เสน่หาชายาหัตถ์เทวะ

138.0K · จบแล้ว
ชาง/อาชาสีรุ้ง/SONG-PIA/นังเหมียว9ชีวิต
67
บท
14.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ข้าเป็นแค่ชายาของชินอ๋องพิการผู้หนึ่ง... แต่หลายคนกลับกล่าวขานว่าข้ามีหัตถ์เทวะ ทั้งที่จริงแล้ว ข้าคือหมอหญิงธรรมดาที่หลงยุคมาต่างหากเล่า... หรือจะเป็นเพราะผีเฒ่าชินแส ตนนั้น... ที่ล่อลวงให้ข้ารับเขาไว้เป็นอาจารย์... แต่ทำไมผีชราตนนั้นกลับให้ความรู้สึกคุ้นเคย... ราวกับว่าข้าและเขา... มีสัญญาต่อกันเมื่อครั้งนานมา... สปอย~วรรคหนึ่ง ท่านอ๋องจอมคลั่งรัก หว่านล้อมสตรีเจ้าหัวใจ? "......สามีดูแลภรรยา มิได้เรียกว่าลำบาก แต่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันถึงจะถูก”

นิยายรักโรแมนติกนิยายจีนโบราณนิยายรักท่านอ๋องหมอเกิดใหม่พระชายานิยายย้อนยุคเกิดใหม่ในนิยายผู้ชายอบอุ่น

ดั่งสกุณาไร้รัง

บทแรก ดั่งสกุณาไร้รัง (rewrite)

"ซินเยียน .. ซินเยียน ... จ้าวซินเยียน!!"

      "เสียงเรียก มีเสียงเรียกชื่อข้า! ใครกัน? ใครเรียกหาข้า?"

อ๊ะ! เจ็บ... เจ็บเหลือเกิน... ปวดร้าวไปหมดเสียทั่วทั้งร่าง ราวกับกระดูกของข้ากำลังจะกระเทาะแตกเปราะออกจากกัน

นางใช้ความพยายามอย่างยากลำบากเพื่อที่จะเผยอเปลือกตาอันหนักหน่วงขึ้นมามองหาเจ้าของเสียงที่ยังคงเรียกชื่อของนางอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อลืมตาได้เต็มที่ความรู้สึกที่ซินเยียนคนนี้ได้รับก็มีแต่ความงุนงง และหมอกควันขาวโพลนเต็มหัวไปหมด

จากนั้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นราวกับฉากในละครหลังข่าว สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของนางเมื่อลืมตาตื่นขึ้น คือใบหน้าซีดเผือดของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของเสียงเรียกผู้นั้น ดวงตาเรียวเล็กของเขาเบิกกว้าง แสดงอาการราวกับคนที่กำลังตกใจกับบางสิ่งบางอย่างแบบสุดขีด

เมื่อนางเลื่อนสายตามองข้ามใบหูกางๆ ของเขาออกไปด้านหลัง สิ่งที่แสดงให้สายตาคู่งามของนางเห็นคือผืนฟ้าใสไร้ซึ่งเมฆบัง ยอดไม้แผ่กิ่งก้านน้อยใหญ่อวดใบอ่อนเขียว ขึ้นประดับเป็นกรอบธรรมชาติให้ผืนม่านฟ้าแสนสวย ทั้งยังมีน้ำใจเอื้ออาทรบดบังแสงแดดกล้า เป็นร่มเงาให้ความร่มเย็นตรงกับจุดที่นางนอนอยู่

เบื้องหน้าห่างไกลออกไปในระยะสายตายังมีเขาสูงหลาย ๆ ลูก ขึ้นเบียดเสียดเรียงรายทับซ้อนอวดความเขียวขจีให้ได้มอง

บัดนี้เกิดคำถามดังขึ้นภายในใจตน ~ที่นี่ที่ไหนกัน?

