเธอขึ้นจากความรู้สึกที่จมอยู่กับตนเอง
“เคยฟังไหมดาวลูกไก่”มองบนฟ้าเห็นหมู่ดาวที่เกาะกลุ่มกันมากมายก่อนที่จะมองตามนิ้วที่ชี้ให้ดูดาวที่อยู่ด้วยกันเจ็ดดวง
“ไม่น่าจะเคย”พูดปดเพราะอยากฟังนิทานจากภราดร นิทานดาวลูกไก่มีใครบ้างไม่เคยฟัง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ บ้านเชิงเขา มีสองตายายอาศัยอยู่กับแม่ไก่ 1 ตัว และลูกไก่อีก 7 ตัว ตายายเลี้ยงดูพวกมันเป็นอย่างดี วันหนึ่งมีพระธุดงค์มาปักกลด ตากับยายจึงพากันไปกราบไหว้ และกลับมาคุยกันว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารอะไรไปถวายพระกันดี ‘พืชผักที่ปลูกไว้ก็ขายหมดแล้ว’ ตาจึงบอกว่า ‘สงสัยเราคงจะต้องฆ่าแม่ไก่ไปทำแกงแล้วล่ะ’ แม่ไก่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจึงรีบกลับไปบอกลาลูกๆ ทั้ง 7 ตัวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทั้งหมดจะโผเข้ากอดกันร่ำไห้”ใบหน้าหวานหันมามองเสี้ยวหน้าคมซึ่งดูมีความสุขกับการเล่า
“เช้าวันรุ่งขึ้น ตากับยายก็ฆ่าแม่ไก่ไปทำแกงถวาย ลูกไก่ทั้ง 7 ตัว จึงปรึกษากันว่า เมื่อไม่มีแม่แล้วพวกตนจะอยู่กันอย่างไร ขอตายตามแม่ไก่ไปจะดีกว่า จากนั้นลูกไก่ทั้ง 7 ตัวก็พร้อมใจกันกระโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ไปทันที ด้วยอานิสงส์ผลบุญของแม่ไก่และความกตัญญูของลูกทั้ง 7 ตัว ส่งผลให้บรรดาลูกไก่ไปเกิดเป็นกลุ่มดาว 7 ดวง ที่เราเรียกว่า ‘ดาวลูกไก่’ ทำไมนิทานมีแต่เรื่องเศร้าก็ไม่รู้”เล่าจบก็ถอนหายใจออกมาไม่รู้ตัว
“แต่คุณเล่าเก่งนะ ตอนเด็กชอบฟังนิทานเหรอ”เอ่ยชมด้วยความจริงใจ วันนี้รู้สึกมีความสุขแม้ว่าจะผ่านเรื่องเฉียดตายและข้อเสนอที่เขาเพิ่งกล่าวกับเธอเมื่อสักครู่ ถ้าลบสองเรื่องนี้ออกไปวันนี้ก็คือวันที่เธอรู้สึกได้ถึงตัวตนจริงของอีกฝ่าย
“ไม่หรอก แม่ไม่ค่อยเล่านิทานให้ฉันฟังแต่ที่พอเล่าได้ก็เพราะหลานฉันชอบฟังเลยต้องมีนิทานในหัวไว้เล่า”พูดถึงหลานตัวน้อยก็เริ่มคิดถึง ปกติเขาเป็นคนไม่ชอบเด็กแต่พอมาเจอลูกของเพื่อนที่มันขยันทำการบ้านจนออกมาแล้วสี่หน่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
“คุณเนี่ยนะเล่านิทานให้เด็กฟัง”ถามด้วยไม่อยากจะเชื่อ ใบหน้านิ่งดูดุแบบนี้เข้ากับเด็กได้ด้วยหรือ
“เธอกำลังจะบอกว่าหน้าฉันไม่เหมาะกับการเล่านิทานใช่ไหม”ทีอย่างนี้มาทำเสียงเข้มใส่เชียวนะ เปมิกาจึงพยักหน้า
