บทที่ 2 แอบรัก (2)
“แม่คุณเอ๊ย อะไรจะน่าฟัดซะขนาดนั้นว้า” วาทีลูบปากมันแผล็บของตัวเองขณะที่สายตายังไม่ละไปจากหญิงสาวที่ห่างออกไปทุกที ๆ
“จริงนะไอ้กล้วย ไอ้หวี ข้านี้อยากกอดคุณเจ๊ขมใจจะขาดแล้วว่ะ” ชายหนุ่มบอกตาเป็นมัน
“จะยากอะไรล่ะครับ พี่วาทีก็ดักฉุดมาปล้ำเป็นเมียก็สิ้นเรื่อง” นายกล้วยเสนอแนะ ยังไม่ทันจะขาดคำมะเหงกจึงเสิร์ฟที่กลางกระบาลนายกล้วยเต็ม ๆ
“อู้ยส์ พี่วา เขกหัวผมทำไมเนี่ย?” นายกล้วยลูบศีรษะตัวเองพร้อมซูดปากขณะถามแบบซื่อ ๆ
“ยังจะมีหน้ามาถามอีกไอ้นี่ คนนี้กูรักจริงโว้ย” วาทีบอกความรู้สึกออกมาตรง ๆ
“พี่วาก็พูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ผมไม่เคยเห็นพี่จะจริงจังกับใครสักคนเลย” นายหวีเสริมขึ้น แล้วมะเหงกก็ถูกเสิร์ฟที่กลางกระบาลของนายหวีอีกคน
“โอ๊ย ก็ผมพูดเรื่องจริงนี่นา”
“หุบปากไปเลย” วาทีตวาดเสียงดัง ทั้งสองผู้ติดตามที่ถูกจ้างมาดูแลความปลอดภัยและเสริมบารมีให้เจ้านายจึงหน้าจ๋อย แต่นายกล้วยก็ไม่วายแทรกขึ้นอีก
“ถ้าผมเป็นพี่ทีนะ ผมจะจีบคุณหวาน รายนั้นอายุก็ไล่ ๆ กับพี่วา แถมยังน่ารักและใจดีกว่าคุณขมเป็นไหน ๆ”
“ใช่ ๆ ผมเห็นด้วยกับพี่กล้วยนะ อีกอย่างคุณขมคนสวยก็อายุมากกว่าพี่ตั้งหลายปี แถมยังดุยังกับแม่เสือ ขืนปล้ำเอาทำเมีย มีหวังพี่ได้ปวดหัวแน่” หวีเสริมขึ้น
แต่คำแนะนำนั้นไม่ซึมผ่านสมองอันชาญฉลาดที่มีเพียงน้อยนิดของวาทีสักนิด แม้สุชีราจะโตกว่าประมาณห้าหกปี แต่วาทีไม่คิดว่ามันใช่ปัญหาอะไร ขอแค่สวยถูกตากิริยาต้องใจแค่นั้นเป็นพอ
แม้วาทีอายุแค่ยี่สิบสาม แต่ก็ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตโลดโผนมามากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน และเพราะอำนาจเงินนั่นล่ะที่ทำให้เขารู้จักผู้หญิงในแบบต่าง ๆ มากมาย
แต่นั่นล่ะ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่ต้องตาต้องใจเท่าสุชีรา ยิ่งหญิงสาวจอมหยิ่งหมางเมินใส่ด้วยแล้ว วาทียิ่งอยากเอาชนะ
“เชื่อข้าเถอะไอ้กล้วย ไอ้หวี ลองได้เอาทำเมียแล้ว ยังไงซะก็หมูในอวย ยัยเจ๊ขมคนสวยไม่กล้าฤทธิ์มากกับข้าหรอก ไม่เชื่อเอ็งก็คอยดูฝีมือข้าก็แล้วกัน ถ้าไอ้วาทีรูปหล่อคนนี้เอาแม่เสือนั่นมาทำเมียไม่ได้ ไม่ต้องมาเรียกข้าว่านักเลงขาใหญ่ลูกเสี่ยสิญจน์เลยโว้ย” วาทีบอกอย่างลำพอง สองผู้ติดตามจึงมองหน้ากัน
“พี่มีแผนดี ๆ แล้วเหรอ?” นายกล้วยเป็นคนตั้งคำถาม
“ไม่มี”
“อ้าว” ทั้งสองผู้ติดตามอุทานเป็นเสียงเดียวพร้อมกัน
“ไม่ต้องอ้าว พวกเอ็งคอยดูไปเถอะ อีกไม่นานคุณผักขมคนสวยต้องซมซานมาซบอก ถอดเขี้ยวถอดเล็บยอมเป็นเมียของพี่วาทีคนนี้แน่นอน” ชายหนุ่มเลียปากน่าเกลียดก่อนพาลูกน้องกลับออกไป
หลังจากขึ้นรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ของเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าหนุ่มมาได้พักใหญ่ สุปราณีจึงเปิดวิทยุหาสถานีที่มีเพลงถูกใจฟังทันที พอได้เพลงเพราะถูกใจแล้วนั่นล่ะหญิงสาวจึงหันมายิ้มทะเล้นให้กับสารถีหนุ่มซึ่งขับรถมองทางอย่างเดียวไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอ
“หวานชอบเพลงนี้จังเลยค่ะคุณทศ” หญิงสาวชวนคุยจ๋อย ๆ กระนั้นสารถีหนุ่มยังมองท้องถนนไม่หันมาคุยอะไรด้วย และเรียวหน้าด้านข้างที่ติดจะเครียด ๆ นั่นก็ทำให้สุปราณีพลอยนิ่วหน้าตามไปด้วย
“คุณทศเครียดอยู่หรือเปล่าคะ?”
