6. เพราะบุพเพฯ
ข่าวการจี้เครื่องบินของกองกำลังติดอาวุธเอฟรอนกระจายออกไปสู่สายตาคนทั่วโลก หลายฝ่ายหวาดวิตกว่าผู้ก่อการร้ายจะบังคับเครื่องบินวิ่งชนกับตึกขนาดใหญ่ เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนที่เป็นข่าวไปทั่วโลก
ชาร์และวราลีโทรถามพอลเรื่องลูกชายโตของพวกเขาด้วยความเป็นห่วง
ธามและบิดานั่งมองการถ่ายทอดสดด้วยความเป็นห่วงเธียร ขนาดคนเป็นลุงยังใจรุ่มร้อนห่วงหลานชายมากขนาดนี้ แล้วคนเป็นพ่อแม่จะมากขนาดไหน
“คนของเราประจำอยู่ทุกสนามบินตามคำสั่งแล้วครับนายใหญ่” อารอนเดินเข้ามาบอกเจ้านาย สายตาจ้องมองการเจรจาทางจอทีวีขนาดใหญ่ของเอฟรอนกับรัฐบาล
“ดี สั่งคนของเราทุกคนดูแลนายเธียรให้ดีที่สุด แต่อย่าทำให้งานของเขาเสีย เข้าใจใช่ไหม” พอลสั่งการอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องทำงานของลูกชาย
“พรุ่งนี้อย่าลืมไปรับธรณ์ที่สนามบินด้วยนะธาม” ร่างสูงชะงักหันมาบอกลูกชายที่ยังคงนั่งหน้าเครียดอยู่บนชุดรับแขก
“ธรณ์จะมาปารีส!” ธามดีดตัวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่ออีกคน ดวงตาคมเป็นประกายเรืองรองขึ้นมาทันที เมื่อคิดถึงการผจญภัยในทะเลทรายที่จะมีขึ้นในไม่ช้า
“แค่ไปรับมารอเธียรที่นี่เท่านั้นนายธาม” ผู้เป็นพ่อพูดดักคออย่างรู้ทัน
“ถ้ารบชนะหนูการะเกดไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปช่วยเธียรไอ้ลูกชาย” พอลคลี่ยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“ยัยตุ๊กตาบาร์บี้นั่น ร้ายยิ่งกว่ากองกำลังติดอาวุธอีกนะครับพ่อ ทำเอาผมหัวปั่นได้ทุกวัน” ธามบอกพลางเดินกลับไปนั่งเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เสียงหัวเราะของบิดาแว่วเข้ามาให้ได้ยิน
ประตูห้องทำงานปิดลง ธามเอนหลังหลับตาอย่างผ่อนคลาย คิดถึงใบหน้าหวานใสน่ารักของคนที่คอยรบกวนจิตใจเขามาตลอด ตั้งแต่เธอเข้ามาฝึกงานในตำแหน่งเลขาฯ ของเขาได้ไม่นาน
“คุณซอนย่าครับ ขอกาแฟที่นึงครับ” ธามกดเครื่องติดต่อภายในไปที่เลขาฯ หน้าห้อง ไม่นานเสียงประตูก็เปิดออกพร้อมร่างที่เฝ้าคิดถึงเดินเข้ามา การะเกดวางแก้วโกโก้ร้อนๆ ตรงหน้าชายหนุ่ม
“ผมจำได้ว่าสั่งกาแฟ ไม่ได้สั่งโกโก้ร้อน” ธามบอกพลางตีหน้าขรึมใส่หญิงสาว
“มีแต่โกโก้ กาแฟหมด” หล่อนบอกห้วนๆ ใบหน้างามบึ้งตึงริมฝีปากบางเม้มสนิท
“ทั้งตึกไม่มีกาแฟสักถ้วยเลยรึไง” ธามถามเสียงหงุดหงิด เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองหญิงสาวด้วยแววตานิ่งเฉย
“จำได้ไหมว่าวันนี้กินกาแฟไปกี่แก้วแล้ว” เสียงห้วนดังขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มแอบดีใจอยู่ลึกๆ ที่เธอห่วงใยเรื่องสุขภาพของเขา
“สี่”
“นั่นแหละสาเหตุที่กาแฟหมดทั้งตึก” การะเกดบอกหน้าตาย กอดถาดเครื่องดื่มไว้กับอก ธามมองร่างบอบบางในชุดสูทสีฟ้าอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวเห็นเครื่องหมายคำถามที่หน้าผากชายหนุ่มจึงเฉลยออกมา
“ข้างซองกาแฟเขาบอกว่าห้ามดื่มเกินวันละสองแก้ว เพราะจะเป็นอันตรายต่อหัวใจ คุณเองก็ดื่มเกินโควตาแล้วด้วย ตอนบ่ายก็เลยต้องดื่มโกโก้แทน แล้วพรุ่งนี้เจ้านายก็หมดสิทธิ์ดื่มกาแฟด้วยนะคะ เพราะวันนี้ได้ดื่มของวันพรุ่งนี้ไปแล้ว” การะเกดยิ้มให้เจ้านายหนุ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันหลังเดินตัวปลิวออกไปจากห้อง พร้อมกับเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีที่เอาคืนชายหนุ่มได้
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ยัยตัวแสบ ฝากไว้ก่อนเถอะ” ธามหัวเราะเสียงดังอย่างคิดไม่ถึงว่าจะมีใครกล้ายอกย้อนเขาได้แสบสันขนาดนี้
ทางด้านการะเกด พอพ้นประตูออกมาก็หัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง เมื่อคิดถึงหน้าคมสันที่มองหล่อนเลิ่กลั่ก คงไม่คิดว่าหล่อนจะมาไม้นี้ล่ะสิ เจ้านายบ้าอำนาจ หล่อนย่นจมูกใส่ประตูบานใหญ่