ใช่ว่าเรากำลังเข้าพิธีแต่งงานที่เรานั้นไม่เต็มใจอยู่หรอกหรือ? ~

ดรุณีน้อยนอนกระพริบเปลือกตาขึ้นลงเพื่อขับไล่ความงุนงง แววตาประกายไปด้วยความครุ่นคิด

ภาพในอดีตย้อนหวนมาให้ได้จำ

ซินเยียนจำได้อย่างลางเลือนว่า หลังจากที่ครอบครัวของเธอล้มละลาย แฟนหนุ่มของเธอก็ทิ้งเธอไปอย่างไม่ใยดี พ่อแม่ของเธอก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ขายเธอให้กับเจ้าหนี้เพื่อชดใช้แทนหนี้ก้อนโตที่พวกเขาได้ไปกู้ยืมทำสัญญาเอาไว้

และในวันที่เธอกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานที่เธอโดนบังคับอยู่นั้น พ่อแม่ที่เธอคิดว่าเขาคือผู้ให้กำเนิดเธอก็ส่งข้อความมาบอกเธอว่า ให้เธอสบายใจได้ เพราะพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของเธอ

พวกเขาเก็บเธอมาเลี้ยงด้วยความบังเอิญและตอนนี้ขอให้เธอทดแทนบุญคุณด้วยการสมยอมทำหน้าที่เป็นตัวล้างหนี้แทนลูกสาวคนเล็กของพวกเขาด้วย เธอกดปิดโทรศัพท์มือถือด้วยความไม่ใยดี จากนี้ไปชีวิตของเธอ เธอจะเป็นฝ่ายเลือกเอง

[หึ!! ตัวล้างหนี้กะผีนะสิ!! ตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโต เธอถูกใช้งานยิ่งกว่าคนใช้ในบ้านหลังงาม เธอขวนขวายหางานพิเศษทำ เพื่อส่งตัวเองจนเรียนจบระดับดอกเตอร์แพทย์แผนโบราณและแผนปัจจุบัน แต่ตอนนี้ยังมาหน้าด้านหน้าทนให้เธอชดใช้หนี้สินก้อนโตให้ แทนที่ลูกสาว แท้ ๆ ของตนเองเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ!!]

มุมปากสวยยกยิ้มด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม เดิมทีเธอคิดว่าจะสะสางเรื่องราวที่ไม่เป็นธรรมนี้กับพวกเขา แต่ใครจะคิดเล่าเมื่อเท้าของเธอก้าวเข้าสู่ภายในบ้านหลังนั้น แผนการชั่วร้ายไร้ความปราณีของพวกเขาก็เกิดขึ้น มือบอบบางกำเข้าหากันแน่นขนัด เมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นมาได้อย่างฉิวเฉียด

สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ก็คือว่า หลังจากที่ถูกยัดเยียนให้ขึ้นรถหรูเพื่อนำตัวมาเป็นเจ้าสาวของเจ้าหนี้พวกเขานั้น ตนเองนั้นพยายามหนีเอาตัวรอดด้วยการปีนออกจากห้องรับรองของเจ้าสาว แต่ชุดราตรีเจ้ากรรม ดันไปเกี่ยวเข้ากับกรงเหล็กของระเบียงห้องพัก จนทำให้เธอหัวทิ่มลงพื้นดิน และคอหักทันที

ตามการคาดคะเนระดับหัวกระทิของเธอ จริง ๆ แล้ว เวลานี้ เธอควรที่จะต้องไปนั่งล่องเรืออยู่ที่แม่น้ำแห่งวิญญาณ ตามหนังสือที่เธอเคยอ่านแล้วสิ แต่.....ด้วยเหตุใด? ทำไมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้เล่า.........?

จิ๊บๆๆๆ ~ เสียงนกตัวน้อย ที่ยืนเกาะกิ่งไม้สูง กำลังส่งเสียงคุยกันไปมา พาให้ซินเยียนได้สติกลับคืน ...

สตรีนางหนึ่งนั่งมึนงงอยู่ตรงตำแหน่งเดิม...เมื่อลืมตามองและตั้งสติใหม่อีกครั้ง สิ่งที่ยังคงปรากฏเข้าสู่ดวงตากลมสวย ในระยะประชั้นชิดเสียยิ่งกว่าคราวแรก ทำให้นางต้องตกใจสะดุ้งพรวด ลุกขึ้นนั่งโดยทันที ก็คือใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้น ยังคงโผล่พรวดเข้ามาบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดเอาไว้

“ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที ข้าตกใจแทบแย่ ซินเยียน.....จ้าวซินเยียน... เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง? เจ้าพูดสิ! เหตุใดจึงเงียบนักเล่า!?”

