ตอนที่ 11
“ดีมาก พวกเจ้าทำดีมาก..”
ภูตมนต์เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อมองเห็นสาวน้อยสองนางที่ถูกพาตัวเข้าไปด้านในที่มืดและเย็นเฉียบ
“พวกคุณเป็นใคร จับพวกเรามาทำไม ปล่อยพวกเราไปนะ พวกเราไม่มีเงินหรอก”
“ข้าไม่ต้องการเงินและไม่ต้องการร่างกายของเจ้า..”
ภูตมนต์ดำยกมือโบก ทันใดนั้นเองห้องที่มืดสนิทก็สว่างจ้าขึ้นมา ทำให้ทั้งสองสาวมองเห็นภูตมนต์ดำได้ถนัดตา
“กรี๊ดดด!”
แต่ทันทีที่ได้เห็นทั้งสองสาวก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดชีวิต เมื่อมองเห็นสภาพของภูตมนต์ดำใบหน้าเหี้ยมเกรียม นัยน์ตาแดงฉานฉายแววดุดันเหี้ยมโหดร่างกายสูงใหญ่ดำทะมึน
ภูตมนต์ดำก้าวพรวดเดียวถึงทั้งสองคน มันไม่รอช้ารีบดูพลังวิญญาณของเธอทั้งสองอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของบริวารภูตที่มองดูอยู่ห่าง ๆ
ไม่นานนัก ร่างของหญิงสาวทั้งสองที่พยายามดิ้นรนเพื่อจะหนีก็เหมือนคนหมดเรี่ยวหมดแรง อาการทุรนทุรายค่อย ๆ เลือนหายไป เมื่อร่างกายที่เต่งตึงสวยงามตามวัย เริ่มเหี่ยวย่น แล้วแห้งลงเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก นอนทรุดกอดกันอยู่แทบพื้น
ภูตมนต์ดำสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับ ผ่อนออกยาว ๆ แล้วลืมตาขึ้น เขาทดสอบพลังด้วยการบังคับสิ่งของทั้งหลายให้เคลื่อนที่ บังคับลมให้โบกสะบัด ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ
“ทำดีมาก พวกเจ้าทำดีมาก”
เพียงแค่ได้รับคำชมบรรดาภูตบริวารต่างรู้สึกเหมือนหายใจได้โล่งอก ขอเพียงภูตมนต์ดำสามารถกลับคืนสภาพของความเป็นมนุษย์ได้ พวกเขาก็จะต้องได้รับการปลดปล่อย จะได้กลับเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งหลายจึงติดตามมนต์ดำอย่างทาสที่ซื่อสัตย์
“ไปหามาอีก เอามาให้มากที่สุด”
ภูตมนต์ดำสยายยิ้มออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
“รออีกไม่นานนักหรอก ข้ามั่นใจว่า ..มัชฌิมา อยู่ใกล้ ๆ ข้า แต่คงมีพลังจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องนางอยู่ ขอเพียงให้พลังของข้าแกร่งโดยไม่ถดถอยเท่านั่น ข้าจะต้องหานางพบ และหลังจากนั้น..”
ภูตมนต์ดำหัวเราะเบา ๆ
“พวกเจ้าทุกคนจะได้รับการปลดปล่อย พวกเจ้าจะได้กลับเป็นคนอีกครั้ง เหมือนข้า แม้นที่สุด..เมืองลับนคร จะไปไหนเสีย..หากไม่ใช่ของข้า”
ภูตมนต์ดำเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างดังเมื่อนึกถึงความฝันของมัน ว่าจะได้ครอบครองเมืองลับนครแห่งนั้น หากสามารถกลับคืนเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง
“แม่เฒ่า ท่านไยยังนิ่งเฉยอยู่ได้เล่า บัดนี้ภูตเลวตนนั้นเริ่มดูดพลังสาวพรหมจรรย์แล้ว พลังของมันจะแกร่งขึ้น ในขณะที่พี่มัชฌิมาของข้า จะต้องเดือดร้อนเนื่องมาจากลูกแก้ววิเศษ อยู่ห่างจากเมืองลับนครเป็นเพลาหลายวัน”
ไอ้แกะเมื่อเฝ้ามองภาพในขันน้ำมนต์ขนาดใหญ่ มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างก็หันมาหาแม่เฒ่าจิตตรี
“หลีกอะไรก็พอจะทำได้ แต่หลีกหนีชะตากรรม หาทำได้ไม่ เจ้าแกะ”
แม่เฒ่าเอ่ยออกมาเบา ๆ
“อย่ากังวลเกินหน้าที่ของเจ้าเลย อายุของเจ้าแค่นี้ใยไม่ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เล่า”
“ข้าห่วงพี่มัชฌิมา”
“ชะตากำหนดไว้แล้ว..ลืมนางเสียเถิด”
“แม่เฒ่า!”
เจ้าแกะมองหน้าแม่เฒ่าทันที แต่แม่เฒ่ากลับยกมือตวัดผ่านขันน้ำมนต์ ฉับพลับภาพต่าง ๆ ก็หายไปหมด เหลือเพียงน้ำในเปล่าในขัน
“กลับไปซะเถิด อย่ามาที่นี่อีก”
“ข้าใคร่เห็นพี่มัชฌิมา”
แม่เฒ่าหลับตาลงแต่เจ้าแกะกลับยื่นมือเขย่าแขนของนาง
“แม่เฒ่าได้โปรดเถิด ข้าไม่มีพี่น้อง ข้ามิแต่พี่มัชฌิมาคนเดียว แม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่กับนางในทุกวัน แต่นางเป็นคนเดียวที่ข้ารักแล้วยอมรับนางเหมือนพี่สาวของข้า แม่เฒ่า ให้ข้าได้เห็นนางและขอให้นางกลับมาโดยเร็วเถิด”
แม่เฒ่าลืมตาขึ้นแล้วจ้องหน้าเจ้าแกะ
“กลับไปที่พักของเจ้า แม่ของเจ้ากำลังตามหา หากเจ้าไปช้า เจ้าจักถูกตี”
เพียงได้ยินว่าแม่กำลังตามหา เจ้าแกะก็ลืมมัชฌิมาลงไปทันที มันรีบวิ่งออกจากที่พักของแม่เฒ่าตรงกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
กานต์เลี้ยวรถเข้าบ้านในตอนเกือบสามทุ่ม เขากวาดสายตามองไปรอบบ้าน แต่กลับรู้สึกใจหายเมื่อไม่เห็นเธอ แต่นึกมาอีกทีนี่ก็ดึกมากแล้วเธอคงอยู่ในห้องหรืออาจจะนอนหลับ
เขาบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร ถึงอยากเห็นหน้าเธอ อยากจะถามอาการของเธอ อยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ เขาเตรียมจะหันไปหาหวานที่ออกมาหาเขาพร้อมกับรับสูทและแฟ้มเอกสารจากเขาไปเก็บ เหมือนเช่นทุกครั้ง
“คุณมัชนอนแล้วหรือ”
เขาเอ่ยถามได้เพียงเท่านั้น ยังไม่ทันที่หวานจะตอบคำถามของเขา มัชฌิมาก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำขิงอุ่น ๆ
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
เธอร้องบอกเขาพร้อมกับก้าวมาหยุดตรงหน้าทำให้เขาหันมามองหน้าเธอก่อนจะยิ้มเย็น
“ผมคิดว่าคุณนอนแล้วเสียอีก”
“ฉันตั้งใจรอคุณค่ะ”
