ตอนที่ 8
“อยากตายกระนั้นคือคำหยาด คิดหนีไปจากที่นี่กระนั้นหรือ เพราะเหตุไรเล่า ข้าดูแลเจ้าอย่างดี ให้อาหารสามมื้อ สถานที่โอ่อ่าสวยงามออกเพียงนี้ ไยมิถูกใจเจ้าเล่า”
เสียงที่ดังอยู่เบื้องหน้า ทำให้ดวงตาที่ปรือจนเกือบปิดเพราะความเหนื่อยเพลียและอาการบาดเจ็บ ต้องลืมขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะสั่นผวาเมื่อมองเห็นภูตมนต์ดำ ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าเหี้ยมเกรียม ผมเผ้ายาวรุงรังส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวน มือเท้าใหญ่โต ดวงตาเบิกโพรงเป็นสีแดงฉานราวกับเหล็กถูกเผาด้วยไฟที่ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา
เนื้อตัวของมันมีเพียงผ้าผิวหยาบพันธนาการช่วงล่าง เผยให้เห็นแผนอกที่กว้างและหนา พุงพุ้ยโย้ออกมาด้านหน้า ลำตัวและผิวพรรณขรุขระหยาบกระด้างเป็นสีดำด่างอย่างน่าเกลียด น่ากลัว
“คิดหนีไปใยเล่า ในมิช้าข้าจักได้เป็นหลานเขยของเจ้า รอหน่อยมิเสียเวลาเท่าไหร่หรอกหนา..ท่านป้า”
ภูตมนต์ดำพูดจบก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกึกก้อง
“ฝันไปเถอะ ไม่มีวันที่มัชฌิมาหลานข้าจักลดตัวมาเกลือกกลั้วกับภูตชั้นต่ำอย่างเจ้า”
ภูตมนต์ดำยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันซี่ใหญ่ที่เรียงสลับกันลดหลั่นอย่างน่าเกลียด ดูเหลืองดำสลับกันอย่างน่าสะอิดสะเอียน
“เจ้าก็คอยดูสิ อย่าด่วนตายจากเสียก่อน แล้วเจ้าจะได้เห็นวันนั้น วันที่ข้าได้เป็นหลายเขยของเจ้า..ท่านป้า”
ภูตมนต์ดำพูดจบก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนร่างกลับกลายเป็นหม่อมราชวงศ์ชายระพี รัศมี จำรูญ ถึงแม้จะมีวัยถึงหกสิบห้าปี แต่ยังดูหนุ่มแน่นและหล่อเหลา ผิวพรรณสะอาดเอี่ยมหมดจด
“แม้แต่เมียรองของท่านเจ้าเมืองยังหลงเสน่ห์ข้า ไยหลานสาวของเจ้า จะมิมีโอกาสได้ซุกกายอยู่ในอกของข้าเล่า”
“เลว อย่าหวังเลย ดวงวิญญาณของท่านเจ้าเมืองจะคอยสาปแช่งเจ้า”
ภูตมนต์ดำแสยะยิ้ม ก่อนจะหันไปมองหน้าบริวารของมันที่รีบกรูกันเข้ามาจับร่างของคำหยาดเหวี่ยงไปยังมุมหนึ่ง แล้วกลับกลายเป็นกรงขังที่จองจำของหล่อนในหลายวันที่ผ่าน
“เหตุใดมันจึงคุ้มคลั่งเช่นนี้”
มนต์ดำมองหน้าบริวารของมันที่เฝ้าคำหยาด ต่างก้มหน้านิ่ง มีเพียงคนเดียวที่มีทีท่าหวาดหวั่นลุกลี้ลุกลน
“บอกมา”
บริวารตนนั้นถึงกับผวา
“ร ร รศยา รศยา ไปพบนาง”
มนต์ดำกำมือแน่นก่อนจะเอียงคอมองหน้าบริวารตนนั้นแล้วยกมือขึ้นใช้อาคมขยุ้มคอของบริวารตนนั้นบิดอย่างแรง
“โอ๊ยย..”