เด็กหนุ่มที่แลดูจากภายนอกอายุอานามน่าจะอ่อนกว่าเธอราว ๆ สี่ถึงห้าปี มีสีหน้าและท่าทางร้อนรนจนนางสัมผัสได้ ก่อนที่เขาจะจับแขนของนาง แล้วออกแรงเขย่าเบาๆ เพื่อหวังที่จะเรียกสติของ ‘จ้าวซินเยียน’ สหายเพียงคนเดียวที่เขาคุ้นเคยกลับคืนมา

“เลิกเขย่าแขนฉันได้แล้ว ฉันไม่ใช่ข้าวโพดคลุกเนยนะ! แล้วที่นี่...ที่นี่ คือที่ไหนกัน?”

ซินเยียนดึงแขนของตนเองออกมาจากการเกาะกุมของมือหนา หากแต่ผอมบางจนเห็นเพียงหนังสีซีดติดกระดูก

ดวงตากลมโตละสายตาออกจากเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะเริ่มกวาดสายตามองสำรวจสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบ ๆ ตัว

สถานที่แห่งนี้... ช่างดูไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย จะว่าไปราวกับว่านางอยู่คนละโลกกับเมื่อครึ่งชั่วโมงนี้อย่างไรอย่างนั้นละ

“เอ๊ะ!! หรือว่าฉันตายไปแล้ว? ... ตายไปแล้วจริง ๆ สินะ”

หญิงสาวหันรีหันขวาง สายตาสอดส่ายคล้ายกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ในขณะที่เด็กหนุ่มผู้นั้นยังคงไม่ยอมออกห่างไปไหน พร้อมทั้งนั่งมองอาการของเธออยู่ด้วยความเป็นห่วง

ซินเยียนยังคงรำพึงรำพันอยู่กับตนเอง สีหน้าและแววตาหาได้มีความตระหนกตกใจไม่ หากแต่แฝงระเรื่อเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มที่

“นี้คือโลกหลังความตายหรือนี่? แล้วไหนละเรือ?

ไหนละแม่น้ำแห่งวิญญาณน่ะ?”

ใบหน้าหวานยังคงหมุนซ้ายทีขวาที ราวกับกำลังมองหาสิ่งที่ตนเองเพิ่งกล่าวออกมาเมื่อครู่ ก่อนที่จะเอียงใบหน้าด้านข้าง หันไปส่งคำถามกับเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง

“แล้วเจ้า ... เจ้าคือคนพายเรือใช่หรือไม่? บอกข้าหน่อยสิ ข้าต้องเริ่มต้นยังไง? ต้องไปที่ใดก่อน?”

เจ้าหนุ่มที่กำลังนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ข้างๆ มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความรู้สึกยากลำบากภายใน ใบหน้าใสซื่อ คิ้วเฉี่ยวรูปทรงดาบโบราณ หากแต่ค่อนข้างบาง ขมวดเข้าหากัน จนเกิดให้เห็นเป็นรอยยับย่นตรงกลางระหว่างคิ้ว เฉลยให้เห็นว่าเขาผู้นี้กำลังอยู่ในอาการของคนที่กำลังมึนงงอย่างที่สุด

และดูเหมือนกับว่า ซินเยียนผู้นี้ จะเข้าใจคำตอบที่อยู่บนใบหน้าของเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว เช่นกัน

ว่านไถไถ่ พยายามแลดูอากัปกิริยาของนางมาสักพักใหญ่แล้ว เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่นางพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่เข้าใจอีกด้วยว่า ประโยคยาวๆ ที่นางพร่ำเพ้อ ออกมาเมื่อครู่นั้น คือคำถามของนางที่ตั้งใจเอ่ยถามเขา

เป็นไปได้ว่าสหายของเขาผู้นี้ คงจะสมองเลอะเลือนไปเสียแล้วกระมัง....

