เจ้าวรรศ : บทที่ ๔ เจ้าพี่นวิน【2】
“ข้าถามว่าเจ้าพูดอะไร ไม่ได้ยินรึ”
ครานี้หาได้เสียงดังเพราะดูท่าทางขององค์นวินแล้ว ช่างเหมือนลูกนกหวาดกลัวเสียงคำรามของฟ้าฝนยิ่งนัก และนั่นก็ทำให้องค์นวินกล้าพูดออกมา
“ข้า...ไม่รู้ว่าจะต้องเกี้ยวพาราสีอย่างไร”
ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดองค์นวินถึงเอ่ยเช่นนี้ ก็ดูจากสารรูปสิ เกี้ยวผู้ใดเป็นก็มหัศจรรย์ ฟ้าฝนคึกคะนอง หลั่งหยดธาราออกมาเป็นเพชรแล้ว!
เจ้าวรรศถอนหายใจยาวออกมา ไม่รู้ว่าจะสังเวชใจ กรุ่นโกรธ หรือขบขันดี แต่ชะรอยว่าไปในทางขบขันเสียมากกว่า เพราะบัดนี้คมเขี้ยวได้เลือนหายไปแล้วเมื่อได้ยินคำสารภาพแสนซื่อ มุมปากกระตุกแทบจะหักห้ามไม่ให้หยักยิ้มได้ไหว กระนั้นก็แสร้งทำขึงขัง ว่าเสียงดุออกไป
“เจ้านี่ช่างไม่ได้เรื่อง เช่นนั้นก็ตามข้ามา หากเปลี่ยนสถานที่แล้ว บางทีเจ้าอาจจะคิดออกขึ้นมาได้บ้างว่าจะเกี้ยวข้าอย่างไร”
สิ้นเสียงก็ลุกพรวด เดินออกจากตำหนัก มุ่งหน้าไปยังสวนพฤกษาในบัดดล องค์นวินรีบลุกพรวดพราด เร่งรนมะงุมมะงาหราตามไป
เจ้าวรรศก็ก้าวอาดๆ อย่างไม่รั้งรอ ทำเอาองค์นวินที่ตามหลังมาขาแทบขวิด มิหนำซ้ำยังจะถูกต่อว่า
“มัวชักช้าโอ้เอ้สิ่งใดอยู่เจ้าผักเหี่ยว รีบเร่งตามมาให้ไว”
ออกคำสั่งกับผู้อาวุโสกว่าเจ้าได้อย่างไร ข้าอายุมากกว่าเจ้านะ!
องค์นวินเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ประเดี๋ยวก็เรียกขานว่าผักเหี่ยว ประเดี๋ยวก็ออกคำสั่งโน่นนี่ ใคร่อยากให้เขามาเกี้ยวพาราสีแน่รึ ดูจากสภาพแล้ว เหมือนอยากได้เขาเป็นสหายลูกไล่เสียมากกว่า
“ข้า...ขะ...ข้าอายุมากกว่าเจ้านะ”
ทนไม่ไหว และไม่อยากจะเป็นลูกไล่เจ้ายักษ์เกเรตนนั้นจึงเปล่งเสียงออกมา ทว่า...เบาเสียจนดังงึมงำๆ น่ารำคาญใจ ทำเอาเจ้าวรรศที่ได้ยินหยุดยืนแล้วหันไปมอง
“พูดสิ่งใด”
องค์นวินหยุดยืนบ้าง เอ่ยออกมาอีกครา
“อันที่จริงแล้ว ขะ...ข้าอายุมากกว่าเจ้า”
ยังคงงึมงำพึมพำเหมือนเคย ก้มหน้ามองปลายเท้าตนเองอีกต่างหาก
“พูดสิ่งใด ไม่ได้ยิน”
เจ้าวรรศถามกลับเสียเสียงดัง ทำเอาองค์นวินสะดุ้งโหยงสุดตัว ครั้นเหลือบมองก็เห็นเจ้าวรรศย่นคิ้วยู่อย่างหงุดหงิด
“ข้าถามเจ้าว่าพูดสิ่งใด ข้าไม่ได้ยิน”
ถามซ้ำอีกคราเมื่อเห็นว่าอสุราร่างแคระแกร็นตรงหน้าเอาแต่ก้มหน้างุด เงยขึ้นมาแล้วก็ก้มไปอีก ทำเช่นนี้ซ้ำซากก็พานให้เจ้าวรรศหงุดหงิด
“เอ้าเร็ว รีบว่ามา เมื่อครู่พูดสิ่งใด”
ก็ใช่ว่าองค์นวินจะไม่อยากเอ่ยอีกครั้งหรอกนะ แต่พอเอ่ยปากออกไป
“ขะ...ข้า...บะ...บอกว่าอายุมาก...กะ...กว่าเจ้า...”
