3.ตามหาหัวใจ
รถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์หลังงามของมาโรน่า วิ่งไปตามถนนใจกลางเมืองฝ่าการจราจรชั่วโมงเร่งด่วนของมหานครปารีส พร้อมรถการ์ดที่ขับติดตามมาห่างๆ
“ต้องการผู้ช่วยไหมครับท่าน” ธามถามพี่ชายขณะขับรถมาที่ตึกมาโรน่าไดมอนด์
“จอดรถที่หน้าตึก แล้วนายก็ย้ายก้นขึ้นไปนั่งอยู่บนหอคอยได้แล้ว ฉันจะรีบไป”
“ถ้าต้องการผู้ช่วยโทรมาได้นะ ระวังตัวด้วย” ว่าแล้วร่างสูงก็ก้าวลงจากรถ เธียรขยับไปประจำที่คนขับแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ธามยืนมองท้ายรถจนลับตา ก่อนจะหันไปสั่งการ์ดที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“อารักขาให้ดี อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับคุณเธียรเด็ดขาด” ธามสั่งลูกน้องคนสนิท เพราะมีคำสั่งจากเสือตัวเล็กของโมโรน่าส่งตรงมาจากเมืองไทย
“ครับนายธาม” ฟราโก้รับคำสั่งแล้วพาลูกน้องตามเธียรไปห่างๆ ร่างสูงสง่าไม่แพ้ญาติผู้พี่เดินเข้าไปในห้องโถงกว้างของตึก ตรงไปยังลิฟต์ผู้บริหาร
ธามออกจากลิฟต์เดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงานของเลขาฯ จอมจุ้น ลูกสาวเพื่อนพ่อของเขาฝากมาฝึกงานเพื่อไปดูแลธุรกิจของตัวเอง ดวงตาคมกริบมองหาร่างบอบบางไปรอบๆ ขณะเดินเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน ส่วนคนที่เขากำลังมองหา กำลังวุ่นวายอยู่กับโต๊ะทำงานของเขาอยู่ในห้อง
“เฮ้ย! นั่นคุณไปยุ่งอะไรกับโต๊ะทำงานของผมน่ะ” ธามรีบเดินเข้ามาดูเอกสารบนโต๊ะที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักยืนจัดเอกสารอย่างไม่สนใจเจ้านายหนุ่ม
“ก็จัดเอกสารให้คุณน่ะสิ เอกสารเก็บแบบนี้เวลาหาจะเสียเวลามากรู้ไหม” เสียงสดใสต่อว่าชายหนุ่มโดยไม่เงยหน้ามองคนที่กำลังยืนแยกเขี้ยวใส่เธอ
“เอกสารของผมมันวางอยู่ดีๆ คุณมาทำแบบนี้แล้วผมจะหาเอกสารเจอได้ยังไง” ธามยกมือตบหน้าผากตัวเองเบาๆ
“คุณจะเอาเอกสารอะไรก็บอก จะได้หาให้”
“ไม่ต้องเลย คุณออกไปจากห้องผมเลย แล้วก็ตามคุณซอนย่ามาหาผมด้วย” ชายหนุ่มสั่งแล้วเดินมาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“คุณซอนย่าไม่สบาย ขอลาหยุด” การะเกดบอกใบหน้างามบูดบึ้ง ร่างบอบบางในชุดทำงานสีหวานหมุนตัวเดินออกจากห้อง
“เดี๋ยว!” เสียงเข้มทรงอำนาจดังไล่หลังมา ทำให้ร่างบอบบางชะงักทันที
“อะไร!” เสียงใสตอบห้วนๆ เหมือนเด็กถูกขัดใจ
“พูดกับเจ้านายแบบนี้ได้ยังไง มานี่เร็วเข้า”
ธามแอบยิ้มเมื่อเห็นร่างบอบบางเดินหน้างอเข้ามาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานของเขา
“เตรียมเอกสารประชุมแล้วก็ขอกาแฟด้วย”