“สิ่งใดคือข้าวโพดคลุกเนย? สิ่งใดคือตายแล้วฟื้นเล่า? เจ้าเพ้อเจ้ออะไรของเจ้าออกมาอีกนี่”

ใบหน้าซูบผอม ประกายตาหม่นหมอง ผสมผสานกับสีหน้าและท่าทางราวกับอยากจะหลั่งน้ำตาของเขาออกมานั้น

ทำให้จ้าวซินเยียน นั่งนิ่งราวกับนักรบกำลังรอประเมินสถานการณ์ เมื่อเห็นว่าคำถามที่ตนเอ่ยถามไปก่อนหน้านี้จะไม่มีคำตอบที่น่าพึงพอใจ อีกทั้งเจ้าเด็กหนุ่มท่าทางอ่อนแอผู้นี้ กำลังจะแสดงความอ่อนไหวออกมา

ดวงตากลมโตของนางก็ต้องเบิกกว้างออก เพราะปากบางของเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ เบะเบ้ลง ก่อนที่จะปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา

“อ่...า ซินเยียนอ่าาา เจ้าแกล้งอะไรข้าอีกแล้วละเนี่ย!? ฮึก~ฮึก~”

ซินเยียน หันหน้าไปสบตากับเด็กหนุ่มที่เรียกขานนางราวกับคนคุ้นเคยมานาน พลันก็นึกถึงนิยายที่เคยอ่านผ่านตาเกี่ยวกับการตายแล้วเกิดใหม่ในร่างของคนอื่น ในใจก็พลางครุ่นคิด

[หรือว่า....นางจะเป็นเหมือนในนิยายเหล่านั้น ให้ตายเถอะ! นี่มันเรื่องตลกอันใดกัน? ถ้าเช่นนั้นคงต้องทำตัวตามน้ำไปก่อนละนะ…]

“ข้านะเหรือเล่นพิเรน? แล้วนี่อะไรของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะอ่อนกว่าข้าหลายขวบปีนัก แล้วเหตุใดจึงเรียกชื่อเสียสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนเล่นกันได้เล่า?”

เมื่อถอนตัวจากอาการมึนงงในคำพูดของนางได้แล้ว เจ้าหนุ่มว่านไถไถ่ หรือที่จ้าวซินเยียนเจ้าของร่างเดิมมักจะเรียกขานนามแฝงของเขาว่า เจ้าทึ่ม... ก็ยกนิ้วผอมแห้งที่เต็มไปด้วยความสั่นเทา ชี้มายังนาง พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“สหายข้า...นี่เจ้า!! อย่าบอกนะว่า เจ้าสติเลอะเลือนไปแล้ว เพราะตกจากกิ่งต้นไม้เมื่อครู่นี้น่ะ!!”

“.....” ไม่มีเสียงตอบใดออกมาจากกลีบปากงามของซินเยียน นางทำราวกับว่าสิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวออกมา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเลยแม้แต่น้อย

ว่านไถไถ่มองอย่างพิจารณาอีกครั้ง ก็เห็นชัด ๆ ว่านางคือคนเดียวกับที่ปีนต้นไม้แข่งกับเขาอยู่เมื่อครู่ ก่อนที่จะเหยียบพลาดและตกหัวทิ่มลงดินมา นางจะเป็นคนอื่นไปได้อย่างไร เมื่อหมุนกายมองออกไปรอบๆ บริเวณนี้ ก็มีเพียงเขาและนางเท่านั้น จะมีผู้อื่นแฝงตัวมาแทนได้อย่างไรกัน

ถ้าเช่นนั้นคงจะเหลือเพียงอย่างเดียวที่พอจะสมเหตุสมผลอยู่ได้ นั่นคือหัวของนางได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนสูญเสียความทรงจำ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ว่านไถ่ไถ ก็เริ่มอารัมภบทอีกครั้ง

“โธ่เอ้ย......นี่เจ้า!! สูญเสียความทรงจำงั้นหรือนี่ โอ้... ไม่นะ! แล้วแบบนี้ข้าจะกลับไปพบหน้าท่านเสนาบดีจ้าวได้อย่างไรกันเล่า?”

เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของซินเยียน ยกฝ่ามือปิดใบหน้า พร้อมกับทรุดตัวก้มหน้าลง และร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ราวกับโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงมา ด้วยเพราะเกรงว่าสหายเพียงผู้เดียวของเขา จะมีอันเป็นไป