...น้ำเสียงก็ดันตะกุกตะกักจนฟังไม่ได้ศัพท์
เจ้าวรรศรำคาญใจกับท่าทางเหนียม พูดเสียงอุบอิบราวกับเกรงดอกพิกุลจะร่วงขององค์นวินเหลือเกิน พลันก็เดินอาดๆ เข้ามาใกล้ ยืนค้ำศีรษะให้องค์นวินเห็นเงาดำตระหง่านทาบทับราวกับจะข่มขู่ ทำเอาองค์นวินผงะถอยไปเล็กน้อย
“ข้าถามว่าเจ้าพูดสิ่งใด”
“ขะ...ข้า...”
พูดไม่ออกแล้ว ประหวั่นพรั่นพรึงในอกเสียเหลือเกิน เจ้ายักษ์กักขฬะทำท่าจะรังแกเขาอีกแล้ว ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อเจ้าวรรศสบถด้วยความหัวเสีย ยื่นมือออกมาจับเอาใบหน้ามนของอีกฝ่ายให้เชิดขึ้นสบตาเขา
“ยามจะพูดกับข้าให้สบตาข้าด้วย จะก้มมองหากิ้งกือไส้เดือนไปถึงไหน”
จำต้องมองหน้าองค์ยุพราชแห่งปรมะอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงแล้ว ความงามพิลาสล้ำกระจ่างเสียจนดวงตาพร่ามัวไปหมด เหนือสิ่งอื่นใด ความน่าเกรงขามนั้นก็ทำให้ใจพรั่นพรึง ยิ่งหูได้ยินเสียงสั่งมาอีก
“เมื่อครู่ว่าสิ่งใด จงพูดมา”
องค์นวินก็ต้องมนตรา เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับเหม่อลอย
“อ้าออกอ้าอ้าอาอุ๊อ้ากอ่าเอ้า (ข้าบอกว่าข้าอายุมากกว่าเจ้า)”
เพราะถูกบีบพวงแก้มทั้งสองจนริมฝีปากย่นยู่อยู่ถึงได้เอ่ยไม่ชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ เจ้าวรรศที่อุตส่าห์แกล้งทำเป็นขึงขังกลั้นหัวเราะแทบตาย ถึงท่าทางหวาดกลัวนั่นจะชวนให้น่ารำคาญใจ แต่กระนั้นก็ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ทว่ากลับเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ แสร้งถามด้วยท่าทางดุดัน
“ข้าไม่รู้เรื่องว่าเจ้าพูดสิ่งใด”
จงใจแกล้งกันชัดๆ เลย!
องค์นวินไยจะไม่รู้ ยกมือขึ้นชี้ไปยังมือใหญ่ที่บีบซีกหน้าตนเองอยู่เป็นเชิงบอก
“อ้อเอ้าอีบอากอ้าอู่อ่างอี๊ อ้าอะอู้ดอั๊ดไอ้อ่างไอ! (ก็เจ้าบีบปากข้าอยู่อย่างนี้ ข้าจะพูดชัดได้อย่างไร!)”
กล้าเสียงดังใส่เจ้าวรรศแล้ว ถึงจะไม่ชัดถ้อยชัดคำก็เถิด
คนถูกแผดเสียงใส่ยิ้มกริ่ม พึงใจเหลือเกินกับความกล้านี้ ยอมปล่อยมือแต่โดยดี จากนั้นก็เอ่ยลอยๆ
“ทำเป็นอ้างตนว่าอายุมากกว่า อยากให้ข้าเรียกเจ้าว่าเจ้าพี่ว่าอย่างนั้น?”
เอ้า ก็เข้าใจดีนี่นา ไหนเมื่อครู่บอกว่าไม่เข้าใจอย่างไร...
ตั้งใจกลั่นแกล้งกันจริงๆ ด้วย!
สองแก้มป่องพองขึ้นมาอย่างงอนๆ โดยที่องค์นวินหาได้รู้ตัว มีแต่เจ้าวรรศเท่านั้นที่แลเห็น
อยากจะดีดแก้มขาวนวลนั้นให้แตกโพละนัก มาทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ได้อย่างไร!
