4. เพราะบุพเพฯ
*** ทักทายคร้า ไปต่อกันเลยนะคะ ***
หน้าสนามบินนานาชาติของกรุงปารีส ธามขับรถมาส่งเธียรเพื่อเดินทางเข้าไปในรัฐชวาลาตั้งแต่เช้า สนามบินฝั่งที่จะเดินทางไปยังตะวันออกกลางค่อนข้างโล่งกว่าทุกวัน
“โชคดี ถ้าต้องการผู้ช่วยโทรมาได้ตลอดเวลา” ธามส่งหนังสือเดินทางและพาสปอร์ตให้
“ขอบใจ” เธียรตบไหล่หนาเบาๆ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในแถวเพื่อตรวจเอกสารเดินทาง
“อย่าลืมเที่ยวหานางเมรีด้วยล่ะพี่ชาย” ธามตะโกนไล่หลังมา มือใหญ่ของเธียรโบกรับคำพูดของน้องชาย
ร่างสูงสง่าสมชายชาตรีเดินขึ้นเครื่องเกือบจะเป็นคนสุดท้าย บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่นั่งอยู่ภายในห้องผู้โดยสารระดับเฟิร์สคลาสต่างหันมองชายหนุ่มอย่างสนใจ เธียรเดินมาตามทางเดินแคบๆ ดวงตาคมมองเลขที่นั่ง ก่อนจะมองหาพนักงานต้อนรับที่อยู่บนเครื่อง
“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ต้องให้รอ” เสียงสำเนียงภาษาอังกฤษหวานแว่วอยู่ด้านหลัง
“ไม่เป็นไรครับ” เธียรยิ้มตอบอย่างสุภาพ สายตามองไปรอบๆ ตามนิสัย
“เชิญด้านนี้ค่ะ” พนักงานต้อนรับสาวพาชายหนุ่มเดินไปด้านหน้าตัวเครื่อง แล้วมาหยุดยืนที่ม้านั่งของชายหนุ่ม เธอผายมือส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“ขอให้มีความสุขตลอดการเดินทางกับสายการบินของเรานะคะ” เธอบอก ดวงหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เธียรวางกระเป๋าไว้ข้างเบาะ ก่อนจะกวาดสายตาไปมองชายฉกรรจ์ตัวโตที่นั่งรายล้อมที่นั่งของเขากับเพื่อนเดินทางที่นั่งอยู่ก่อนแล้วอย่างผิดสังเกต ร่างสูงหย่อนกายลงนั่งประจำที่ แล้วทักทายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“สวัสดีครับ” เสียงทักทายขาดหายไป เมื่อชายหนุ่มจ้องมองใบหน้ารูปไข่เนียนสวยภายใต้เรือนผมหยักศกสีดำสลวย ใบหน้างามถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมหน้าตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่ก็ยังได้เห็นดวงหน้ารางๆ ดวงตากลมโตดำขลับสบตาคมกริบเนิ่นนาน จนคนถูกมองเริ่มออกอาการไม่พอใจ ชายตัวโตที่นั่งอยู่เบาะถัดไปเดินเข้ามาโค้งคำนับหญิงสาวอย่างนอบน้อม ก่อนจะถามออกมา
“มีอะไรครับท่านหญิง”
“ไม่มีอะไร แค่ผู้ชายไม่มีมารยาทคนหนึ่งเท่านั้น” เสียงใสทรงอำนาจดังขึ้น ทำให้สติของสายลับหนุ่มกลับมาเมื่อถูกต่อว่าเป็นคนไร้มารยาท
“ท่านหญิงต้องการจะเปลี่ยนที่นั่งไหมครับ”
นาฟ องครักษ์คนสนิทของชีคมาร์จาเอ่ยถาม พร้อมมองสบตาคนที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ข้างๆ ท่านหญิงเมรี
“ไม่เป็นไรนาฟ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงชวาลาแล้ว ไปนั่งที่เถอะ” เมรียิ้มให้แล้วก้มอ่านนิตยสารอย่างไม่สนใจคนข้างๆ
“ครับท่านหญิง” นาฟรับคำแล้วก้าวไปนั่งที่เดิม หากสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมเข้มของเธียรไม่วางตา
“ไปทำอะไรที่ชวาลาครับ” เธียรยังคงชวนคุยต่อ มือหนาเปิดหนังสือพลิกไปมาอย่างไม่สนใจนัก แต่ใจเฝ้ารอคำตอบจากคนข้างๆ แต่เสียงตอบก็ยังคงเงียบ จนกระทั่งเขาทนรอไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไงครับ ผมรอคำตอบอยู่นะ”
ถึงแม้ว่าเสียงถามจะทุ้มน่าฟัง แต่ก็ไม่ช่วยให้อารมณ์ของท่านหญิงเมรีลดดีกรีความขุ่นเคืองลงได้
“นี่คุณ หัดมีมารยาทซะมั่งสิ คนอื่นเขาต้องการสมาธิในการอ่านหนังสือ คุณก็มาเซ้าซี้ถามอยู่ได้” เมรีต่อว่าชายหนุ่มแปลกหน้าเสียงดุ เธียรยิ้มสบตากลมโตคู่งามที่มองเขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“ผมถาม คุณตอบ ป่านนี้ก็จบไปนานแล้ว ผมก็ไม่ต้องเซ้าซี้ถามหรอก”
“ฉันจะไปทำอะไรที่นั่นมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณเสียหน่อย”
“ไม่แน่นะคุณ บางทีเราอาจจะเกี่ยวข้องกันไปอีกนาน หรือตลอดชีวิตก็ได้” เธียรยิ้มให้
“แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นด้วยสิ ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน” หล่อนยิ้มหวาน มองใบหน้าคมเข้มที่มากไปด้วยเสน่ห์ของอีกฝ่าย
“อย่ามั่นใจอะไรขนาดนั้นคุณผู้หญิง” เสียงทุ้มกระซิบบอก เธียรโน้มตัวเข้ามาใกล้ ทำให้ใบหน้างามผละออกอย่างรวดเร็ว หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามผิดจังหวะไปหมด ดวงตากลมโตวูบไหวชั่วครู่ แต่ก็ไม่พ้นสายตาคมกริบของเธียรไปได้
“ว้าย” เสียงแหลมใสร้องขึ้นมาพร้อมผู้โดยสารที่อยู่ในห้อง เมื่อเครื่องบินลำใหญ่ตกหลุมอากาศเต็มแรง เครื่องเอียงอย่างน่าหวาดเสียว ร่างบอบบางลอยขึ้นไปนั่งบนตักชายหนุ่ม ลำแขนแข็งแรงก็โอบกระชับเอวบางเอาไว้ จมูกโด่งเป็นสันฝังลงบนแก้มนวลแรงและเร็วจนยากที่คนจะสังเกตเห็น
“หอมอย่างที่คิด” เขากระซิบบอกเสียงทุ้ม ดวงตาพราวระยับมองแก้มแดงระเรื่ออย่างพอใจ
“อีตาบ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ก่อนที่ฉันจะให้คนของฉันลากนายไปที่ห้องเก็บสัมภาระ” เมรีขู่
“น่ากลัวจัง ขู่คนอื่นคงได้ผลกว่านี้ แต่ใช้กับผมไม่น่าจะได้นะครับคนสวย” เธียรบอกเสียงนุ่มข้างหูเล็กพลางส่งยิ้มแววตาล้อเลียน
