เจ้าวรรศ : บทที่ ๕ ปากเหลือร้าย ใจเสน่หา【1】
จะไม่ยอมให้องค์วรรศข่มเหงรังแกอีกแล้ว!
หมายมั่นปั้นมือแต่อรุณรุ่งเลยทีเดียว องค์นวินเจ็บใจสุดแสนนัก หลังจากที่ถูกเจ้าวรรศกลั่นแกล้งทั้งเกี้ยวพาราสี ทั้งประทับจุมพิตที่หลังต้นคอ เขาก็เอาแต่ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด ผิดแผกจากอุปนิสัยสงบเสงี่ยมแต่เดิมอยู่ไม่น้อย ทำเอาเหล่าข้าราชบริพารใกล้ชิดนึกสงสัย แต่ก็หาได้มีผู้ใดเอ่ยซักถาม นอกจากจะให้คำแนะนำว่าควรจะเกี้ยวพาราสียักษ์ตนอื่นอย่างไรดี
โถ...ที่แท้ก็กระฟัดกระเฟียดเพราะไปเกี้ยวพาราสีองค์ศวรรย์มา คงจะมีสิ่งใดไม่สมดั่งใจปองกระมัง
สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหล่าข้าราชบริพารคิด หารู้ไม่ว่าอสุรารูปงามจากปรมะผู้นั้นหาใช่องค์ศวรรย์ผู้น้อง แต่เป็นองค์วรรศผู้พี่ ซึ่งมีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย มิหนำซ้ำยังกล้ารังแกผู้อื่นถึงในบ้านในเรือนอย่างไม่ไว้หน้า ผู้ใดเลยจะรู้เล่าว่าองค์นวินต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง
แต่ถึงจะรู้ว่าหากอยู่ใกล้เจ้าวรรศจะเจอกับสิ่งใด กระนั้นองค์นวินก็หาได้ยอมแพ้ เรื่องที่ต้องไปอยู่ใกล้ชิดเพื่อเกี้ยวพาราสีตบตาผู้อื่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ควรกระทำ ทว่าก็หาใช่เรื่องที่สมควรจริงจังนัก เพียงแค่กระทำให้ไม่ดูผิดปกติเท่านั้น ทว่าสำหรับองค์นวินแล้ว บัดนี้จริงจังยิ่งนัก
ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะทำให้เจ้าเขินอายให้จงได้!
คิดแต่จะเอาคืนท่าเดียว ใครหน้าไหนหาว่าเขาไม่สู้คนกัน เพลานี้อยากจะเอาคืนเจ้าวรรศใจจะขาด สัมผัสอุ่นร้อนที่นาบมายังผิวเนื้อบริเวณต้นคอยังชัดเจนในอุราอยู่เลยด้วยซ้ำ
องค์นวินถึงกับมีคำสั่งเรียกบรรดาราชครูให้มาชุมนุมกันถึงที่ตำหนักของตน ออกปากหารือหาวิธีการวางหมากบนกระดานสำหรับเกี้ยวพาราสีเจ้าวรรศกันยกใหญ่ เหล่าราชครูรึก็ช่างแสนดีนัก เห็นองค์ยุพราชกระตือรือร้นเพียงนั้นก็รีบกุลีกุจอเสนอหนทางให้อย่างไม่บ่ายเบี่ยง กระทั่งผลตกมาที่แผนการอันแยบยลแผนแรก
...เกี้ยวด้วยขับกลอนชมนาง
ไม่สิ...เจ้าวรรศเป็นยักษา เช่นนั้นก็ต้องเป็นชมนาย
ปัญญาดีเลิศ ความรู้ในเรื่องโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ขององค์นวินก็หาได้ด้อยกว่าผู้ใด ไยจะทำไม่ได้กัน
ทว่า...เพราะอีกฝ่ายคือเจ้าวรรศ เรื่องถึงได้ยุ่งยากยิ่ง
องค์นวินใช้เวลากว่าค่อนคืนเลยทีเดียวในการประพันธ์บทกลอนเพื่อชมความงามของเจ้าวรรศ แม้เจ้าวรรศจะมีรูปโฉมงามงดเพียงใด แต่องค์นวินก็หาได้คิดถ้อยคำหวานล้ำใดๆ ออกโดยง่ายดายนัก เหตุเพราะรู้เนื้อแท้ของเจ้าวรรศจึงมิอาจจะคิดถึงอีกฝ่ายในแง่ดีได้
เจ้าเล่ห์เพียงนั้น ขี้แกล้งก็เพียงนั้น ข้อดีอยู่แห่งหนตำบลใดกัน!