ทั้งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจ้าผักเหี่ยวจืดชืดตรงหน้าจะน่าชมเพียงนี้ แต่บัดนี้กลับแลเห็นว่าน่าเอ็นดู น่าปกป้อง และที่สำคัญ...น่ารังแก
อย่างหลังเห็นทีว่าจะมีน้ำหนักมากกว่า เจ้าวรรศจึงยิ้มกระหยิ่มใจ แสร้งกวาดสายตาชมหมู่มวลบุปผชาติอย่างพึงใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“เอาเถิด ในเมื่ออยากให้ข้าเรียกเจ้าพี่ ข้าก็จะเรียก ดีหรือไม่ เจ้าพี่นวิน”
องค์นวินได้ยินแล้วก็ขนลุกชูชันไปทั่วทุกอณูอยู่ไม่น้อย กระดากอายเหลือเกิน อายเสียจนใบหูแดงเรื่อขึ้นมา กระนั้นก็พยักหน้าเมื่อถูกถามออกมาอีก
“น้องถามเจ้าพี่นวินว่าดีหรือไม่ ไยถึงไม่ตอบน้องกัน”
“ดะ...ดี...”
ใบหูแดงเรื่อกว่าเดิมเสียอีก เพราะเป็นน้องคนเล็กมาโดยตลอด เมื่อมีผู้อื่นมาร้องเรียกว่าเจ้าพี่ องค์นวินก็ตื่นเต้นเสียยกใหญ่ เจ้าวรรศเห็นแล้วก็พานให้อยากกลั่นแกล้งมากขึ้นไปอีก
“เพลานี้น้องพาเจ้าพี่มายังสวนพฤกษาแล้ว เปลี่ยนสถานที่จากพลับพลาหน้าตำหนักมาเป็นสวนสวย เจ้าพี่คงจะมีอารมณ์นำพาให้เกี้ยวพาราสีข้าแล้วกระมัง”
วกกลับเข้าเรื่องเดิม องค์นวินก็รีบเก็บงำความเขินอาย คิดหาวิธีการจะเกี้ยวพาราสีอสุราตรงหน้าทันควัน
ทำอย่างไรดีล่ะ! ทำอย่างไรดี!
คิดไปคิดมาก็คิดออก
ใช่แล้ว! ชมอย่างไรล่ะ ชมเปรียบกับดอกไม้!
เคยอ่านในตำรามาว่ายักษีจะพึงใจหากเปรียบเทียบพวกนางว่าสวยงามดุจมวลบุปผา แต่กับยักษาแล้ว เป็นอย่างไรก็สุดยากจะคาดเดา ทว่าก็ขอลองดูก่อนแล้วกัน
สายตาเหลือบมองหาบุษบาดอกที่สวยที่สุดในสวนพฤกษาแห่งนี้ ก่อนจะชำเลืองไปเห็นพุ่มดอกแก้ว พลันก็เอ่ยปากออกมา
“ดะ...ดอก...กะ...แก้ว...นั้นว่างามแล้ว นะ...น้อง...น้องวรรศ...งดงามกว่าดอกแก้วอีก...”
ประดักประเดิดเสียเหลือเกิน พูดไป ดวงหน้าก็ทอสีแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ เป็นที่น่าขบขันแก่เจ้าวรรศนัก แล้วนั่นพูดชมผู้ใดกัน เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นอยู่หน้าพุ่มดอกไม้ หาได้มองหน้าเจ้าวรรศเลยแม้แต่น้อย พูดให้แมลงภู่ฟังอย่างนั้นรึ?
“หากชมน้องมันยากยิ่งถึงเพียงนั้น เจ้าพี่ก็อย่าฝืนเลย งึมงำพึมพำเช่นนั้น น้องรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกสาปแช่งอย่างไรก็ไม่รู้”
เป็นจริงอย่างนั้น ฟังแทบไม่ได้ศัพท์เลยด้วยหากไม่เงี่ยหูฟังดีๆ แต่กระนั้นองค์นวินก็ไม่ยอมแพ้ ในเมื่อคราแรกทำได้ไม่ดีนัก เขาก็จะขอแก้ตัว
“ดอก...ดอกแก้วว่างามแล้ว นะ...น้องวรรศงดงามกว่า...มะ...มากโข...อา”
ประหนึ่งกับว่าจะทนความเขินอายระคนขนลุกขนชันนี้ไม่ไหว สิ้นเสียงแล้วก็ถึงกับยกมือขึ้นปิดใบหน้า
น่าอับอายกระไรถึงเพียงนี้ แล้วเจ้ายักษ์กักขฬะตัวใหญ่โตมโหฬารตนนี้ดูงดงามดุจดั่งดอกแก้วดอกน้อยได้อย่างไรกันเล่า เทียบกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงยังจะเหมาะสมกว่าอีก!
