บท
ตั้งค่า

ถึงคราสกุณากลับรัง

ผิวน้ำจากบึงใหญ่ด้านหน้าส่องประกาย ท้าทายแสงแดดที่ส่องสะท้อนจะเกิดเป็นประกายระยิบระยับหลากสี แต่กระนั้นก็ยังไม่เปล่งประกายเท่าแสงจากประกายตากลมโตคู่นี้ของนาง

ซินเยียนส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมระอา ในโลกปัจจุบันของนาง คนประเภทนี้จะเป็นคนสุดท้าย ที่นางจะลดตัวลงมาสุงสิงด้วย เพราะความน่ารำคาญ และความเอาแน่เอานอนทางอารมณ์ไม่ได้ และมักจะตื่นตระหนกตกใจจนไร้เหตุผล

ซินเยียนหันรีหันขวางมองหาตัวช่วยอื่นที่ดีกว่า แต่โชคกลับไม่เข้าข้างนางเสียทั้งหมด พื้นที่กว้างใหญ่ กลับไม่เห็นผู้ใดอื่น ที่พอจะช่วยให้นางคลายความข้องใจลงได้ จนชั่วขณะหนึ่งนางเผลอคิดไปว่านี่อาจจะเป็นเพียงแค่ความฝัน และเธออาจจะกำลังหลงอยู่ในวังวนของมัน เพราะความเครียดจนเกินเหตุก็เป็นได้

ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เพื่อหาทางพิสูจน์แบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนนัก สาวงามร่างน้อยซินเยียน จึงได้ทดสอบอย่างง่าย ด้วยการลองหยิกแขนของตนเองดู “อ่ะ!!” นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บที่เกิดขึ้น นั้นหมายความว่าเมื่อดูจากรูปการแล้ว ดูท่าว่านางจะยังมีลมหายใจอยู่ดี

แต่ที่นางยังคงไม่สามารถเข้าใจได้ก็คือ สถานการณ์ตรงหน้าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เจ้าเด็กหนุ่มนี่เป็นใคร? และที่นี่คือที่ใดกัน? หรือนางกำลังโดนใครแกล้งปั่นหัวเล่นเข้าแล้ว?

ขณะที่จ้าวซินเยียนพยายามครุ่นคิดเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้น เสียงของเด็กหนุ่มที่นั่งเยื้องอยู่ทางด้านข้าง ก็ยังคงพร่ำเพ้อรำพัน ร้องไห้ตีโพยตีพายไม่หยุดหย่อน

หลังจากที่ซินเยียนเชิดหน้าสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดทั้งสองข้างแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงห้ามปรามออกมา

“เอ่อ...นี่ๆ เจ้าสงบจิตสงบใจลงก่อนได้มั๊ย? ข้าคิดอะไรไม่ออกแล้วเนี่ย”

ซินเยียนพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทั้งสองฝ่ายโดยไม่แสดงอาการกระโตกกระตากออกไป ทั้งที่ภายในใจของนางก็ตื่นตูมไม่แพ้กัน เสียงสะอึกสะอื้นของว่านไถไถ่ยังคงไม่เงียบสนิทดีนัก แต่ก็เบาบางลงกว่าเมื่อครู่อยู่มากนัก นางคิดว่า อาจจะต้องเอ่ยอีกสักสองสามประโยค ชายหนุ่มเจ้าของจิตใจบอบบางผู้นี้จึงจะได้สงบลง

“นี่นี่... บางทีข้าอาจจะได้รับบาดเจ็บรุนแรงเกินไป สมองเลยกระทบกระเทือนเล็กน้อย ใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวคงจะดีขึ้นเองนั้นแหละ ขอเวลาข้าสักพักเถิด”

“ฮึก~ ฮึก~ เจ้าว่า...จะเป็นเช่นนั้นหรือ?” ว่านไถไถ่เงยใบหน้าที่นองน้ำตาของเขาขึ้น

ดูเหมือนว่า คำพูดประโยคเมื่อครู่ของนาง จะได้ผลดีเกินคาด ดวงตาเรียวยาวของว่านไถไถ่ จ้องมองนางด้วยแววตาใสซื่อ ที่เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับแห่งความคาดหวัง

ในขณะที่ ซินเยียนได้แต่พยักหน้า หงึก ๆ แบบขอไปที เพื่อให้มันพ้น ๆ เรื่องที่หาคำอธิบายยากนี้ไปก่อน และเพื่อให้ตัวนางเองได้มีเวลาคิดทบทวนแบบไร้เสียงสะอึกสะอื้นของคนข้างตัวผู้นี้รบกวน

ดรุณีน้อยขยับกายบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ ซ้ายที ขวาที ยืดแขนและยืดขา ด้วยความที่ตนเองเคยเป็นนักกีฬายิมนาสติกเก่าจึงยังคงจดจำการเคลื่อนไหวตัวเหล่านั้นได้ดี แต่ดูเหมือนว่าอุปสรรคเดียวที่มี คือร่างกายตอนนี้ของนางราวกับตอไม้แข็งทื่อไร้ความยืดหยุ่น

นางจึงเริ่มใช้มือบางของตนลูบไปตามทั่วร่าง เพื่อตรวจดูสภาพร่างกาย ว่ามีส่วนใดแตกหักหรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่ สิ่งที่ทำให้คิ้วใบหลิวขยับเข้าหากันจนเกิดรอยยับย่นเป็นรอยเล็ก ๆ ตรงกลางระหว่างคิ้วนั้น เกิดจากที่ นางลูบผ่านทรวดทรงองค์เอวของตน และพบว่ามันค่อนข้างจะผิดแผกไปจากเดิมเล็กน้อย

