ตอนที่ 12
เธอเงยหน้ามองสานสายตากับเขา
“ถ้าคุณไม่เหนื่อยมากเกินไป ขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ”
เขาอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่าเพียงแค่เขาได้เห็นเธอ ความหงุดหงิดแล้วเหนื่อยเพลียก็มลายหายไปสิ้น
“ขอบคุณมากค่ะ”
เธอเดินนำหน้าเขามาที่มุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่แล้ววางแก้วน้ำขิงลงบนโต๊ะตรงหน้าของเขา
“วันนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ปวดหัวหรือเปล่า มีไข้ไหมครับ แล้วบาดแผลล่ะครับ”
ความอาทรที่ถ่ายทอดผ่านมาทางกระแสเสียงทุ้มนุ่มละมุนอีกทั้งยังสายตาที่มองมาอย่างอ่อนโยน มันทำให้หัวใจที่โรยราของเธอกระเตื้องขึ้นมาแทบทันที
ความอ่อนโยนและสายตาที่อบอุ่นแบบนี้ มันทำให้เธอยิ่งคิดถึงพ่อของเธอมากขึ้น น้ำเสียงที่เจือความอาทรและห่วงใยก็ยิ่งทำให้เธอนึกถึงแม่ของเธอ ป้าของเธอ
“บอกผมเถอะนะ อย่าเก็บความรู้สึกเจ็บปวดไว้เลย ผมสามารถพาคุณไปหาหมอได้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจผมนะครับ เพราะผมเป็นต้นเหตุให้คุณต้องเป็นแบบนี้”
“อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ ฉันไม่ดีเอง ทำให้คุณต้องลำบาก”
เธอก้มหน้าลงนิดหนึ่งก่อนจะเงยขึ้นทั้งที่เขายังคงวางทาบสายตาอยู่ที่เครื่องหน้าที่เนียนใสของเธออยู่เช่นเดิม
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณ”
“ว่ามาเถอะครับ”
เธอนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก
“คุณรู้จักเมืองลับนครไหมคะ”
หัวคิ้วเข้มที่ดำดำขมวดมุ่น
“ในประเทศไทยหรือครับ จังหวัดอะไรครับ”
คำถามของเขาแสดงให้เธอรู้ว่าเขาไม่รู้จักอย่างแน่นอน แต่คิดไปอีกทีหรือเขาจะแกล้งถามเธอ
“ผมเคยได้ยินเมืองลับแล เป็นนิทานปรัมปราสมัยผมยังเด็ก ว่าเป็นเมืองลึกลับที่ใครก็ตามเข้าไปได้แต่ออกไม่ได้ คนในเมืองลับแลสามารถออกมาได้ พวกเขาจะมีเวลาเข้าออก ออกมาเพื่อซื้อหาของที่จำเป็นเท่านั้น”
เธอเงยหน้ามองหน้าเขา
“เมืองลับนคร คือแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินไทยหรือแผ่นดินไหน ๆ บนโลกนี้ แต่ว่าในนั้นมีทุกอย่างครบเหมือนในเมืองไทยมี แต่แตกต่างกันที่ขนบธรรมเนียมการปฏิบัติบางอย่าง ที่ในเมืองไทยสมัยปัจจุบันอาจจะเห็นว่าล้าสมัยและป่าเถื่อน”
“คุณจะบอกผมว่า คุณมาจากที่นั่นหรือครับ”
คำถามของเขาปลุกให้เธอเหมือนรู้สึกตัว แล้วจำได้ว่าเธอบอกเขาว่าเธอความจำเสื่อมเธอจะต้องไม่สามารถจำอะไรได้
“ไม่ค่ะ ฉันเหมือนจะเคยอ่าน..นิยายสักเล่ม นึกว่ามันมีอยู่จริง”
เขาลอบยิ้มพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำขิงขึ้นจิบ
“ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ฉันเหมือนจะจำได้และจำไม่ได้ บอกว่า มีใครบางคนที่มีสายเลือดของคนเมืองลับครึ่งหนึ่งแล้วคนเมืองมนุษย์ครึ่งหนึ่ง..ฉันอยากเห็นเขาว่าน่าตาเป็นอย่างไร”