เสียงร้องที่ดังอย่างโหยหวนทำให้รศยาถึงกับผวา หล่อนยกมือกอดอกเมื่อได้ยินเสียงนั้นหล่อนมั่นใจว่าเสียงนั้นเป็นเสียงร้องของบริวารภูตไม่ใช่เสียงของคำหยาด เพราะมนต์ดำไม่สามารถทำร้ายคำหยาดได้เนื่องจากหล่อนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีคำอธิษฐานเป็นเกราะคุ้มภัย
เมื่อรู้ดังนั้นทำให้หล่อนหวาดผวาแล้วเกรงกลัวมากขึ้น เมื่ออาจจะถูกจับได้ว่าหล่อนไปพบคำหยาดแล้วเป็นเหตุให้คำหยาดคิดฆ่าตัวตาย
“นางแพศยา คิดทรยศข้ากระนั้นหรือ”
ภูตมนต์ดำกำมือแน่นก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหายไปจากเบื้องหน้าแต่ไปโผล่ยังห้องพักของรศยา
“เจ้า..”
รศยาก้าวถอยหนีอย่างรนรานด้วยความหวาดกลัว แต่มนต์ดำในร่างของหม่อมราชวงศ์ชายระพีก็ก้าวตามไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับสยายยิ้ม
“เจ้าหรือ ที่ทรยศข้า เจ้าหรือรศยา ข้ามิดีกับเจ้าหรือ”
รศยาส่ายหน้าก่อนจะหยุดแล้วเงยหน้ามองภูตมนต์ดำพยายามปัดความหวาดกลัวนั้นออกไป
“ข้าแค้นมัน ข้าเกลียดมัน เจ้าก็รู้ว่าเพราะมันเป็นพี่สาวของชุติมณี ผู้หญิงที่แย่งทุกอย่างไปจากข้า ข้าไม่อยากอยู่ร่วมกับมัน”
ภูตมนต์ดำเอียงคอมองหน้าหล่อน
“จริงกระนั้นหรือ”
“ใช่ ข้าอยากจะให้มันตายตกไปตามกัน ข้าเกลียดมัน”
ภูตมนต์ดำนิ่งไปชั่วครู่
“เจ้าต้องช่วยข้ากำจัดมันสินะ ถูกหรือไม่เล่า”
รศยาพยักหน้า
“ใช่ ข้าต้องการกำจัดมัน”
“หากเป็นเช่นนั้น”
เขาค่อย ๆ หันไปมองหน้าของรศยาที่ยังคงจ้องมองเขา
“ต้องหาทาง ให้มัชฌิมา มาหาข้า”
รศยารู้สึกเหมือนถูกอะไรสักอย่างกระหน่ำลงบนศีรษะของหล่อนจนเจ็บปวดเจียนขาดใจ
“ทันทีที่ข้าได้ตัวมัชฌิมา ข้า จะส่งมอบคำหยาดให้แก่เจ้า”
เมื่อเห็นท่าทางที่เงียบอึ้งใบหน้าที่เผือดสลดของรศยาทำให้ภูตมนต์ดำเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง
“ข้าจะให้เจ้าออกไป ตามหามัชฌิมา ทันทีที่เจ้าได้มัชฌิมา ข้าจะไม่เก็บคำหยาดไว้ ข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ”
รศยาลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะหล่อนรู้ดีว่า ทันทีที่ภูตมนต์ดำได้ตัวมัชฌิมา มันย่อมหมายถึงจุดจบของแผ่นดินเมืองลับนคร พ่อแม่พี่น้องทุกคนจะไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข แผ่นดินที่ไม่เคยมีสิ่งใดกล้ำกรายจะถูกเปิดเผย ประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีจะถูกทำลายลงในชั่วพริบตาด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูตมนต์ดำที่เลวร้ายตนนี้
“ไม่ ข้าทำไม่ได้”
“เพราะเหตุใดเล่า หรือเพราะจักปรารถนาจะช่วยคำหยาด”
“ไม่”
รศยาพยายามคิดหาเหตุผล