หน้าอกหน้าใจดูเหมือนจะคับโตขึ้น เอวเล็กคอดลงจากเดิมมากนัก และสะโพกที่แลดูจะผายและอวบอัดเต็มไม้เต็มมือของตน

การเคลื่อนไหวของมือไม้ที่สะเปะสะปะไปทั่วเรือนร่างของนางนี้ ถึงกับทำให้เจ้าทึ่มอย่างว่านไถไถ่อ้าปากค้างเช่นนั้นอยู่นาน จนน้ำลายเหนียวแทบจะยืดหยดออกจากปากหนา หากแต่จำต้องรีบหุบกลับลงไปสงบตามเดิม เมื่อถูกตบด้วยสายตาคมกริบของซินเยียน

นางเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัว จากนั้นซินเยียนก็พยายามพยุงร่างกายของตนเองให้ยืนขึ้น หากแต่นางก็พบว่า แม้แต่กำลังกายของตนเองยังไม่ฟื้นคืน จึงทำให้ร่างทั้งร่างอ่อนยวบลง เกิดอาการคล้ายดั่งคนเมาคลื่น จนเซถลาไปชนเข้ากับต้นไม้ด้านข้างอย่างจัง

หากแต่ยังโชคดีที่นางเป็นคนประสาทสัมผัสว่องไวพอตัว จึงใช้มือจับลำต้นเอาไว้ เพื่อประคองตัวไม่ให้ล้มก้นจ้ำเบ้าลง

“โอ๊ะ!! นี่... นี่เจ้า ระวังตัวหน่อยสิ! เจ้าจะมาทำตัวแก่นเซี้ยวเหมือนเช่นเดิมไม่ได้แล้วนะ ... วันพรุ่งเจ้าก็จะต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งเข้าจวนอ๋องแล้ว”

“ตึบ ตึง!!!!” คล้ายดั่งโดนทุบหน้าด้วยฆ้อนปอนด์เหล็กหนา ด้ามแล้วด้ามเล่า กระหน่ำตีหน้าผากซ้ำๆ จนมึนไปชั่วขณะ....

ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เท่ากับแต่งงานอย่างนั้นหรือ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย นางหนีการแต่งงานจนวิญญาณหลุดลอย แต่กลับต้องมาซ้ำรอย เจองานแต่งงานอีก นี่มันจะซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนราวกับละครน้ำเน่ามากเกินไปแล้ว

“เจ้าว่าอะไรนะ พูดใหม่อีกทีสิ!”

ยังไม่ทันที่นางจะได้รับฟังคำอธิบายจากปากของว่านไถไถ่ จู่ๆ ในหัวสมองของซินเยียนก็คล้ายดั่งเกิดพายุหมุนเป็นลูกคลื่น พร้อมๆ กับภาพตัดของฉากต่าง ๆ จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ที่มีชื่อเสียงเรียงนามเดียวกันกับนาง หมุนเวียนสลับฉากเข้ามาสู่แกนกลางสมอง

เหตุที่เกิดขึ้นฉากเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนอยู่ภายในจวนเสนาบดีจ้าวหลี่ นามนี้คือบิดาของเจ้าของร่างเดิม ภาพต่าง ๆ ดูราวกับจะบินเรื่อยๆ เข้ามาสู่นัยน์ตาของนาง อีกทั้งยังประเดประดังถาโถมเข้ามา ราวกับระลอกเกลียวคลื่นที่บ้าคลั่งกลางทะเลลึก

ความทรงจำที่แปลกแต่กลับคุ้นเคยท่วมท้นอยู่เต็มทุกเซลล์สมองของนาง จนซินเยียนแทบรับมือไม่ไหว เบ้าตาคู่งามร้อนผะผ่าว จนขอบตาบางเริ่มมีสีแดงระเรื่อ

นางปวดหัวจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ สองมือบางยกขึ้นมากุมศรีษะสวยเอาไว้แน่น เพื่อหวังจะบรรเทาความปวดนี้ให้เบาบางลง แต่ดูราวกับว่าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

ภาพที่นางเห็นในหัว มันคือความจริงของโลกใบนี้ ที่ดวงวิญญาณของนางได้ข้ามมิติมา และเข้าร่างแทนดวงวิญญาณเดิมของเจ้าของร่างที่หมดชะตาไปแล้ว

ความจริงคือเจ้าของร่างเดิมได้ตกต้นไม้คอหักตายไปแล้วเพราะต้องการปีนขึ้นมาเก็บดอกเหมยฮวาที่นางชื่นชอบเป็นที่สุด หมายเพียงจะเอาไปประดับแจกันในห้อง ของตน และบางส่วนก็จะนำไปประดับไว้ในห้องของบิดา ตามคำสั่งของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง

และนั่นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซินเยียนคนในโลกปัจจุบัน ได้ตายจากโลกปัจจุบันลง เพราะตกระเบียงห้องพักหัวทิ่มดิ่งลงพื้นเช่นกัน

แต่จ้าวแห่งโชคชะตากลับส่งดวงวิญญาณของนางข้ามเวลาให้มาเข้าอาศัยร่างของคุณหนูจ้าว หญิงสาวผู้อาภัพ ผู้มีชื่อเสียงเรียงนามเดียวกันกับนาง ด้วยเพราะเห็นว่าดวงชะตาของนางเองนั้นมีความพิเศษอยู่ และต้องการให้นางใช้ความรู้ของตนเองทำประโยชน์ให้ผองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเพื่อให้นางช่วยสะสางภารกิจบางอย่างที่ยังคงค้างคาให้กับเจ้าของร่างเดิมอีกด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel