ตอนที่ 13
คำหยาดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในบัดดลเพราะหากมีคนรู้ว่า มัชฌิมาได้ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าผู้ครองนครซึ่งได้ตราเป็นกฎบัญญัติมาช้านาน เธอจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
“ออกมาเร็ว ๆ เข้าเถิด”
คำหยาดเดินวนไปวนมาอยู่สักครู่ด้วยใบหน้าที่เผือดซีด แต่ทว่ากลับตกเป็นเป้าสายตาของนางทาสผู้รับใช้ชายารองของเจ้าครองนครภพธรรม เห็นว่าคำหยาดเดินวนไปวนมาอยู่หน้าปราสาทแล้วมองเข้าไปก็เกิดความสงสัย จึงรีบนำสิ่งที่เห็นไปบอกกล่าวกับชายารองของเจ้าผู้ครองนครภพธรรมทันที
“เจ้าหมายถึงใครนะ คำหยาด กระนั้นหรือ”
“ใช่แล้วพระแม่เจ้า ข้าเห็นคำหยาดผู้เปรียบประดุจพี่สาวของชายาเอก เดินวนอยู่หน้าประสาทต้องห้ามแห่งนั้นแล้วมองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าที่มีกังวลอย่างหนัก”
รศยา ชายารองของเจ้าผู้ครองนครภพธรรม ทำท่าครุ่นคิด
“แล้วเจ้าเห็นมัชฌิมาหรือไม่”
“มิเห็นหรอกพระแม่เจ้า..หรือว่า!”
นางทาสผู้นั้นเหมือนคิดได้จึงมองหน้ารศยาที่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้น จะมีสิ่งใดที่ทำให้คำหยาดหนักใจได้ หากมิเกี่ยวกับมัชฌิมา”
เมื่อรู้ได้เช่นนั้นรศยาจึงลุกยืนขึ้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“ไปที่ใดเล่าพระแม่เจ้า”
“ตามมาเถิด เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
รศยาพูดเพียงเท่านั้นก็เดินนำหน้านางทาสทั้งสอง ตรงไปยังปราสาทต้องห้ามแล้วหล่อนก็ได้เห็นคำหยาดที่ยังเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม
“คำหยาด”
เสียงเรียกนั้นปลุกให้ความรู้สึกที่หวาดหวั่นของคำหยาดถึงกับทวีเพิ่มมากขึ้น ยิ่งได้เห็นหน้าของพระชายารองด้วยแล้วหัวใจของหล่อนแทบหยุดเต้น
“รศยา”
คำหยาดเรียกชื่อหล่อนเบา ๆ แต่รศยากลับแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด หล่อนก้าวเข้าไปหาคำหยาดด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความขุ่นเคืองใจอย่างเด่นชัด
“ใยเจ้าบังอาจเรียกชื่อข้าเล่า คำหยาด”
คำหยาดเงยหน้ามองสบตารศยาอย่างไม่ยี่หระ
“จักให้เรียกว่ากระไรเล่า ในเมื่อเจ้าคือรศยา ลูกสาวของพ่อเฒ่า พนากับแม่เฒ่าเรืองรอง หาใช่ผู้มีศักดิ์ที่ใดไม่”
“เจ้า..แต่ข้าคือพระชายารอง”
“ก็แค่พระชายารอง”
คำหยาดพูดจบก็เตรียมจะเดินไปจากที่นั้น
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“เดินเล่น”
คำตอบของคำหยาดกลับทำให้รศยาหัวเราะร่วน
“แต่ข้าว่า หาใช่ไหม เพราะข้าไม่เห็นมัชฌิมา หรือว่า..”