“หน้าคุณดูไม่น่าเล่านิทานและออกจะน่ากลัวสำหรับเด็กๆ ด้วยซ้ำ”ได้ฟังแล้วก็จี้ดำเพราะกว่าเขาจะหลอกล่อหลานๆ ได้ก็เสียเงินไปมากโข ไหนพ่อหลานจะไถ่ตังค์ค่าเล่าเรียนให้ลูกๆ อีกจนเขาแทบจะกลายเป็นพ่อทูนหัวไปอีกคน
“ก็ยากกว่าฉันจะเข้ากับหลานได้”แอบมองหน้าคนข้างๆ แล้วหลุดหัวเราะออกมา
“หัวเราะทำไม มันน่าขำมากเหรอ”พยักหน้าซ้ำไปมาจนภราดรหมั่นไส้บีบจมูกเล็กนั้นเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการทำโทษ
“แล้วตอนนี้เด็กๆ อายุเท่าไหร่คะ”เงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์แล้วเห็นเด็กน้อยสี่คนลูกของญาติที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทสุดแสนจะปวดหัวของเขา
“คนโตสี่ขวบ คนกลางสามขวบ สองแฝดสองขวบ”เล่าให้ฟังอย่างเอ็นดูแต่เปมิกาก็สะดุดกับคำบอกเล่าของเขาจนกระทั่งอีกฝ่ายบอกชื่อพ่อของเด็กน้อยจึงต้องร้องอ๋อ
“เพื่อนฉันชื่อดิน มันเป็นตากล้องคิดว่าเธอน่าจะรู้จัก”ทำไมจะไม่รู้จักเล่าเพราะพี่ดินหรือพสุธาเป็นตากล้องที่อัธยาศัยดีสุด ไม่ค่อยดุทั้งยังชอบเข้ามาชวนคุยให้เธอหายจากอาการเกร็ง ช่วงเข้าวงการใหม่ๆ ก็ได้พี่ดินคอยบอกท่าทางการโพสจนงานผ่านไปอย่างราบรื่นจึงนับถือเขา
“ค่ะ รู้จักตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ พี่ดินเป็นช่างภาพที่นิสัยดี”ได้ยินคำชมที่ส่งถึงพสุธาเขาก็อยากจะกรอกตาใส่เสียเหลือเกิน เอาอะไรมาตัดสินว่ามันนิสัยดี โทรมาทีไถ่เงินให้ลูกอยู่ทุกวันและเขาก็ยอมเพราะแพ้เด็กๆ
“รู้จักนานขนาดนั้นเลยหรือ”พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะยิ้มออกมา
“ก็บอกว่าตั้งแต่เข้าวงการไงคะ เวลาถ่ายแบบพี่ดินก็เป็นตากล้องตลอดเลยสนิทกว่าคนอื่น”ทีเรียกไอ้ดินยังเรียกพี่ได้ทีกับเขาเรียกคุณตลอด
“แล้วระหว่างฉันกับไอ้ดินรู้จักใครก่อน”ไม่รู้ทำไมถึงต้องตั้งคำถามแสนงี่เง่าแบบนั้นด้วย พอคิดได้ก็อยากจะทึ้งศีรษะตนเองแต่จำต้องเงียบฟังคำตอบของอีกฝ่าย
“ถ้าตอนเข้าวงการก็ต้องพี่ดินอยู่แล้ว”ได้ยินคำตอบซึ่งไม่ค่อยน่าพึงพอใจเท่าไหร่แม้ว่าอันที่จริงแล้วก็ไม่แปลกที่เธอจะรู้จักพสุธาก่อนเพราะอีกฝ่ายก็อยู่ในแวดวงบันเทิงในขณะที่เขาเป็นนักธุรกิจ
“ไปนอนเถอะ ดูอะไรก็ไม่รู้”อารมณ์ไม่อยากดูพระจันทร์เกิดขึ้นกะทันหันจนนักแสดงสาวปรับตามเขาไม่ทัน ร่างสูงลุกขึ้นใส่รองเท้าแล้วเดินขึ้นบ้านปล่อยร่างบางนั่งนิ่งเพราะยังงงกับพฤติกรรมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอารมณ์แปรปรวนราวกับหญิงมีประจำเดือน