เจ้าวรรศถึงกับเก็บจริตไว้ไม่อยู่แล้ว เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของคนตรงหน้าก็กลั้วหัวเราะออกมาราวกับสุดจะกลั้น
“เจ้านี่มัน...ฮ่าๆ ไยถึงได้น่าขบขันเพียงนี้”
องค์นวินค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างลืมตัว
“เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือไร แล้วไหนบอกว่าจะเรียกข้าว่าเจ้าพี่กัน”
ทีอย่างนี้ล่ะพูดชัดถ้อยชัดคำเชียว เจ้าวรรศยกมือขึ้นปาดน้ำหูน้ำตาที่ไหลจากการหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หยุดหัวเราะ แต่ก็ไม่วายอมยิ้ม แกล้งว่ากระเซ้าออกมา
“จ้ะ เจ้าพี่นวิน อย่าถือโทษโกรธน้องเลยนะจ๊ะ แค่หัวร่องอหายกับน้ำคำหวานของเจ้าพี่ไปกระผีกเดียวเอง”
กระผีกเดียวบิดามัน! อีกเล็กน้อยก็จะล้มกลิ้งไปหัวเราะร่ากับพื้นอยู่แล้ว!
องค์นวินถึงกับหลุดแยกเขี้ยวออกมา เขี้ยวสีงาช้างโค้งพราย หาได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย ส่งให้แลดูน่ารักน่าเอ็นดู อีกทั้งยังน่าแกล้งมากขึ้นไปอีก
เจ้าวรรศถึงกับอดใจไม่อยู่แล้ว
ได้! ในเมื่อมิอาจเกี้ยวพาราสีเขา เช่นนั้นก็จะสอนสั่งให้แล้วกัน
“หากจะเกี้ยวพาราสีน้องนั้น ไม่ยากนักหรอกเจ้าพี่เจ้าขา น้องจะทำให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง”
ฉับพลันก็เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ให้องค์นวินตั้งตัว ก้าวเข้ามาหาเสียประชิด ครั้นองค์นวินผงะถอยห่าง มือใหญ่ก็คว้าข้อมือเอาไว้มั่น ก่อนเจ้าวรรศจะดึงเข้าหา
“เมื่อครู่เจ้าพี่เอ่ยชมน้องเปรียบกับดอกแก้วใช่หรือไม่”
จะบอกไม่ใช่ก็ไม่ได้ องค์นวินจำต้องพยักหน้ารับ กลายเป็นว่าเข้าทางเจ้าวรรศอีก
“แม้ตัวน้องจะงดงามหาใดเปรียบ แต่ดอกไม้นั่นไซร้มิได้เหมาะกับน้องแม้แต่น้อย หากแต่เหมาะกับเจ้าพี่มากกว่า” สิ้นเสียงก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้ กระซิบเสียงพร่าที่ข้างใบหูเล็ก “ทั้งดอกเล็กน่ารัก ขาวนวลลออดุจผิวกายเจ้าพี่ ไหนกลิ่นหอมหวานเย้ายวนชวนให้เด็ดดมอีก ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าพี่ทั้งนั้น”
องค์นวินถึงกับตัวแข็งค้าง ยิ่งใบหูต้องลมหายใจอุ่นร้อนด้วยแล้ว เขาก็เหมือนกับถูกร่ายมนตร์สะกดให้ตรึงอยู่กับที่ อีกทั้งบัดนี้ใบหน้าก็แดงเถือกเสียยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก เป็นที่ให้เจ้าวรรศได้ใจมากขึ้นไปอีก
เจ้าวรรศแสร้งเลื่อนใบหน้าลงต่ำ สูดดมที่ซอกคอให้มีเสียงดัง ว่าเสียงกระซิบแผ่ว
“หอมดอกไม้ใดเล่า ฤๅจะเท่าหอมกลิ่นกายเจ้าพี่”
ปลายจมูกโด่งรั้นที่สัมผัสผิวเนื้อทำให้องค์นวินสติเตลิดเปิดเปิง ใบหน้าร้อนฉ่าราวกับเหล็กที่ถูกตีจนร้อน ยิ่งไปกว่านั้น เขาทำท่าจะกลายเป็นเหล็กหลอมเหลวแล้วด้วยเมื่อเจ้าวรรศดูท่าจะยังหรรษากับการกลั่นแกล้งไม่เลิกรา ว่าเย้าเช่นนั้นไม่พอ ยังจะแสร้งลากปลายจมูกไปตามต้นคอเขาทางด้านหลังอีก
เส้นขนทั่วทั้งกายลุกซู่ชูชัน หาได้รังเกียจ หาได้หวาดกลัว เป็นความรู้สึกที่องค์นวินเองก็มิอาจเอ่ยบอกได้ถูก
หรือนี่...จะเป็นความรู้สึกของยักษีที่จวนเจียนจะสูญเสียพรหมจรรย์!?