“นี่เอกสารประชุม ส่วนกาแฟรอเดี๋ยว” มือบางหยิบแฟ้มสีดำที่อยู่มุมโต๊ะวางตรงหน้าชายหนุ่ม แล้วเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่นวางไว้บนโต๊ะ
“มีอะไรอีกไหมคะเจ้านาย” หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ ห่างกันเพียงคืบ ดวงตาสองคู่ประสานกันอย่างจัง ทั้งธามและการะเกดสบตากันนิ่งนาน จนกระทั่งเสียงประตูเปิดเข้ามา พร้อมกับร่างสูงของบิดาและเจมส์ แฮรี่ พ่อของหญิงสาวเดินเข้ามาในห้อง
“ว่าไงเกด”
การะเกดผละออกห่างจากชายหนุ่มทันทีเมื่อได้ยินเสียงบิดา ร่างบอบบางวิ่งเข้าไปกอดเพื่อแก้อาการขัดเขินของตัวเอง
“พ่อขา”
“เด็กดื้อ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังอ้อนพ่ออีก นายดูสิพอล” เจมส์หัวเราะอารมณ์ดี ยกมืออูมกอดลูกสาว
“พ่อมารับเกดกลับไปทำงานแล้วใช่ไหมคะ” หล่อนถามอย่างกระตือรือร้น เพราะเกือบสามวันที่เธอมาฝึกงานกับเจ้านายบ้าอำนาจอย่างธาม ชายหนุ่มดูจะไม่ค่อยชอบหน้าเธอเท่าไหร่
“อะไรกันหนูเกด ฝึกงานกับพี่เขาแค่สามวันเอง” พอลยิ้มให้อย่างเอ็นดู ชำเลืองมองลูกชายตัวดีที่ยืนยิ้มขำๆ อยู่หน้าโต๊ะ
“เธอคงทำงานไม่เป็นน่ะครับพ่อ ลุงเจมส์ หรือสุภาษิตไทยเขาเรียกว่าอะไรน้า” ธามทำท่าทางครุ่นคิดแล้วเสียงแหลมใสของมาดามคนางค์ แม่ของหญิงสาวก็ดังขึ้น
“เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจ้ะ”
“ใช่ครับใช่ สวัสดีครับคุณป้า” ธามยกมือไหว้คนางค์อย่างคุ้นเคย เพราะทั้งครอบครัวของหญิงสาวและของเขาสนิทกันมานาน
“แม่น่ะ ทำไมว่าลูกตัวเองแบบนี้คะ เกดแค่ไม่อยากทำงานกับคนบ้าอำนาจเท่านั้นเอง” หล่อนบอกพร้อมเข้าไปกอดมารดา
“ธามรังแกน้องหรือเปล่า” พอลหันไปสบตาบุตรชาย ทำให้ธามถึงกับสะดุ้งเพราะมีคดีกับการะเกดหลายอย่างเหมือนกัน เพราะความที่หญิงสาวชอบทำหน้าเหมือนไม่อยากเจอเขา เขายิ่งแกล้งให้เธอเข้าใกล้ บางวันสอนงานไปเขาก็แกล้งดุเสียงดังๆ เวลาหน้าใสๆ เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ของหญิงสาวงอง้ำ ยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดี
ร่างสูงของเธียรในชุดกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อคอกลมสีขาวรัดรูปจนเห็นกล้ามเนื้ออกและไหล่ดึงดูดสายตาบรรดาคนที่เดินผ่านไปมาในตรอกเล็กๆ ทั้งสองฝั่งถนนเป็นตึกสูง ชายหนุ่มเดินมาได้ไม่นานก็มาหยุดยืนที่หน้าประตูไม้สี่เหลี่ยม สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะเบาๆ
ก๊อกๆ ๆ
“ใคร” เสียงแหบพร่าของคนข้างในดังออกมา
“ลูกเสือ” สิ้นเสียงเธียรประตูห้องก็เปิดออกทันที ชายชราในชุดคาฟตานสีเข้มนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มให้กับชายหนุ่ม
