เจ้าวรรศ : บทที่ ๓ ความลับหาได้มีในโลก【2】
เห็นพระโอรสนั่งจ๋อง กษัตริย์สราลีก็ทรงถอนพระปัสสาสะ ตรัสอีกครา
“ต่อให้ไม่จำเป็นแล้ว เจ้าก็ยังต้องทำทุกหนทางให้องค์ศวรรย์ต้องพระทัยเจ้าให้จงได้”
องค์นวินเหลือบมองอย่างไม่เชื่อหูทันควัน
“ในเมื่อองค์ศวรรย์หาได้กรุ่นโกรธจนรีบกลับปรมะนคร แต่อยู่ยั้งสราลีด้วยให้เกียรติและไม่ประสงค์ให้กษัตริย์ปรมะทรงพิโรธ นั่นก็หมายความว่าเจ้ายังมีโอกาส”
“แต่เสด็จพ่อ...”
“ไปเกี้ยวพาราสีองค์ศวรรย์เสีย ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องดองเป็นทองแผ่นเดียวกับปรมะให้จงได้”
พูดยังไม่ทันจบเลย กษัตริย์สราลีก็ตรัสแทรกขึ้นมาแล้ว องค์นวินถึงกับตัดพ้อทางสีหน้า
ให้ทำสิ่งใดก็ได้จนกว่าอีกฝ่ายจะมีใจปฏิพัทธ์ด้วยก็ว่ายากยิ่งแล้ว ในเพลานี้กรุ่นโกรธเพราะถูกหลอกลวง แต่เขาดันถูกบีบบังคับให้ไปเกี้ยวพาราสี มีหวังคงได้โดนเจ้ายักษ์กักขฬะตนนั้นรังแกจนร่ำไห้อย่างแน่นอน
องค์นวินไม่อยากคิดต่อเลยว่าจะถูกกระทำการใดบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับในโชคชะตาเมื่อพระราชบิดาตรัสสำทับ
“เพื่อสราลีของเราแล้ว เจ้าในฐานะองค์ยุพราชจำเป็นต้องทำ”
ภาระหน้าที่ของเขาช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน...
***
ออกจากท้องพระโรงมาได้ เจ้าวรรศก็รีบกลับมาหารือกับการิตยังตำหนักที่ทางสราลีตระเตรียมให้พำนักทันใด ออกปากไล่บรรดาข้าราชบริพารออกไป สั่งห้ามให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาด้วยเกรงว่าจะได้ยินสิ่งที่พูดคุย เมื่อบานทวารปิดสนิท หน้าต่างไร้ช่องให้เสียงใดๆ เล็ดลอด เจ้าวรรศก็รีบโพล่งขึ้นทันที
“พ่อยักษ์น้อยรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไรกันลุง”
การิตที่นั่งประนมมือไว้หว่างอก นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องล่างเหลือบมององค์ยุพราชที่บัดนี้มีสีหน้าตระหนกระคนเคร่งเครียดแล้วถอนหายใจออกมา
“ตั้งแต่วันแรกที่องค์วรรศเสด็จออกจากปรมะเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ตายโหง” เจ้าวรรศถึงกับหลุดปากอุทานหยาบคาย ตั้งสติได้ก็ถามอีก “เป็นเช่นนั้นแล้ว พ่อยักษ์ใหญ่ไม่ถูกโกรธแย่เลยรึ”
“กระหม่อมได้ยินว่าจนถึงบัดนี้ องค์ไอศูรย์ก็ยังมิอาจเข้าไปบรรทมที่ตำหนักหลวงได้พ่ะย่ะค่ะ”
ตอบไม่ตรงกับคำถาม แต่ช่างชัดเจนเสียเหลือเกินว่าแผนการชั่วของไอศูรย์นั้นทำให้วิรัลย์โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ถึงขั้นขับไล่ออกจากตำหนัก ไม่ยอมให้นอนร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย
นี่เขากำลังจะกลายเป็นยักษ์บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างนั้นรึ?
“แล้วเจ้าศวรรย์ล่ะ”
แม้จะหมั่นไส้อนุชาฝาแฝดเพียงใด ทว่าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ก่อนจะขนลุกชันเมื่อได้ยินคำตอบ
“องค์ศวรรย์ทรงถูกองค์วิรัลย์ส่งไปอบรมที่เวรุฬาแล้วพ่ะย่ะค่ะ จนกว่าจะครบสามเดือนถึงจะได้กลับมายังปรมะนคร”
ถึงกับถูกส่งเข้าพนาวัน ขึ้นเขาขึ้นดอยไปอยู่อย่างทุรกันดาร พ่อยักษ์น้อยโกรธยกครัวเลยนี่นา!
