5. เพราะบุพเพฯ
เมรีขึงตาเขียวปัดใส่อย่างขุ่นเคือง หากในใจกลับอบอุ่นอย่างประหลาด เสียงเอะอะโวยวายและเสียงกรีดร้องของผู้โดยสารที่อยู่อีกห้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้สงครามน้ำลายระหว่างเธียรกับเมรีหยุดชะงักลง
เธียรยกร่างบอบบางออกจากตักอย่างเสียดาย ร่างสูงลุกขึ้นพร้อมกับองครักษ์ของหญิงสาว แต่เสียงชายชุดดำพร้อมอาวุธสงครามเดินเข้ามาในห้องผู้โดยสาร ทำให้เธียรต้องรีบนั่งลงทันที
“สวัสดีผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้ทางกองกำลังติดอาวุธของเอฟรอนได้ยึดเครื่องบินลำนี้เอาไว้แล้ว ขอให้ทุกคนจงอยู่ในความสงบ เราไม่ต้องการทำร้ายใคร หากทางเราเจรจากับรัฐบาลได้สำเร็จ เราสัญญาจะปล่อยทุกคนไปโดยสวัสดิภาพ” เสียงเข้มของร่างสูงในชุดดำประกาศบอกกับทุกคน ใบหน้าปกปิดจนมิด มีเพียงดวงตาน่ากลัวเท่านั้นโผล่พ้นออกมา อีริทหัวหน้าชุดปฏิบัติการเย้ยรัฐบาลในครั้งนี้มองไปยังกลุ่มของเธียร ก่อนจะเดินแบกปืนเข้ามาใกล้ๆ ดวงตายาวรีมองเมรีเป็นนาน กว่าจะถอนสายตาออกหันไปมองกลุ่มชายฉกรรจ์อย่างไม่วางใจ
“ทหารชวาลาหรือนี่” อีริทเดินมาหยุดตรงหน้านาฟ แล้วหันมองไปรอบๆ เพื่อหาคนสำคัญของชวาลาที่ชายหนุ่มตามมาอารักขา แต่ก็ไม่มีเงาของชีคมาร์จา
“เหมือนเราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าครับคุณผู้หญิง” อีริทหันไปสบตากับเมรีอย่างไม่แน่ใจ หลังจากที่ให้ลูกน้องปลดอาวุธของผู้โดยสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว มือกร้านแดดยึดข้อมือบางแล้วกระชากออกมาจากเบาะนั่ง แต่ก็ช้ากว่าวงแขนแกร่งของเธียรที่กอดกระชับร่างบอบบางเอาไว้ก่อน
“เธอเป็นภรรยาผมเอง และที่สำคัญเธอพูดไม่ได้” เธียรเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ทำให้ทุกคนหันไปมองชายหนุ่มเป็นจุดเดียว อีริทปล่อยข้อมือบาง แล้วหรี่ตามองคนทั้งคู่อย่างไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของชายหนุ่ม
“ฉัน...” เมรีพูดได้เพียงเท่านั้นก็รับรู้ถึงแรงบีบกระชับที่เอวคอด
“ไม่ต้องตกใจนะที่รัก ไม่มีอะไรนะครับ” เธียรกดใบหน้างามให้ซบกับอกกว้าง
นาฟมองสบตาเธียรอย่างระแวงแต่ก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้เห็น เมรีครางในลำคอเบาๆ อย่างคาดโทษชายหนุ่มที่โมเม
“นี่มันอะไรกันคุณ”
เมรีถาม ลดเสียงลงพอได้ยินกันสองคน
“อยู่เฉยๆ นะคุณ เล่นไปตามบทที่ผมบอกก็พอ” เธียรสั่งเบาๆ ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากอิ่มที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าสีหวานเข้ากับชุด
“ดูแลห้องนี้ให้ดี” เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติ อีริทจึงเลิกสนใจคนทั้งสอง หันไปสั่งลูกน้องก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนักบิน
“พวกคุณจะกักตัวเรานานแค่ไหน” เสียงแหบพร่าของชายชราคนหนึ่งเอ่ยถามออกมา
“จนกว่าการเจรจาจะสิ้นสุดลง” อีริทหันหลังกลับมาตอบ
“เครื่องบินสำรองน้ำมันไม่มากพอที่จะให้เราบินได้นานเกินสิบแปดชั่วโมงหรอกอีริท” นาฟบอก สบตากับเพื่อนที่มีความคิดแตกต่างในเรื่องของอุดมการณ์
“มันขึ้นอยู่กับการเจรจานาฟ” ว่าแล้วอีริทก็เดินเข้าไปในห้องนักบิน
นาฟสบตากับลูกน้องอีกสี่คนที่ยืนนิ่งไม่แสดงอาการอะไรออกมา ชายชุดดำร่างยักษ์บังคับให้ทุกคนนั่งลง ก่อนจะเดินมารวมกลุ่มกับเพื่อนที่ประตู