แทนคำพูดรศยาหันหน้าไปยังปราสาท ทำให้คำหยาดถึงกับหน้าเผือดซีด
“มัชฌิมาฝืนประเพณี เข้าไปด้านในใช่หรือไม่”
“หาใช่ไม่”
คำหยาดตอบกลับทันท่วงที
“แล้วอยู่ที่ใดเล่า มัชฌิมาอยู่ที่ใด”
คำหยาดสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพยายามทำใจดี
“เจ้ามีการใดกับมัชฌิมารึ”
รศยานิ่งไปชั่วครู่
“ใช่ ข้าเห็นว่ามัชฌิมาโตพอที่จะได้เรียนงานแล้ว ข้าจักให้เรียนการฝีมือ”
คำหยาดสยายยิ้ม
“มัชฌิมามีพระชายาเอกและแม่เฒ่าจิตตรีอยู่แล้ว ไม่ต้องเดือดร้อนถึงเจ้ากระมัง”
รศยาเชิดหน้าขึ้น
“แต่ข้าก็เป็นแม่ของมัชฌิมาคนหนึ่ง ข้ามีสิทธิ์ที่จะจัดหาคนมาสอนลูกข้ามิใช่หรือ หรือเจ้าจะเถียงว่าข้ามิใช่ชายาของท่านเจ้าเมือง”
คำหยาดก้มหน้าลง
“มัชฌิมาอยู่ที่ใด นำทางข้าไป หาไม่ข้าจะไปพบท่านเจ้าเมือง”
คำหยาดอ้ำอึ้ง กริยานั้นทำให้รศยายิ้มอย่างพึงพอใจ
“เจ้าสองคนเฝ้าที่นี่ไว้”
คำหยาดรู้สึกใจหายหากมัชฌิมาออกมาจะต้องพบนางทาสสองคนนี่อย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นมัชฌิมาจะต้องถูกลงโทษตามกฎ หล่อนจะทำเช่นไรดี
“ส่วนเจ้าไปกับข้า นำทางข้าไปหามัชฌิมา”
ในขณะที่คำหยาดพยายามถ่วงเวลาเพื่อที่จะให้รศยาอยู่กับหล่อนแล้วหวังว่ามัชฌิมาจะฉลาดพอที่จะหลบหลีกนางทาสสองคนนั้นได้เมื่อออกมาจากปราสาทนั้น
มัชฌิมาเมื่อได้เข้าไปในปราสาทต้องห้าม ได้เห็นความสวยงามของปราสาทที่ตกแต่งไว้ด้วยเพชรพลอยและทองคำมากมาย เป็นที่รวบรวมทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน มีทั้งตำราและศาสตราวุธ ที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
มัชฌิมายังคนเดินเข้ามา ผ่านประตูนี้ออกประตูนั้น เข้าห้องนี้ออกห้องนั้นด้วยความเพลิดเพลินกับสถานที่แห่งใหม่ที่ไม่เคยได้พบเห็นหรือย่างกายเข้ามาก่อนเลย
แต่ทว่าเมื่อเดินมาถึงด้านในสุด มองเห็นประตูสองบานเป็นสีแดงเพลิงมีรัศมีสีทองสาดส่องหนึ่งบาน อีกบานเป็นสีเขียวมรกตที่มีกระแสเย็นและมีกลิ่นหอม มีควันบาง ๆ ที่ปกคลุมประตูนั้น ทำให้เธออยากจะรู้ว่าด้านในมีอะไร จึงค่อย ๆ ผลักประตูให้เปิดออก
ทันใดนั้นเองมีรัศมีที่สว่างอย่างมากพุ่งสวนออกมา ทำให้มัชฌิมาต้องยกมือป้องตาอย่างเร็ว ก่อนจะหันหลังให้สักครู่ แสงที่แผ่กระจายนั้นจางลง ทำให้เธอค่อย ๆ หันกลับไปมองแต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับก้าวพรวดตรงเข้าไป
มันเป็นเสมือนกล่องแก้วขนาดเมตรคูณเมตรที่ใสแวววาวและภายในเป็นลูกแก้วที่ส่องแสงระยิบระยับวับวาวสวยงามอย่างมาก
“สวยจังเลย”