“อะไรของเขา”พึมพำเบาๆ แล้วก็เดินตามไป อดใจเต้นไม่ได้เมื่อขึ้นมาบนบ้านแล้วเห็นที่นอนเป็นเบาะยัดนุ่นขนาดสี่ฟุตถูกปูด้วยผ้าไหมแพรลื่นโดยเอาพัดลมไว้ข้างนอกเพราะหากเอาไว้ข้างในพัดลมจะดูดมุ้งจนหมุนลำบากอีกทั้งลมธรรมชาติก็เย็นสบายดี ยากันยุงถูกจุดในระยะไกลแต่ครอบคลุมพื้นที่
“เข้ามาสิ”เห็นร่างเล็กไม่เข้ามาจึงเอ่ยชวนทั้งยังจัดหมอนให้อีกด้วย ปกติไม่ค่อยได้นอนหมอนขิดจึงไม่ถนัดนักมันสูงและแข็งเกินไปแต่จะเรื่องมากก็ไม่ได้เพราะมาอาศัยเขาอยู่
“ค่ะ”เข้ามาภายในมุ้งที่เขาจองอาณาเขตของตนเอง ผ้าห่มแพรไหมผ้าลื่นให้ความรู้สึกเย็นสบายเหมาะกับบรรยากาศมาก ทั้งสองล้มตัวลงนอนแต่เปมิกาก็ต้องลุกขึ้นมานั่งพับเพียบ
“อะไร”ตกใจที่อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นไม่ส่งสัญญาณอะไรทั้งนั้นจนตนเองต้องทำตาม
“มานอนต่างถิ่นต้องไหว้พระก่อน”ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เปมิกาและภราดรจึงไหว้พระเพื่อความสบายใจของตนเองอธิษฐานก่อนจะล้มตัวลงนอน
ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงเสียงจิ้งหรีดที่ยังร้องระงมหากก็ไม่ได้น่ารำคาญจนนอนไม่หลับ แต่ไม่รู้ทำไมตาเธอถึงค้างอย่างนี้ อาจเพราะแปลกที่ทั้งยังไม่ใช่เวลานอนเนื่องจากเพิ่งสามทุ่มเท่านั้นแต่บรรยากาศโดยรอบกลับเหมือนตีหนึ่งเข้าให้แล้ว
“นอนไม่หลับหรือ”เห็นคนข้างกายพลิกกายไปมาจึงต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาจับเอวบางให้มาใกล้ตนทั้งบังคับให้เธอหันมาหา
“ขอโทษถ้าทำให้คุณนอนไม่หลับไปด้วย”เอ่ยเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกผิด แต่แปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกโกรธแม้แต่น้อยกลับรั้งร่างบางเข้าไปกอด
“เดี๋ยวเล่านิทานให้ฟังเอาไหม”ราวกับผู้ใหญ่หลอกล่อให้เด็กน้อยนอนจนต้องอมยิ้มให้กับมุกแปลกใหม่
“วันนี้สองเรื่องแล้วนะ”ท้วงติงเพราะชักจะได้ฟังนิทานเยอะเกินไป ภราดรหัวเราะเสียงเบาแล้วลูบแผ่นหลังบางไปมา
“จะพิเศษสุดเพราะมีสามเรื่อง เอาล่ะ เดี๋ยวจะเล่าเรื่อง..กระต่ายกับเต่า”เรื่องนี้เป็นนิทานหากินกับเด็กโดยเฉพาะ หลานเขาชอบกันทุกคนล่ำร้องจะให้เล่าทุกครั้งที่ไปจนต้องขอเปลี่ยนเรื่องบ้าง
“แต่ฉันรู้เรื่องหมดแล้วนะ”เอ่ยบอกแนบอกเขาได้ยินเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะ ภราดรผละออกจากร่างบางเล็กน้อยก่อนจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากมนได้รูปราวกับต้องการลบเรื่องทุกอย่างออกไปจากความคิดเธอ