เครื่องบินยังคงลอยลำอยู่บนน่านฟ้านานกว่าเวลาที่กำหนด เธียรหยิบโทรศัพท์มากดส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากภาคพื้นดิน เมรีมองอุปกรณ์สื่อสารทรงประสิทธิภาพของชายหนุ่ม พลางใช้ร่างบอบบางบังเอาไว้เพื่อให้ชายหนุ่มทำงานได้สะดวกขึ้น
“ขอบคุณที่รัก คุณนี่รู้ใจผมไปหมดเลยให้ตายสิ” เธียรบอกยิ้มๆ เก็บโทรศัพท์เข้าที่เดิม เมรีหันไปค้อนให้ชายหนุ่ม
“เดี๋ยวจะได้ตายสมใจ” หล่อนตอบเสียงลอดไรฟัน
เธียรหัวเราะหึๆ ในลำคอ นาฟยกมือลุกขึ้นยืน ทำให้พวกมันกรูเข้ามาหา
“เฮ้ย! จะทำอะไรวะ” พวกมันตะโกนถามพร้อมผลักชายหนุ่มให้นั่งลง
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ ถ้าพวกนายไม่ไว้ใจตามไปก็ได้” นาฟบอกเสียงเรียบ สายตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างประเมิน
“แกไปกับมัน” ชายร่างยักษ์สั่งลูกน้องคุมตัวนาฟเดินไป พอดีกับเจ้าหน้าที่บนเครื่องเข็นรถเข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่มพร้อมอาหารตามปกติ แต่ละคนมองชายชุดดำอย่างตื่นกลัว นาฟเดินไปถึงเบาะนั่งของเธียรจึงแกล้งชนกับเจ้าหน้าที่เซเข้าไปหาชายหนุ่มพร้อมยัดกระดาษใส่มือ เธียรรีบกำไว้แน่น นาฟรีบยืดตัวขึ้นทันทีเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต มือหนาคลี่กระดาษออกอ่านเมื่อลูกน้องของอีริทเดินผ่านไป
“ฝากดูแลท่านหญิงเมรีด้วย” เธียรเก็บข้อความใส่กระเป๋ากางเกง หันมองใบหน้าเนียนที่มองสบตาเขาพอดี
“คุณชื่อเมรีเหรอ” เขาถาม ดวงตาเปล่งประกายอย่างยินดี
“มาถามอะไรตอนนี้ล่ะคุณ ยิ่งหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่” หล่อนเอ็ดเขาเบาๆ
เธียรยิ้มแววตาแพรวพราว เขาไม่ต้องตามหานางเมรีที่ไหนอีกแล้ว เพราะนางเมรีของพระรถอยู่ข้างกายนี่เอง
เสียงภาษาอาหรับดังออกมาจากห้องเครื่องอย่างรีบร้อน ไม่นานร่างผู้ช่วยนักบินก็ถูกหิ้วปีกออกมาโยนลงกับพื้น
“นี่คือตัวอย่างของคนที่ขัดคำสั่งเรา” อีริทประกาศเสียงกร้าว มองร่างในเครื่องแบบผู้ช่วยนักบินที่นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“เราต้องลงจอดที่ไหนสักแห่งเพื่อเติมน้ำมันนะอีริท ไม่อย่างนั้นเราจะตายกันหมด” สิ้นเสียง นาฟเดินกลับเข้ามายืนเผชิญหน้ากับอีริทอย่างไม่เกรงกลัว นาฟรู้ว่ากองกำลังของเอฟรอนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนายเหนือหัวของเขาอยู่แล้วไม่ว่ากรณีใด
“ทุกอย่างพระผู้เป็นเจ้าลิขิตเอาไว้แล้วนาฟ แต่น่าเสียดายที่นายมาอยู่ในเครื่องบินลำนี้ด้วย”
“นายก็รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกนายและรัฐบาลของนายแม้แต่น้อย นายไม่มีสิทธิ์ทำกับพวกเขาแบบนี้” นาฟมองอีริทอย่างขอร้อง เธียรนั่งเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ ผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างนั่งฟังการเจรจาของคนทั้งสองอย่างสนใจ
“นายก็รู้ว่าอุดมการณ์มันต้องแลกด้วยเลือดและน้ำตาเสมอ” อีริทยิ้มอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นเครื่องบินก็กระตุกวูบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลายคนล้มระเนระนาด พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก
“กรี๊ด!/ ว้าย!” เธียรโอบกระชับร่างบอบบางไว้แนบอก
“กลัวไหมเมรี” เขาถามเสียงนุ่มนวล
เมรีเงยหน้าสบตาคม ไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะมีคนเรียกชื่อเธอได้ไพเราะเพราะพริ้งขนาดนี้ ดวงตาทั้งคู่ประสานกันนิ่งนานจนเมรีต้องเป็นฝ่ายหลบอีกฝ่าย รู้สึกมั่นใจว่าตัวเองจะต้องปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมกอดอุ่นของผู้ชายคนนี้