“ข้าไม่คุ้นกับเมืองมนุษย์ ทั้งภาษาพูดและประเพณี ข้าหวาดกลัวที่จะต้องอยู่รวมกับพวกเขา ที่เปรียบเสมือนคนแปลกหน้าสำหรับข้า อย่าให้ข้าออกไปเลย หากจะเมตตา ช่วยส่งข้ากลับเมืองลับนครเถิด”
มนต์ดำสะบัดมือหมายจะทำร้ายรศยา แต่ทว่า กลับไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นกับรศยา นั่นเพราะรศยาเป็นชาวเมืองลับนครที่มีกระแสพลังหนึ่งที่ปกป้องหล่อนอยู่เช่นกัน ทำให้มนต์ดำเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาแทบทันที
เขาร่ายอาคมหมายจะสะกดรศยาเมื่อหล่อนเริ่มรู้สึกตัวว่า อาคมของมนต์ดำเหมือนมีปัญหา แต่ทว่ามนต์ดำกลับทำอะไรรศยาไม่ได้ ทำให้หล่อนรู้สึกใจชื้น แล้วตัดสินใจในบัดดลว่าจะต้องหนีกลับเมืองลับนครให้จงได้
ดังนั้นรศยาจึงรีบก้าวออกจากที่นั่นหมายจะไปช่วยคำหยาด แต่ทว่าแม้ฤทธิ์เดชและอานุภาพของมนต์ดำจะลดน้อยถอยลงแต่ก็ใช่ว่าจะหมด ด้วยพลังจิตที่กล้าแข็งหลังจากที่สั่งสมมานานทำให้เขาอธิษฐานจิตปิดทุกทิศทางเพื่อไม่ให้รศยาก้าวออกจากห้องนั้น
“ปล่อยข้าไป พวกเจ้าปล่อยข้าไป ภูตมนต์ดำนายของพวกเจ้าพลังหาได้มีมากมายเหมือนก่อนไม่ พวกเจ้าปล่อยข้าไปแล้วจงหนีให้เร็วที่สุด”
รศยาพยายามตะโกนให้ภูตบริวารของมนต์เชื่อฟังหล่อนแต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ยอมเชื่อเพราะความหวาดกลัวต่อมนต์ดำนั้นมีมาก
“เชื่อข้าเถิด ปล่อยข้าแล้วหนีไป เร็วเข้า”
รศยายังคงร้องตะโกนก้อง จนเสียงนั้นดังไปถึงที่คุมขังของคำหยาด ที่บาดเจ็บหนัก หล่อนพยายามจะรวบรวมพลังและคำอธิษฐาน ขอให้หลุดพ้นจากที่คุมขังออกมา แต่กลับไม่สามารถจะไปทางไหนได้เพราะภูตบริวารของมนต์กรูกันเข้า
“พวกเจ้ามิได้ยินหรอกหรือ ภูตมนต์ดำนายของพวกเจ้าเสื่อมจากอำนาจแล้ว ไร้เดช ไร้ฤทธี จงหนีไป”
คำหยาดพยายามส่งเสียงร้องตะโกนแล้วหมายจะหลบหนี แต่บริวารภูตกลับไม่ยอมฟังคำพูดของหล่อนพวกมันจับหล่อนตรึงไว้กับไม้ มัดแขนกางออก โยงเท้าไว้ด้วยโซ่ ล่ามไว้กับหลักหินที่ตอกสลักฝังอยู่กลางห้องรูปโดม
“ปล่อยข้า ปล่อย”
ในขณะที่คำหยาดร้องตะโกนอยู่นั้นรศยาก็พยายามจะหาทางออกไปจากที่คุมขัง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะมีหนทางให้หล่อนก้าวพ้นออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อทั้งคำหยาดและรศยาต่างไม่สามารถหลบหนีได้ บริวารภูตทั้งหมดของมนต์ดำก็เข้ามาพร้อมกันเมื่อเพื่อรอฟังคำสั่ง
“ออกไปหาสาวพรหมจรรย์มาให้ข้า”
มนต์ดำเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกำมือแน่น นั่นเพราะอำนาจมนต์คาถาของมันเมื่อพ้นมาจากเขตของเมืองลับนคร มันจะค่อย ๆ เสื่อมถอย ทำให้เขาต้องได้พลังจากสาวพรหมจรรย์มาช่วยเสริม พลังนั้นจึงจะกล้าแข็งขึ้นอีกครั้ง