เพียงเธอพูดจบกานต์ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างฟัง
“ดีจังเลย คุณมาคุยกับผมทำให้ผมหายเหนื่อยหายเครียดลงไปราวกับปลิดทิ้ง หากเป็นอย่างนั้นผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหากมีคนสองเชื้อสายในตัวคนเดียวแล้วที่สำคัญมีเชื้อสายของคนเมืองลับ จะหน้าตาเป็นอย่างไร”
เธอพลอยยิ้มไปกับเขาด้วยแต่ทว่ารอยยิ้มที่แสนหวานกลับทำให้หัวใจของเขาไหวเล็ก ๆ เธอช่างเป็นคนที่ยิ้มสวยเหลือเกิน เวลายิ้มนัยน์ตาสดใสเหมือนพูดได้
“แล้วคุณเป็นคนไทยแท้ ๆ หรือคะ”
เขาพยักหน้าช้า ๆ
“คุณแม่ของผมท่านเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นครับ คุณพ่อผมท่านเป็นคนไทยทางภาคใต้ ท่านก็เลยเหมือนแขก คุณพ่อของผมท่านเป็นผู้ชายที่หล่อมาก ๆ”
เพียงแค่เขาบอกเธอถึงที่มาที่ไปและเชื้อสายของพ่อกับแม่ก็ทำให้เธอต้องระบายลมหายใจออกมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มที่เกลื่อนใบหน้าค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย
“ฉันรบกวนคุณมานานแล้ว คุณพักผ่อนเถอะนะคะ”
“ไม่รบกวนหรอกครับผมดีใจเสียอีกที่คุณมานั่งคุยกับผม”
เขามองเธอนิ่ง
“หากว่าผมกลับมาไม่ดึกจนเกินไป แล้วคุณยังไม่ง่วง ผมอยากจะให้คุณช่วงชงเครื่องดื่มให้ผมแบบนี้ทุกวัน..จะได้ไหม”
เธอช้อนสายตามองหน้าเขา
“ค่ะ”
เขายิ้มให้เธอแล้วลุกขึ้นยืน
“คุณเองก็พักผ่อนเถอะนะ ดึกมากแล้ว แล้วก็อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลานะครับ”
“ค่ะ”
เพียงแค่เธอรับปากเขาก็หมุนร่างเดินขึ้นไปด้านบนท่ามกลางสายตาของเธอที่มองเขาไปเงียบ ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งตัวหนึ่งกลางสนามหญ้า ที่มีสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย
มันหวนให้เธอระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่วัยเยาว์ เธอมีพร้อมทั้งพ่อ แม่และป้าของเธอ ญาติพี่น้องเพื่อนเล่นมากมาย เธอมีความสุขอย่างมากบนแผ่นดินเกิดคือเมืองลับนคร ดินแดนที่สวยงามและอบอุ่น
มัชฌิมา เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบที่กำลังสดใส น่ารัก ฉลาดและซุกซนอย่างมากเธอวิ่งเล่นอยู่กับพี่เลี้ยงคือคำหยาดที่ชุติมณีแม่ของเธอนับถือเสมือนว่าเป็นพี่สาวแท้ ๆ
“มัชฌิมาอย่าไปทางนั้น มาทางนี้เร็วเข้า”
เสียงคำหยาดร้องเรียกเมื่อรู้สึกเหนื่อยหลังจากที่วิ่งเล่นกับหนูน้อยมาได้ครู่ใหญ่ แต่เมื่อเห็นหลังของหนูน้อยเตรียมจะวิ่งเข้าไปยังปราสาทต้องห้ามก็รีบร้องเรียก แต่ดูเหมือนเด็กหญิงมัชฌิมาจะไม่ได้ยินเสียแล้ว เมื่อรู้อย่างเดียวว่าจะต้องหาที่ซ่อนเพื่อที่จะหลบคำหยาดให้จงได้
“มัชฌิมา!”
คำหยาดพยายามร้องเรียก แต่ทว่าไม่ทันเมื่อเห็นหลังไว ๆ ของมัชฌิมาที่วิ่งหายเข้าไปในปราสาทต้องห้าม อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินเมืองลับนคร ห้ามผู้ใดฝ่าฝืนเข้าไปอย่างเด็ดขาด
“ทำอย่างไรดี มัชฌิมา!”