คำถามจากน้ำเสียงเล็ก ๆ และสดใสตามวัยผ่านเข้ามาในหู ทศพลจึงหันหน้ามามองคนถามแวบหนึ่งก่อนเบือนหน้ากลับไปทางเดิม
“ไม่มีอะไรฮะ ผมแค่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ฮั่นแน่ กำลังคิดถึงพี่ขมอยู่ใช่มั้ยล่ะ?” สุปราณีแกล้งเย้าแล้วยิ้มหวานให้ กระนั้นแม้ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหวั่นไหว
“ก็...นิดหน่อยครับ”
รอยยิ้มจากวงหน้าหวานสมชื่อของสุปราณีค่อย ๆ เลือนหายแล้วเปลี่ยนมาเป็นเม้มปาก ก่อนเบือนหน้าไปนอกกรอบหน้าต่างรถยนต์เสทำเป็นสนใจทัศนียภาพด้านนอก ด้วยว่าเธอต้องการเก็บซ่อนความรู้สึกที่อาจเผยออกมาให้เห็นทางสีหน้าแววแววตานั่นเอง
“ผมไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ถึงจะเข้าใกล้คุณขมได้”
ฟังคำของทศพลที่เธอตกหลุมรักเพียงแรกเห็นปรารภถึงผู้เป็นพี่สาว วงหน้าหวานจึงเศร้าลงกว่าเมื่อครู่
“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย แค่คุณทศอยู่เฉย ๆ ก็พอ” สุปราณีหันมาตอบอีก
“ไม่ได้นะคุณหวาน ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย คุณขมเธอจะชอบผมเหรอครับ”
“ชอบสิคะ” พอหลุดปากไปแล้วสุปราณีจึงหุบปากฉับในทันทีเมื่อรู้ว่าตนเองพูดมากไปแล้ว
ส่วนทศพลพอได้ยินอย่างนั้นจึงพารถเข้าจอดข้างทางแล้วขยับตัวหันมาจ้องหน้าหญิงสาวอย่างจริงจัง ซึ่งการมองของชายหนุ่มทำเอาสุปราณีถึงกับหน้าตาตื่น หายใจไม่ทั่วท้องเชียว
“เมื่อครู่คุณหวานพูดว่าอะไรนะครับ?”
น้ำเสียงจริงจังช่างบีบคั้นหัวใจของสุปราณีได้ดีเหลือเกิน หญิงสาวแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“คุณหวาน... มองผม”
พอโดนบังคับ สุปราณีจึงขบริมฝีปากล่างเอาไว้แล้วค่อย ๆ หันมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีพร้อมยิ้มแหย ๆ ให้
“อะ...อะไรคะ?”
“ที่คุณหวานบอกผมว่า ชอบสิคะ” ชายหนุ่มทวนคำปั้นหน้าขรึมดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง
สุปราณีพูดอะไรไม่ออกนอกจากทำตาปริบ ๆ เลือกที่ยิ้มทะเล้นเพื่อกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้อากาศดีนะคะ”
“คุณหวาน...อย่าแกล้งผมสิ แค่นี้ผมก็จะขาดใจอยู่แล้วนะครับ” ทศพลทำเสียงดุแกมตัดพ้อในตัว ส่วนผู้นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างสุปราณีที่โดนกดดันและเห็นสายตาชวนให้สงสารของชายหนุ่มจึงใจอ่อนยวบอีกตามเคย
“คือ... หวานหมายถึงพี่ขมน่าจะชอบคุณทศอยู่บ้างค่ะ” ปดออกไปแล้วคนฟังกลับยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย แต่เธอสิกลับรู้สึกผิดมากมายที่สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเอาใจเขา
“จริงเหรอครับคุณหวาน?” ทศพลไม่วายย้อนถามเพื่อความแน่ใจ
สุปราณีพยักหน้าหงึก ๆ “หวานคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพี่ขมคงไล่ตะเพิดคุณทศกลับบ้านไปนานแล้ว”
เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นของหญิงสาวทำเอาทศพลส่ายหน้า พลางพ่นลมหายใจออกจากปาก
“เฮ้อ... แค่นั้นไม่เรียกว่าชอบหรอกฮะ ที่คุณขมไม่ไล่ผม เพราะคุณขมรักษามารยาทต่างหาก” ชายหนุ่มบอกเสียงเศร้า และผู้แอบรักฝ่ายเดียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็เข้าอกเข้าใจผู้ตกอยู่ในสภาพเดียวกันเป็นอย่างดี