คิดถึงถ้อยคำหวานไปก็เบ้ปากไป ผล็อยหลับไปเมื่อไรนั้นก็มิอาจรู้ตัว รู้สึกตัวอีกคราก็เมื่อยามรุ่งสาง องค์นวินรีบรนไปหาอาคันตุกะถึงตำหนักอีกตามเคย
เจ้าวรรศเห็นร่างเล็กวิ่งตุ้บๆ มาก็ละสายตาจากพานสำรับเช้าตรงหน้า เอ่ยทักทันทีที่อีกฝ่ายมาหยุดยืนหน้าพลับพลา
“เจ้ามาสาย”
องค์นวินหายใจหอบ ไร้ซึ่งคำแก้ตัวใดๆ วันนี้เขาสายจริงดั่งที่ถูกตอกหน้า แต่ทว่า...
“ไหนบอกว่าจะเรียกข้าว่าเจ้าพี่อย่างไร”
...ดันห่วงแต่กับเรื่องนี้
เสียงพึมพำดุจบริกรรมคาถาสาปแช่งลอยมาเข้าหูเจ้าวรรศ อสุราหนุ่มชำเลืองมองอีกฝ่ายที่บัดนี้ใบหน้าแดงเรื่อเพราะโลหิตสูบฉีดด้วยความเหนื่อย พลันระบายลมหายใจ
“เจ้าพี่มาสาย”
องค์นวินอมยิ้มน้อยๆ
ใช่! นี่ล่ะที่เขาต้องการ!
“เมื่อคืนนี้ พี่เข้านอนดึกดื่นไปหน่อย จึงตื่นเมื่อตะวันโด่ง”
พูดชัดถ้อยชัดคำ อีกทั้งยังทำหน้าระรื่นเชียว กับอีแค่เรียกว่าเจ้าพี่แค่นั้น มีเรื่องใดให้น่าดีใจกัน
เจ้าวรรศอดคิดไม่ได้ กระนั้นก็หาได้ว่าสิ่งใด เห็นแล้วนึกเอ็นดูมากกว่า ก่อนจะออกปาก
“มาร่วมสำรับเช้ากับน้องสิ ดูท่าแล้ว เจ้าพี่คงจะยังไม่ได้กินอะไรยาไส้มา”
ถูกต้องอย่างที่เจ้าวรรศคาดเดา องค์นวินพยักหน้าหงึกหงัก ทรุดตัวลงนั่งยังหน้าโต๊ะตัวเล็กในพลับพลา ล้างมือและจัดการกินอาหารอย่างไม่อ้อยอิ่ง
เจ้าวรรศลอบมองเป็นระยะ...วันนี้ช่างว่าง่ายเสียจริง ทั้งยังดูอารมณ์ดียิ่ง หรือจะมีเรื่องให้ชวนหัวกัน?
