ตอนที่ 19
“จุดประสงค์อะไร เธอก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายของฉัน การที่เธอมาที่นี่ หมายความว่าไง ต้องการจะให้พนักงานของเขารู้ว่าเธอกำลังจะเป็นมือที่สามใช่ไหม หรือเธอต้องการจะประกาศว่าเธอต้องการเป็นศัตรูกับฉัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันไม่เคยคิดที่จะเป็นมือที่สาม ไม่ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปซะ ไปจากเขา แล้วอย่ากลับมา”
มัชฌิมาก้มหน้าลง
“ฉันก็อยากจะไปค่ะ แต่ว่า..”
เธอจะบอกหล่อนได้อย่างไรว่าเธอยังหาใครคนนั้นไม่พบ เธอจะต้องช่วยป้าของเธอ
“ฉันจำอะไรไม่ได้”
ไอลดากำมือแน่น อยากจะขับไล่เธอไปให้ไกลจนสุดขอบฟ้า เพราะไม่พอใจที่เธอสวยกว่า น่ารักกว่า หวานกว่า แววตาหวานปนเศร้า น้ำเสียงหวานนุ่ม ใบหน้าสวยงามอ่อนโยน รูปร่างชะโอดชะองงดงามสมสัดส่วนอย่างน่าถนอม
ผู้หญิงลักษณะนี้แหละที่น่ากลัว ยิ่งเธออยู่ร่วมบ้านกับเขา มองเห็นกันทุกวัน แล้วยิ่งตอนนี้เธอยังมาอยู่กับเขาที่ทำงานเท่ากับว่าเธออยู่กับเขาตลอดเวลา ยิ่งคิดมาถึงตรงนี้ทำให้ไอลดายิ่งไม่พอใจ หล่อนรู้สึกเหมือนถูกไฟสุมทรวงจนร้อนรนจนทนแทบไม่ได้
“ฉันไม่เชื่อ หลอกคนอื่นเถอะ อย่ามาหลอกฉัน เธอมีจุดประสงค์ที่จะจับเขา ต้องการใช้ความสวยงามจับเขา ใช่ไหม ฉันไม่ยอม หากเธอทำแบบนั้น ฉันจะทำให้เธอ..ตายอย่างทรมานที่สุด”
มัชฌิมาส่ายหน้าไปมา
“ไปนะ ออกไปให้พ้น ไป อย่ามาอยู่ที่นี่ ไปนะ ไป..”
ไอลดาพยายามผลักร่างของมัชฌิมาให้เดินมาที่ประตูหมายจะขับไล่เธอให้ไปจากที่นี่ แต่ทว่า กานต์กลับเปิดประตูเข้าไปแล้วก้าวฉับ ๆ ตรงไปหามัชฌิมา เขารั้งร่างของเธอให้ก้าวห่างมาจากไอลดา
“อะไรกันครับไอ”
ไอลดามองหน้าเขา
“คุณให้แม่นี่มากับคุณได้ยังไงคะกานต์ แค่เจอกันที่บ้านยังไม่พอหรือคะ ถึงกับต้องการอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเลยใช่ไหม”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ
“ไม่ใช่แล้วนี่อะไรคะ ที่ไอเห็นหมายความว่าไง แม่นี่อยู่ที่นี่ อยู่ในห้องทำงานของคุณ จะให้ไอคิดอย่างไร”
เขาระบายลมหายใจออกมาอย่างนึกรำคาญ หากไม่เป็นเพราะว่าแม่บ้านไปกระซิบบอกพนักงานคนหนึ่งให้ไปบอกเขาว่าไอลดาทำท่าไม่ดีกับมัชฌิมาเขาคงไม่ต้องเสียเวลาออกมาแบบนี้
“คุณมัช อยู่แต่บ้าน หากเธอได้มีโอกาสออกมาบ้างอาจจะทำให้ความทรงจำของเธอฟื้นโดยเร็ว”
“เท่านั้นหรือคะ คุณเชื่ออย่างนั้นหรือคะ”
หล่อนมองหน้าเขา
“กานต์คะ ไอเป็นผู้หญิงเหมือนกันนะคะ สัมผัสของลูกผู้หญิง โดยเฉพาะสัมผัสในเรื่องหัวใจและความรู้สึก แม่นยำกว่าผู้ชายมากนะคะ”
“ไอครับ คุณหวาดระแวงแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับ อย่าทำแบบนี้เลยนะ”
“คุณก็ให้แม่นี่ออกไปอยู่ที่อื่นสิคะ อย่าเข้าใกล้เธอแบบนี้สิ ไอทนไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เราก็แต่งงานกันซะ”
“ไอลดา..”