หัวคิดไปเช่นนั้น ใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ ยิ่งทางต้นคอสัมผัสได้ถึงความนุ่มของ ‘บางสิ่ง’ องค์นวินก็สะดุ้งโหยง ก่อนหยดน้ำสีใสจะค่อยไหลออกจากตา ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ทาบทับลงมานั้นคืออะไร
“ฮึก...”
เจ้าวรรศที่พลั้งเผลอซุกซนเอาริมฝีปากไปประทับที่หลังต้นคอขาวนวลเข้าผละออกในทันใด ครั้นเหลือบเห็นว่าทำอีกฝ่ายร่ำไห้ไปเรียบร้อยแล้วก็ย่นคิ้วยู่
“เจ้าพี่ซาบซึ้งในน้ำคำน้องเสียจนหลั่งน้ำตาเลยรึ”
ใช่ที่ไหนกันเล่า! เจ้าทำข้าอายจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ต่างหาก!
ทั้งอับอาย ทั้งเจ็บใจที่มิอาจสู้ความเจ้าเล่ห์ของเจ้าวรรศได้ ไหนบอกว่าจะให้เขาเกี้ยวพาราสีอย่างไร แล้วไฉนเขาถึงได้ตกมาเป็นฝ่ายถูกเกี้ยวแทนเล่า!
องค์นวินยกมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ เก็บงำความรู้สึกสับสนเอาไว้ภายใน กระนั้นก็หาได้เก็บมิดชิดเพราะดวงหน้าขาวนวลยังแดงเถือกอยู่
ไม่เพียงแต่ใบหน้า...ใบหูก็แดง ลำคอก็แดง...
น่าจับขย้ำนัก!
เจ้าวรรศถึงกับขบกรามแน่น เจ้าผักเหี่ยวนี่ช่างน่าบีบให้แหลกละเอียดเสียเหลือเกิน แต่ก็หาได้พูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้องค์นวินร้อนรนว่าตะกุกตะกัก
“พะ...พี่นึกขึ้นได้ว่า...มะ...มีราชกิจจะต้องสะสาง ขะ...ขอตัวลาไปก่อน เพลาหน้าจะมาพบพานใหม่”
สิ้นเสียงก็วิ่งปรู๊ดหนีไปทันที ไม่วายสะดุดเอารากไม้ล้มหน้าคะมำเข้าให้อีกด้วย เจ้าวรรศที่มองตามหลังแค่นหัวเราะในลำคออย่างขบขันกระทั่งอีกฝ่ายหายลับไปจนสุดสายตา ครั้นอยู่ตามลำพัง เจ้าวรรศก็อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเอง เมื่อครู่ที่หมายจะหยอกเย้าให้องค์นวินพรึงเพริด กลายเป็นว่าเขาทำเกินกว่าเหตุเพราะถูกผิวเนื้อนวลเนียนนั่นล่อลวง สูดดมได้กลิ่นหอมจากกายาเล็กแล้วก็ดันเผลอประทับจุมพิตลงไปอย่างมิอาจหักห้าม จึงเป็นเหตุให้องค์นวินแตกตื่นราวกับกระต่ายตื่นราชสีห์เช่นนั้น
กลั่นแกล้งให้องค์นวินร่ำไห้ออกมาได้ หรรษาหรือไม่นั้น อย่าได้ถาม เจ้าวรรศถึงกับหุบยิ้มไม่อยู่เลยทีเดียว ขณะที่ก้อนเนื้อในอุราข้างซ้ายก็เต้นตึกตักประหนึ่งเลือดลมเดินดี ในใจขบคิดเรื่องสนุกไม่หยุดหย่อน
เจ้าพี่นวินกับน้องวรรศอย่างนั้นรึ เข้าท่าดีไม่หยอกเหมือนกัน
ไหนขอดูซิว่าเจ้าพี่เช่นเจ้าจะเกี้ยวพาราสีข้าได้อีกสักกี่น้ำ...