“หัวเราะอะไรคะน้องเกด” ซอนย่าวางเอกสารไว้บนโต๊ะ มองหน้าผู้ช่วยอย่างแปลกใจ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่ซอนย่า” การะเกดสบตาซอนย่า เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาขณะที่เธอหัวเราะในวีรกรรมของตัวเอง
“พี่ซอนย่าเข้าไปดูเจ้านายด้วยนะคะ เดี๋ยวเกดเอาเอกสารไปให้ฝ่ายการตลาดเอง” ว่าแล้วมือบางก็รวบเอกสารขึ้นมาแนบอกแล้วเดินยิ้มออกไป ซอนย่ามองตามแผ่นหลังบางไปอย่างไม่เข้าใจ สายตามองประตูห้องทำงานของเจ้านายหนุ่ม วันนี้โดนเอาคืนอะไรอีกนะเจ้านายเรา
ความตึงเครียดบนเครื่องบินเริ่มมีมากขึ้น เมื่อผลการเจรจาไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้ก่อการร้ายตั้งใจ อีริทและชายฉกรรจ์ที่อยู่บนเครื่องเริ่มคุกคามผู้โดยสาร อีริทสั่งให้กัปตันติดต่อกับภาคพื้นดิน หากไม่ทำตามข้อเรียกร้อง พวกเขาจะฆ่าตัวประกันชั่วโมงละหนึ่งคน ผู้โดยสารที่อยู่ภายในห้องต่างเงียบกริบหลบสายตาอีริท อย่างหวาดกลัว
นาฟหันมองลูกน้อง ก่อนจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้กัน แล้วความโกลาหลก็เกิดขึ้นเมื่อเครื่องทั้งเครื่องดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เธียรกอดกระชับร่างบอบบางไว้แนบอก พลางกระซิบถามอย่างเป็นห่วง
“กลัวไหม” เสียงนุ่มนวลอบอุ่นของชายหนุ่ม ทำให้เมรีอุ่นซ่านขึ้นมาในหัวใจ ใบหน้าซุกซบอกอุ่นอย่างรู้สึกปลอดภัย
“เกิดอะไรขึ้นกัปตัน” เสียงอีริทตะโกนถามเสียงดัง
“เราต้องเอาเครื่องลงที่ไหนสักแห่ง เพราะเราเหลือน้ำมันไม่มากพอ” กัปตันวัยกลางคนตะโกนออกมาบอก พร้อมกับค่อยๆ ลดความสูงลงเรื่อยๆ เรดาร์ที่วงจรควบคุมบอกพิกัดสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ก็ไกลเกือบร้อยไมล์ทีเดียว
“เอาเครื่องขึ้นเดี๋ยวนี้” อีริทสั่งพลางเล็งปลายกระบอกปืนไปที่ศีรษะของกัปตัน
“ถ้าขืนบินต่อไป จะทำให้พวกเราตายกันหมด” กัปตันบอกอย่างไม่สนใจ ลดระดับเครื่องลงเรื่อยๆ
“ฉันบอกให้เอาเครื่องขึ้นเดี๋ยวนี้” กัปตันบูนอฟไม่สนใจคำขู่ของอีริท สายตายังคงจับอยู่ที่จอบอกระดับความสูง ไม่นานเสียงปืนก็ดังขึ้น ร่างของนักบินล้มฟุบลงไป เครื่องบินดิ่งหัวลงอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องดังอย่างตื่นตระหนก
“กรี๊ด/ว้าย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที” หลายคนต่างสวดมนต์ภาวนาเสียงดัง
นาฟและลูกน้องอาศัยความชุลมุนเข้าชาร์จแย่งปืนจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่อยู่ห้องผู้โดยสารทันที เธียรจูบแก้มนวลแรงๆ อย่างขอกำลังใจ ก่อนจะวิ่งไปที่ห้องนักบินเพื่อจัดการกับอีริท เมรีตาโตมองแผ่นหลังกว้างวิ่งไป แก้มนวลแดงระเรื่ออย่างนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะกล้าแตะต้องเธอขนาดนี้
“เฮ้ย!” อีริทหันปลายกระบอกปืนมาที่ชายหนุ่ม แต่ช้ากว่าเท้าที่ฟาดตวัดปืนในมืออีริทกระเด็นตกลงไปที่พื้น เธียรต่อยเข้าใบหน้าอีริทเต็มแรง ร่างเพรียวล้มลงไปทับร่างไร้วิญญาณนักบิน เธียรจับคันบังคับให้เครื่องค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้โหม่งกับพื้นทราย
“แกตาย” อีริทดึงมีดออกมาพุ่งเข้าใส่ เธียรจับข้อมืออีริทเอาไว้ แล้วเตะไปที่ลำตัวใหญ่ แล้วหักมือที่ถือมีดแทงไปที่ท้องของอีริทเต็มแรง
“อ๊าก” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมเลือดพุ่งออกมาเต็มหน้าปัดแผงควบคุม ร่างสูงใหญ่ของอีริทล้มพับลงไปนอนกับพื้นสิ้นใจอยู่ตรงนั้น
เมื่อสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว นาฟก็เข้ามานั่งประจำที่ผู้ช่วยนักบิน เธียรพยายามติดต่อหอบังคับการบินที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอนำเครื่องลงจอดฉุกเฉิน
*** ขอบคุณคร้าที่ติดตามจ้า ***