อยากรู้เหลือเกินว่าองค์นวินมีสิ่งใดในใจถึงได้ดูระรื่นผิดหูผิดตา ซึ่งนั่นก็จริง เหตุที่ทำให้องค์นวินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ถึงเพียงนี้เป็นเพราะเขาหาถ้อยคำหวานที่จะมาใช้เกี้ยวเจ้าวรรศได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อดใจจะเอ่ยให้พ่อยักษ์รูปงามตรงหน้าฟังแทบไม่ไหว รีบยัดทะนานอาหารเข้าปากเสียจนสำลัก
“แค่ก”
เจ้าวรรศย่นคิ้ว ยื่นขันน้ำดื่มให้
“จะรีบกินไปถึงไหนกัน”
องค์นวินกระดกน้ำในขันดื่ม ครั้นใช้มือเช็ดคราบหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนริมฝีปากลวกๆ เสร็จสิ้นก็ก้มหน้าส่งเสียงอุบอิบ
“ก็...จะได้รีบเกี้ยวน้องอย่างไร”
ได้ยินไม่ชัด แต่ก็ใช่ว่าจะจับใจความไม่ได้ เจ้าวรรศมองอีกฝ่ายที่พูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาอย่างขบขัน
จะรีบเกี้ยวเขาอย่างนั้นรึ?
“ถ้าอย่างนั้น...เจ้าพี่นวินเจ้าขาจะเกี้ยวน้องอย่างไรรึเจ้าคะ”
แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ กระซิบพร่าที่ข้างหู ออดอ้อนเสียงหวานเลยทีเดียว ทำเอาองค์นวินที่อุตส่าห์หมายมั่นในใจเป็นอย่างดีแล้วเสียความมั่นใจไปหมดสิ้น รีบกระถดถอยหนีด้วยเกรงว่าจะถูกเจ้ายักษ์ขี้แกล้งตนนี้ลักจูบอีก
“วะ...ไว้...ไว้กินเสร็จแล้ว พะ...พี่จะสำแดงให้เจ้า...หะ...เห็น”
บ่ายเบี่ยงด้วยเสียงตะกุกตะกักเลยทีเดียว เจ้าวรรศถอยมานั่งเหยียดหลังตรง อมยิ้มที่มุมปาก พลันว่าลอยหน้าลอยตา
“น้องจะรอนะจ๊ะ น้องใคร่อยากรู้จนเนื้อตัวเต้นแล้ว”
พลันก็แกล้งสั่นร่างกายไหวๆ เล็กน้อยเป็นการยั่วเย้า องค์นวินเห็นแล้วก็หมั่นไส้ยิ่งนัก
ได้ทีก็แกล้ง สบโอกาสก็หยอก เห็นข้าไม่สู้คนถึงได้เล่นสนุกไม่หยุดหย่อนสินะ!
แต่ก็หาได้ทำสิ่งใด เอาแต่ก้มหน้างุด คว้าอาหารในพานเข้าปาก
แต่เพราะรีบรนไปหน่อยจึงคว้าเอาดอกกล้วยไม้ที่ใช้ประดับมากินเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวก็รีบคายทิ้ง ทำเอาเจ้าวรรศเหล่มองอย่างขบขัน
จะเกี้ยวเขาอย่างนั้นรึ ดูซิว่าจะทำได้สักกี่น้ำ
***
กว่าจะเสร็จสิ้นสำรับเช้าก็ใช้เวลาไปมากอยู่โข ที่ใช้เวลานานนั้นก็เพราะองค์นวินมัวแต่ประดักประเดิดเขินอายกับการหยอกเย้าของเจ้าวรรศที่เผลอทีไรเป็นต้องหยอดมาให้ได้มะงุมมะงาหรา เจ้าวรรศเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ชอบใจกับการได้เห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ยิ่งนัก แต่ก็ตระหนักได้ว่าควรจะเก็บความหรรษานี้ไว้รอช่วงเวลาอันเหมาะสม ร้องเร่งให้องค์นวินจัดการกินให้เสร็จโดยไว ก่อนจะนำทางมานั่งเล่นยังพลับพลาในสวนพฤกษา อันเป็นที่นั่งเล่นประจำของเจ้าวรรศที่เจ้าตัวชอบมานอนเอกเขนกฆ่าเวลาบ่อยๆ