เขามองหน้าหล่อนนิ่งก่อนจะหันหลังให้
“อย่าบอกนะคะว่าที่เราคบหากันมาเนิ่นนาน เป็นแค่คนคุ้นเคย คุณไม่ได้คิดกับไอแบบนั้น อย่าบอกนะคะว่าเป็นอย่างนั้น”
คำพูดของหล่อนทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่อกแน่นจนแทบหายใจไม่ออก การที่เขาคบหากับหล่อนเจอหน้ากันทุกวัน มันเป็นความเคยชินเหมือนเรื่องปกติ เป็นความปกติในชีวิตประจำวันที่ต้องพบเจอหล่อน ทานข้าวกับหล่อน แต่เขาไม่เคยถามความรู้สึกส่วนลึกของตนเองสักครั้งว่ามันคือความรู้สึกอะไร จนกระทั่งวันนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของหล่อน
“คุณต้องรับผิดชอบไอ ไอคบหาอยู่กับคุณโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาเลยสักคน เท่ากับไอมีคุณแล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะมีใครไม่ได้เหมือนกัน เพราะระยะเวลายาวนานนั้นทำให้อายุของไอมากขึ้น ไอไม่สามารถจะมองใครได้อีกแล้ว”
มัชฌิมาได้แต่มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางกองเพลิงและทะเลน้ำแข็ง อีกฝั่งหนึ่งร้อนจนแทบทนไม่ได้ อีกฝั่งก็เย็นจัด แต่ท่ามกลางความร้อนลุ่มของไอลดา เธอกลับได้มองเห็นความสุขุมแล้วนิ่งสงบของกานต์ ผู้ชายที่ดูดีไปทุกกระเบียดนิ้วคนนี้ เขาใจเย็นและสุภาพอย่างที่สุด เขาจะตอบคำถามของหล่อนอย่างไร มันทำให้เธอรู้สึกใจเต้นแรงอย่างไม่ควรเป็น
“ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวก่อน”
มัชฌิมาเอ่ยออกมาเบา ๆ เพราะต้องการจะหลีกทางออกไป
“ไปไหนหรือครับ คุณจำทางกลับบ้านได้หรือเปล่า จะไปไหน บอกผมสิครับ ผมจะพาไป”
“กานต์คะ!”
ไอลดาโผเข้ามาหาเขาแล้วยกกำปั้นระดมทุบใส่เขาเป็นพัลวัน เขาพยายามหลบ ทำให้มัชฌิมารีบก้าวออกไปจากที่นั่นทันที
“คุณมัช คุณมัช มัชฌิมา..”
กานต์ร้องเรียกเธอแล้วพยายามจะตามออกไป แต่ไอลดาไม่ยอม หล่อนพยายามฉุดรั้งแล้วทุบตีเขา ด้วยอารมณ์ที่ขึงโกรธ น้อยใจและเสียใจที่กรูกันเขามาประปนจนแยกไม่ออกว่าความรู้สึกไหนมาก่อนและมีมากกว่ากัน
มัชฌิมาตรงไปยังสำนักงานเขตเพื่อจะหาคนตามทะเบียนราษฎร์ แต่ทว่าเมื่อไปแล้วทำให้เธอต้องเครียดอย่างหนัก เพราะการจะหาคนตามเลขบัตรประชาชนหรือ ทะเบียนบ้าน อย่างแรกต้องรู้จักชื่อ นามสกุล แต่ว่าเธอไม่รู้อะไรเลย
ครั้นจะเข้าไปสืบค้นทางอินเตอร์เน็ตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเป็นข้อมูลของทางราชการ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ต่อให้เธอสามารถสืบค้นได้จริงก็มีแต่ชื่อพ่อแม่ของคนคนนั้น ที่อยู่ วันเดือน ปี เกิด แต่ไม่สามารถจะรู้เวลาการเกิดและสถานที่เกิดอีกทั้งเชื้อสายของคนเมืองลับกับเมืองมนุษย์ก็ไม่ได้แสดงไว้อีกด้วย
มัชฌิมาทรุดกายลงนั่งเหม่ออยู่ที่หน้าสำนักงานเขต ด้วยความรู้สึกท้อแท้ เหนื่อยอ่อน และหมดกำลังใจ เหมือนเดินมาจนถึงทางตันทั้งที่พอจะมีความหวังเมื่อตอนเริ่มต้นเดินทาง แต่พอมาถึงจุดหมายปลายทางกลับเจอทางตัน ในยามที่ทั้งเหนื่อย เพลียและอ่อนล้า
“ท่านป้าของข้า ข้าจะช่วยท่านได้เช่นไรหนอ”
ยามนี้เธอคิดถึงคำหยาดเหลือเกิน เธอไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องอย่าโหยหวนในคืนวันเพ็ญอีกแล้ว เธอไม่อาจจะให้ป้าของเธอต้องทุกข์ทรมาน แต่จะหาทางช่วยได้อย่างไร
มัชฌิมาเดินออกมาจากสถานที่นั้นไปตามเส้นทางอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง จวบจนแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ย่างเข้าช่วงกลางคืน จากรถที่แออัดบนท้องถนน เริ่มบางลง แต่เธอก็ยังคงเดินทอดน่องไปเรื่อยด้วยหัวใจที่เหม่อลอย