“เหลือแต่ข้าแล้วกระมังที่ยังไม่ถูกเชือด”
เจ้าวรรศคราง การิตพยักหน้าหงึกหงักตามให้ได้ขนลุกซู่ แต่เมื่อคิดทบทวนดูดีๆ แล้ว จะโกรธเกรี้ยวอย่างใดก็ตามแต่ นั่นหาได้สำคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไรไอศูรย์จะต้องหาทางง้องอนวิรัลย์จนได้ เจ้าศวรรย์ที่ถูกส่งไปยังเวรุฬาเองก็หาได้ลำบาก เพราะที่นั่นก็เป็นบ้านเกิดเมืองนอนแต่ก่อนของวิรัลย์ มีพระญาติอยู่รั้งราชบัลลังก์ คงจะได้รับการต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แต่ที่น่าพรั่นพรึงกว่านั้นก็คือ...
“แล้วพ่อยักษ์น้อยได้มีคำสั่งใดบ้างหรือไม่ เช่นให้มาลากคอข้ากลับไปอะไรเทือกนั้น”
...ห่วงก็แต่ชะตากรรมของตนเองนี่แหละ!
การิตส่ายหน้าพรืด รีบทูลให้คลายความกังวลออกมา
“องค์วิรัลย์หาได้ตรัสสั่งสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าข้ารอด?”
“กระหม่อมแลเห็นว่าที่องค์วิรัลย์ทรงไม่เร่งร้อนตามองค์วรรศกลับ คงเป็นเพราะไว้หน้าสราลีและปรมะ การลงโทษคงจะเป็นหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของการิตหาได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย!
เจ้าวรรศชักสีหน้า ไม่พอใจกับคำตอบของทหารเอกคู่กายบิดาเท่าไรนัก แต่ก็ต้องยอมจำนนกับข้อเท็จจริงนั้น ลุกพรวดพราดขึ้น ยีเส้นผมยาวสลวยของตนเสียจนยุ่งเหยิง
“โอ๊ย แล้วข้าจะทำกระไรดี กลับไปต้องไม่เหลือซากแน่ รู้เช่นนี้แล้ว ข้าไม่น่าสวมรอยมาเป็นเจ้าศวรรย์เลย!”
เผลอพลั้งแผดเสียงโวยวายออกไป การิตรีบปรามให้เบาเสียงลงทันใด
“อย่าทรงเอะอะโวยวายไปสิพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้ยังพอมีหนทางแก้ไขได้”
“ลุงมีแผนรึ”
จะบอกว่าไม่มีก็เกรงว่าผู้เป็นนายจะใจฝ่อ การิตจึงได้แต่พยักหน้ารับไปประหนึ่งหลอกยักษ์เด็ก
“จะว่ามีก็ได้ องค์วรรศทรงพระทัยเย็นก่อนเถิด ลงประทับตามเดิมแล้วมาหาหนทางแก้ไขกันพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าวรรศไม่โต้เถียงใด ในเพลาเช่นนี้ เขาต้องพึ่งการิตแล้ว เพราะต่อให้เจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาตัวรอดได้เก่งกาจเพียงใด แต่เมื่อถูกวิรัลย์โกรธเคืองแล้วไซร้...ตายสถานเดียว
ในขณะเดียวกัน องค์นวินซึ่งถูกพระราชบิดาบังคับให้เกี้ยวพาราสีจนกว่าโอรสแห่งกษัตริย์ปรมะจะมีจิตปฏิพัทธ์ด้วย ได้ยินคำสนทนาของสองอาคันตุกะจากแดนไกลเต็มสองรูหูเพราะเขาตั้งใจที่จะมาขอโทษขอโพยอีกฝ่ายที่ทางสราลีได้ไปหลอกลวงไว้ ครั้นเห็นเหล่าข้าราชบริพารออกมานอกตำหนักก็หาได้ใส่ใจ คิดเอาเองว่าอาคันตุกะคงจะโกรธเคืองจนมิอาจทนมองหน้าคนของสราลีได้เขาจึงไม่ให้ผู้ใดเข้าไปกราบทูลว่าตนมา ถือวิสาสะพรวดพราดเข้ามาเองเลย
หากจะโกรธมากกว่าเดิมแล้วก็จงโกรธไป เพราะอย่างไรเสีย เขาก็จะขอให้อีกฝ่ายให้อภัยจนได้
แต่...ไม่ยักคิดว่าจะมาได้ยินเรื่องที่ไม่สมควรได้ยินเช่นนี้
เนื้อตัวสั่นเทา ริมฝีปากเองก็สั่นระริก ลำคอแห้งผากราวกับมีเศษผงติดอยู่ ก้อนเนื้อในอกซ้ายก็เต้นระส่ำดุจดั่งกลองศึก
ยะ...ยักษ์ตนนั้นหาใช่องค์ศวรรย์ หากแต่เป็นองค์วรรศ แฝดยักษ์ผู้พี่!