“ปารีสยินดีต้อนรับลูกเสือตัวเล็ก”
เธียรเดินเข้ามาหยุดอยู่กลางห้องที่ค่อนข้างคับแคบและอับชื้น ใบหน้ายับย่นหันมองซ้ายขวา ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินไปนั่งเบื้องหน้าเธียร
“พ่อเฒ่าลาบันคงสบายดี” สายตาคมกริบจับจ้องอยู่บนใบหน้ายับย่นของอีกฝ่าย แล้วนั่งลงตรงข้ามชายชรา
“ตามอัตภาพ” ผู้เฒ่าลาบันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยกกล้องมอระกู่ขึ้นสูบ
“คงไม่ต้องบอกว่าผมอยากรู้เรื่องอะไร”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ายับย่นนั้น ด้วยวัยเกือบหกสิบของพ่อเฒ่าลาบันผู้ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ยังคงนั่งนิ่งสบสายตาคมกริบของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินไปรินน้ำชาส่งให้ชายหนุ่มผู้มาเยือน
“อาวุธต้องขนผ่านรัฐชวาลาอย่างแน่นอน แต่เมื่อไหร่ข้าไม่รู้ คิดว่าคงอีกไม่นาน” ผู้เฒ่าชราเอ่ยออกมาเสียงแหบแห้ง
“คราวนี้โทนี่กับลูกน้องขนย้ายอาวุธสงครามมากกว่าทุกครั้ง ทางองค์กรกลัวว่าจะเกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นในแถบตะวันออกกลาง” เธียรเอ่ยถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา
“ไม่มีการซื้อขายอาวุธแต่เป็นการให้เปล่า เพราะคนที่โทนี่จะเอาอาวุธไปให้เป็นลูกชายของเขาเอง ชื่อเอฟรอน ซึ่งมีความเชื่อเรื่องของการแบ่งแยกดินแดนอยู่ตลอดเวลา”
“ทำกันเป็นขบวนการ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ใช่ แต่งานนี้โทนี่ต้องการจะสร้างฐานกำลังผลิตอาวุธ ขายแถบนี้โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางให้ยุ่งยาก และที่สำคัญ อาวุธที่ผลิตดามัสจะเป็นกลุ่มแรกที่ทดลองใช้”
“รัฐที่เป็นเส้นทางผ่านต้องได้รับผลกระทบแน่นอน” เธียรสรุปในตอนท้าย
“ยกเว้นชวาลา โทนี่จะเจอตอ” ผู้เฒ่าตอบพร้อมยกริมฝีปากขึ้น คิดถึงชีคหนุ่มผู้ได้ฉายายมทูตแห่งทะเลทราย มือหยาบกร้านล้วงเอาซองเอกสารที่อยู่ในเสื้อส่งให้ชายหนุ่ม
เธียรรับมาอย่างแปลกใจ สายตาคมก้มมองเอกสารจากองค์กร ก่อนจะเปิดอ่านอย่างรวดเร็วและคิ้วหนาขมวดเป็นปมอย่างสงสัยในภารกิจใหม่ที่ต้องทำ
“ผมคงต้องไปชวาลาเพราะแผนถูกเปลี่ยนกะทันหัน” เธียรเงยหน้าสบตากับผู้สูงวัยที่กำลังหัวเราะในลำคอ
“ถ้าจะดูแลน้องสาวยมทูต พญาเสือก็ต้องไปคำรามให้เห็น” ผู้เฒ่าชราเล่นสำนวนเสียงเรียบ
“ดูแลผู้หญิงคงวุ่นวายปวดหัว” เธียรบอกอย่างปลงๆ
“ทุกอย่างพระผู้เป็นเจ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้ว” ว่าแล้วร่างผอมบางของผู้เฒ่าชราก็เดินจากไปเงียบๆ
เธียรเผาทำลายหลักฐานทิ้งแล้วเดินไปอีกทาง
*** ขอบคุณที่ติดตามจ้า ***
