ตอนที่ 15
ท่านเจ้าเมืองภพธรรมเดินมายังประตูอีกบาน เปิดเข้าไป ก้าวไปหยุดตรงหน้าลูกแก้ววิเศษที่อยู่คู่กับแผ่นดินเมืองลับนครมาอย่างยาวนาน
“ลูกแก้ววิเศษ ได้โปรดช่วยพามัชฌิมา ลูกสาวของเรากลับมาเถิดหนา อย่าให้นางต้องลำบากแล้วพลัดพรากจากอกเราตั้งแต่เล็กเลย จงช่วยนำทางนางกลับมาโดยเร็ววันเถิด”
เขาหยิบลูกแก้วขึ้นแล้วอธิษฐาน ฉับพลันลูกแก้วที่มีแสงสว่างแวววาวก็เปลี่ยนสี ราวกับรับรู้คำบอกเล่านั้น
“นำทางมัชฌิมากลับมาด้วยเถิดหนา พาลูกกลับมาหาเราด้วย”
จากนั้นเขาก็วางลูกแก้วไว้ที่เดิมแล้วก้าวออกมา แต่เขาต้องชะงักกึกเมื่อมองเห็นชุติมณียืนอยู่หน้าประตูบานนั้น
“เจ้า..”
“ท่านพี่ ลูกของเราเล่า”
เขามองหน้าหล่อนนิ่งก่อนจะก้าวเข้าไปหาอย่างช้า ๆ แล้วกอดร่างเล็กบางนั้นไว้อย่างถนอมรัก
“ลูกของเรา เดินตามเส้นทางที่เจ้าเคยเดินมาหาพี่ ออกไปแล้ว”
“ไม่จริง ไม่ใช่ ต้องไม่เป็นแบบนี้”
หยาดน้ำตาไหลรินร่วงออกมาจากสองดวงตางาม
“อย่าร้องไห้ไปเลย พี่มั่นใจว่า ลูกแก้ววิเศษต้องพาลูกกลับมาหาเรา เหมือนอย่างคราวนั้น พี่วิงวอนลูกแก้วขอพาใครสักคนมาที่นี่เพื่ออยู่เคียงข้างพี่ ลูกแก้วยังนำทางเจ้ามาหาพี่ ครานี้พี่ก็วิงวอนขอลูกแก้วนำทางลูกของเรากลับคืน”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าใคร่วิงวอนด้วย”
“เอาสิ”
ชุติมณีคุกเข่าลงตรงหน้าลูกแก้ววิเศษพร้อมประนบมือทั้งสองตั้งสัตย์อธิษฐานถึงมัชฌิมา
มัชฌิมาเมื่อลอยลิ่วออกมาจากประตูบานสีแดงเพลิงก็ปลิวมาราวกับลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นสติของเธอก็ดับวูบลง กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเหมือนกับว่าแว่วได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยอะไรกัน แต่เป็นภาษาสำเนียงที่แตกต่างจากแผ่นดินเมืองลับนคร
เด็กหญิงมัชฌิมาขยับเปลือกตาตื่นขึ้นแล้วมองไปรอบตัวเมื่อนึกได้ว่า ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินเมืองลับนครอย่างแน่นอน มันทำให้เธอใจหายแล้วอยากจะร้องไห้ เมื่อคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาอย่างจับใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่..”
เธอร้องเรียกพ่อกับแม่ แล้วนึกถึงใบหน้าที่อ่อนโยนของท่านทั้งสองขึ้นมาพาลทำให้น้ำตาไหลพราก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่าน”
มัชฌิมานั่งสะอื้นไห้พลางมองไปรอบตัว เธอนั่งอยู่ที่ริมรั้วของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ห่างจากโรงเรียนเยื้องไปด้านหลัง มีบ้านทรงไทยโบราณหลังใหญ่ มีบริเวณกว้างขวางร่มรื่น
ณ ที่เธอนั่งอยู่นั้นด้านหน้าเป็นเสมือนกำแพงศิลาแลงที่สูงตระหง่าน ห่างออกไปเป็นเหมือนเจดีย์สีทองขนาดย่อม ที่มีร่องรอยการทำความสะอาดอยู่เนือง ๆ ร่มรื่นเย็นสบายด้วยไม้ใหญ่เป็นต้นตะเคียนทองอายุนับร้อยปี ที่อยู่ไม่ห่างจากกำแพงศิลาแลงและเจดีย์สีทองนั้น
มัชฌิมาลุกขึ้นแล้วมองไปรอบตัวเมื่อแว่วได้ยินเสียงพูดคุยของคน เธอเดินไปตามเสียงนั้น ย่างเข้าเขตโรงเรียนที่ครูกำลังสอนหนังสืออยู่ มีการเรียกเด็กซักถามแล้วตอบปัญหากัน
เธอแอบมองอย่างเพลิดเพลินแล้วทำให้นึกอยากจะเข้าไปเรียนบ้าง แต่ไม่กล้า จึงได้แต่แอบมองห้องโน้นทีห้องนี้ที แล้วก็นั่งพิงผนังห้องเพื่อฟังสิ่งที่ครูสอนลูกศิษย์ เพราะมันไม่มีแบบนี้ในแผ่นดินเมืองลับนครของเธอ
ครั้นพออยู่นาน ท้องก็เริ่มหิว ทำให้เธอสอดส่ายสายตามองหมายจะหาผลไม้ที่มักหาง่ายในแผ่นดินเมืองลับนคร แต่ที่นี่กลับหายากเย็นเหลือเกิน จนเธอเดินเลยเข้าไปเขตบ้านทรงไทยโบราณ ได้กลิ่นหอมเหมือนกลิ่นอาหารจึงเดินเลียบ ๆ เคียงเข้าไป สายตาก็สอดส่ายเหมือนจะมองหาที่มาของกลิ่นหอมนั้น
“แม่หนู..”