“ตอนนี้ลืมทุกเรื่องไปก่อนแล้วฟังเรื่องที่ฉันเล่าเหมือนมันเป็นครั้งแรก”กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นโดยดวงตาคู่งามของเปมิกาก็หลับลงเพราะต้องการซึมซับความสุขที่เขามอบให้ ลบเรื่องร้ายออกไปจากใจชั่วขณะ วินาทีนี้มีเพียงเขาและเธอผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายตัวหนึ่งหลงตัวเอง ชอบคุยโวโอ้อวดว่าวิ่งเร็วกว่าใคร ๆ เมื่อพบเต่าต้วมเตี้ยมมาก็หัวเราะเยาะ เต่านึกคุ่นเคืองไม่พอใจจึงท้ากระต่ายวิ่งแข่ง กระต่ายก็หัวเราะจนตัวงอและตอบตกลงเพราะคิดว่าอย่างไรเต่าก็สู้ตนไม่ได้ ทั้งสองประลองฝีเท้ากันโดยมีสุนัขจิ้งจอกเป็นกรรมการตัดสิน”น้ำเสียงที่เขาเล่าดูมีเสน่ห์จนเธออยากหยุดเวลาเอาไว้เสียตรงนี้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
“เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น กระต่ายก็ออกวิ่งฉิวนำหน้าไปไกลพอมาถึงครึ่งทาง กระต่ายเหลียวหลังมองหาเจ้าเต่าคู่แข็งแต่ไม่พบแม้เงาก็ชะล่าใจ มันจึงหยุดพักเอนกายใต้ต้นไม้ใหญ่จนเผลอหลับไปเสียนานในขณะที่เจ้าเต่ายังคงมุ่งหน้าเดินต่อไปโดยไม่หยุดพัก”จมูกเล็กสูดกลิ่นหอมจากตัวเขาอมยิ้มเมื่อได้ฟังนิทานที่แม้จะฟังเป็นร้อยรอบก็ไม่มีความสุขเท่าฟังจากคนที่ตนรัก
“เมื่อกระต่ายตื่นขึ้นมาก็ตกใจที่เวลาผ่านล่วงเลยไปมากแล้วรีบกระโดดผลุง ตาลีตาลานออกวิ่ง แต่สายไปเสียแล้วเพราะเจ้าเต่าได้ไปถึงเส้นชัยเป็นผู้ชนะอยู่ก่อนแล้ว จบบริบูรณ์โดยที่เจ้าเต่าก็แพ้ไป”คนในอ้อมกอดหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วโดยอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“กว่าจะหลับได้นะ เด็กน้อยจริง”เป็นครั้งแรกที่เขานอนกับเธอโดยไม่มีเซ็ก ก็รู้สึกแปลกแต่นอกเหนือนั้นคือความอิ่มเอมใจที่พุ่งเข้าชนอย่างจัง ทำไมมันถึงรู้สึกดีอย่างนี้นะ ดีจนไม่อยากแบ่งปันคนในอ้อมกอดให้ใครอยากกักขังเธอเอาไว้กับตนเพียงผู้เดียว
“ฝันดีนะ น้องเปรม”เป็นครั้งแรกที่ร่างสูงเรียกหญิงสาวว่าน้องโดยที่คนหลับใหลไม่มีทางได้ยินเลย ดวงตาเรียวทรงพลังค่อยๆ หลับลงช้าๆ กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน ความสุขที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตนมานานทำให้คืนนั้นทั้งสองฝันดีจนไม่อยากตื่นมาพบกับความจริงว่า
...มันเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