เมื่อถึงที่หมาย เจ้าวรรศก็เอนกายลงนอนตะแคง มือข้างหนึ่งยันศีรษะ ทอดมององค์นวินที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ รอจนกระทั่งนางกำนัลที่ยกพานผลไม้และสุราเมรัยมาให้อันตรธานหายไปหมดสิ้นถึงได้เปล่งเสียงขึ้น
“ไหนว่าจะเกี้ยวน้องอย่างไรล่ะเจ้าพี่เจ้าขา ว่ามาสิ”
เจ้าวรรศแลดูรื่นเริงยิ่ง ส่งเสียงหวานออกไปเชียว องค์นวินที่นั่งขัดสมาธิก้มหน้าอยู่ไม่ไกลช้อนตาขึ้นมองเล็กน้อย พลันใบหน้าก็ซีดเซียว
แค่จะเกี้ยวพาราสีข้าแค่นี้ ถึงกับต้องหน้าถอดสีเลยหรือไร
เจ้าวรรศอดคิดไม่ได้ แต่ท่าทางนั้นก็ช่างน่าขบขันเสียจริง สีหน้าขององค์นวินในเพลานี้แลดูราวกับว่าเห็นผีอย่างนั้นล่ะ
“เอ้า จะเกี้ยวน้องอย่างไรก็จงรีบเร่งว่ามา”
ครานี้แกล้งส่งเสียงดุด้วยเห็นว่าองค์นวินเอาแต่เงียบประหนึ่งอมบอระเพ็ดไว้ในปาก คนถูกเร่งสะดุ้งโหยง เหลือบมองเจ้าวรรศที่ยักคิ้วให้แล้วก็ใจเต้นระส่ำ
“เร็วสิจ๊ะ น้องกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะฟังคำเกี้ยวของเจ้าพี่เต็มแก่แล้ว”
มันถึงขั้นจะต้องกระเหี้ยนกระหือรือเลยหรืออย่างไร!
แต่เจ้าวรรศคิดเช่นนั้นจริงๆ ใจนึกอยากจะเข้าไปจับร่างขาวผ่องเขย่าๆ ให้รีบเปิดปากพูดด้วย ทว่าก็อดใจรอกระทั่งองค์นวินสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
ได้...ข้าต้องทำได้ ข้าต้องไหว
ให้กำลังใจตนเองเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะเอ่ยติดๆ ขัดๆ ออกมา
“องค์...องค์เอ๋ยองค์เจ้าวรรศเจ้ายักษา ระ...รูป...รูปนำพางดงาม...หะ...ให้แลเหลียว...”
อา...ไหวอันใดกันเล่า ดูท่าจะคว้าน้ำเหลว เพียงประพันธ์บทกลอนชมความงามของเจ้าวรรศก็ว่ายากแล้วเพราะรู้แจ้งเห็นชาติถึงเนื้อใน แต่การขับกล่อมบทกลอนเพื่อเกี้ยวพาราสีนั้นยากยิ่งกว่าอีก
งมเข็มในมหาสมุทรยังจะง่ายดายเสียกว่า!
องค์นวินอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อพูดต่อไม่ออกก็ได้แต่เม้มปากแน่น ปล่อยให้เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลอาบใบหน้า เจ้าวรรศเห็นอีกฝ่ายหยุดไปแล้วพลันทำหน้าปูเลี่ยนคล้ายกับว่าอึดอัดใจยิ่งนักเช่นนั้นก็ขบขันขึ้นมา
“เอ่ยชมน้องมันยากยิ่งเสียจนยกริมฝีปากไม่ขึ้นเลยรึเจ้าพี่นวินเจ้าขา”
แสร้งส่งเสียงหวานมาอีกระลอกแล้ว เจ้าพี่เจ้าคะ เจ้าพี่เจ้าขา ช่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก!
องค์นวินมองตาม เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ล่อหลอกของเจ้าวรรศแล้วก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ
ก็ยากน่ะสิ ไม่เช่นนั้นจะมานั่งหนักใจเช่นนี้หรือ!?
รู้แก่ใจว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าวรรศจะต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งรังแกเป็นแน่ พลันก็ถอดใจในบัดดล แต่เจ้าวรรศไม่ยอมให้ถอยโดยง่าย ว่ายั่วเย้าขึ้นมา