แต่เสียงเรียกที่ดังเหมือนแว่ว ทำให้เธอหันไปตามเสียง เห็นชายชราวัยเจ็ดสิบ หลังงุ้มงอมือถือไม้เท้ากำลังทอดสายตามองมา
“ท่าน..”
เธอเรียกชายชราผู้นั้นก่อนจะหลุบเปลือกตาลงด้วยใจเต้นแรง ความหวาดกลัวแล่นปาดเข้าครอบครองดวงใจของเธอทันที
“มาจากไหนกัน แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร มาหาใครหรือ”
“ข้า ข้า..”
ชายชราย่นคิ้วกับสรรพนามที่เธอเรียกตัวเอง
“ข้ามาจากเมืองลับนครแล้วท่านตาล่ะ ที่นี่เขาเรียกว่าอะไร”
เมื่อตั้งสติได้ อีกทั้งยังเห็นแววปราณีในดวงตาที่ฝ้าฟางของชายชรา ด้วยความฉลาดทำให้เธอกล้าพูดแล้วซักถาม ทำให้ชายชรายิ้มออกมาได้อย่างนึกเอ็นดู
“เมืองลับนครหรือ”
“ใช่ ข้ามาจากเมืองลับนคร แล้วที่นี่ล่ะท่านตา เมืองไหนกัน แล้วท่านตาเป็นมนุษย์เหมือนข้าหรือไม่”
“เออ นางหนูนี่พูดเก่ง”
ชายชราหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งยังม้าโยกตัวหนึ่ง
“มาใกล้ ๆ ตาสิ”
มัชฌิมาเดินเข้าไปนั่งกับพื้นแล้วมองหน้าชายชรา
“พ่อชื่ออะไร แม่ชื่ออะไร”
“พ่อของข้าชื่อท่านเจ้าเมืองภพธรรม แม่ชื่อชุติมณี เป็นชายาเอกของพ่อข้า มีข้าเป็นลูกเพียงคนเดียว”
“เดี๋ยว..”
ชายชรายกมือขึ้นแล้วมองหน้าเธอนิ่ง ๆ
“เจ้าบอกว่าแม่เจ้า ชื่ออะไรนะ!”
“ชุติมณี”
“หา! ชุติมณี”
“ใช่ แม่ข้า อ่อนโยน ใจดีแล้วสวยที่สุดเลย”
ชายชราค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินหายเข้าไปด้านในสักครู่ใหญ่ ๆ ก็ออกมาแต่รู้สึกเหมือนหงุดหงิดอย่างมากเพราะแกเข้าไปหาอะไรบางอย่างที่สูญหายไป หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
“หน้าตาของแม่เจ้าเป็นอย่างไร”
มัชฌิมานึกถึงแม่แล้วยิ้มออกมา
“แม่ข้า สวยงามมาก ใจดี แล้วเสียงเพราะ แม่รักข้ามาก ไม่เคยตีข้าเลย”
“แม่เจ้าเป็นคนที่ไหน”
“เมืองลับนคร บ้านของข้าอยู่ที่นั่น”
คำบอกเล่าของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบทำให้ชายชรารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกเขาว่า สิ่งที่หายไปเนิ่นนานกำลังจะกลับมา และยิ่งได้พิศมองดูใบหน้าของเด็กหญิงตรงหน้า หัวใจของเขาก็เบิกบานอย่างมีความหวัง เขาพยายามถามทางที่มาแต่กลับไม่ได้อะไรเลยจากหนูน้อยเพราะเธอจำไม่ได้ รู้สึกตัวตื่นก็นอนอยู่หน้ากำแพงศิลาแลงใกล้ต้นตะเคียนทองต้นใหญ่
“ท่านตา ข้าหิว”
เมื่อพูดคุยมานาน ชายชราก็ยังไม่หยุดซักถามถึงเรื่องราวบนแผ่นดินเมืองลับนคร ทำให้เธอจำต้องร้องบอก ทำให้ชายชรารีบหายจากที่เข้าไปในครัวตักอาหารออกมาให้เธอ ที่มองอยู่ชั่วครู่เนื่องจากน่าตาของอาหารเหมือนที่แม่เคยทำให้กิน
แต่ทว่าเพียงแค่เธอกินอาหารอิ่ม ก็เหมือนมีเสียงกระซิบเรียก เธอจำได้ว่านั้นคือเสียงของแม่ จึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปท่ามกลางเสียงเรียกของชายชรา