ทั้งที่อุตส่าห์หลีกเลี่ยงแล้วแท้ๆ ด้วยชื่อเสียงของแฝดผู้พี่นั้นเป็นที่เลื่องลือกันว่านอกจากจะเป็นองค์ยุพราชแล้ว ยังมีนิสัยร้ายกาจ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ปวดเศียรเวียนเกล้าไปทั่ว เรียกได้ว่าเป็นองค์ยุพราชที่หาได้วางตัวเหมาะสมเลยแม้แต่น้อย บัดนี้มิแปลกใจแล้วว่าเหตุใดถึงได้มีอุปนิสัยกักขฬะถึงเพียงนี้
ต้องรีบนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อ...
องค์นวินคิดแต่เพียงเท่านั้น
เฮอะ! ทำเป็นกล่าวหาว่าสราลีหลอกลวง ปรมะเองก็หลอกลวงไม่แพ้กันนั่นล่ะ!
องค์นวินรีบหมุนตัวกลับ หมายจะออกจากนอกตำหนักแล้วรีบไปเข้าเฝ้าพระราชบิดาโดยพลัน หากแต่เพราะไม่ระวัง เมื่อหันขวับก็เซไปชนเข้ากับโต๊ะตัวเล็กซึ่งมีแจกันทองประดับดอกไม้ตั้งอยู่ จะคว้าก็คว้ามิอาจทัน แจกันร่วงหล่นสู่พื้น ส่งเสียงโคร้งเคร้งดังลั่นไปทั่วตำหนัก ทำเอาสองอสุราที่สนทนาพาทีกันอยู่ในห้องบรรทมถึงกับชะงักงัน มองหน้ากันอย่างรวดเร็ว
“ลุง...”
“มีคนแอบลอบฟังพ่ะย่ะค่ะ”
การิตรีบทูลบอก มือคว้าดาบที่เหน็บอยู่ข้างกาย หุนหันเปิดบานทวารออกไปอย่างรวดเร็ว เท่านั้นก็เห็นองค์นวินทำท่างกๆ เงิ่นๆ อยู่ด้านหน้า เมื่อเหลียวกลับมามองตามเสียงบานทวารที่ถูกเปิดและเห็นว่าเป็นการิต ผิวหน้าขาวหยวกขององค์นวินก็ซีดเซียวมากกว่าเดิมเสียอีก
“องค์ยุพราช...”
การิตคราง มือสอดดาบเก็บลงฝัก หลีกทางให้เจ้าวรรศเดินมาดูหน้าคนแอบฟัง
“นึกว่าผู้ใดมาลอบแอบฟัง ที่แท้ก็เจ้านั่นเองเจ้าผักเหี่ยว”
บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่ใช่ผักเหี่ยว!
แต่จะเถียงไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ บัดนี้เสียวสันหลังวาบไปทั่วทุกอณูแล้ว ถูกจับได้เช่นนี้จะต้องหนีไปตั้งหลักก่อน!
องค์นวินไม่อยู่ยั้งอีกต่อไป หมุนตัวหมายจะหนี แต่ก็มิอาจสู้ความว่องไวของเจ้าวรรศที่ปรี่ไปคว้าแขนเอาไว้ได้เสียก่อน
“จะไปไหนรึ คิดว่าแอบลอบฟังแล้ว ข้าจะปล่อยให้หนีไปได้หรืออย่างไร”
น้ำเสียงเย็นเยียบช่างจับขั้วหัวใจยิ่งนัก ยิ่งหันมาเห็นรอยยิ้มเย็นของเจ้าวรรศแล้ว องค์นวินก็กลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก
“มาหาข้าถึงตำหนัก มีสิ่งใดกัน”
ถูกถามก็จำต้องตอบ องค์นวินส่งเสียงแหบแห้งตะกุกตะกัก
“จะ...เจ้าหาใช่องค์ศวรรย์”
พูดเสียเสียงเบา แต่เจ้าวรรศกลับได้ยินเต็มสองหู
“แล้วอย่างไร”
“จะ...เจ้า...เจ้าคือองค์วรรศ แฝดผู้พี่ ปะ...เป็นองค์ยุพราชแห่งปรมะ หลอกลวง เจ้าเองก็หลอกลวง”
คนฟังยกยิ้มขึ้น มองอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มหน้าพูดงึมงำด้วยอารมณ์ขบขัน
“หลอกลวงแล้วอย่างไร เจ้ามีปัญหารึ”
มีปัญหาอย่างแน่นอน! เสด็จพ่อจะต้องทรงกริ้วแน่ที่ปรมะก็หาได้ซื่อสัตย์!
แต่องค์นวินไม่กล้าพูดหรอก ได้แต่คิดในใจ ปล่อยให้กายสั่นเทาน้อยๆ
เมื่อถูกเจ้าวรรศจับไว้ไม่ปล่อย และยิ่งทวีความสั่นเทามากขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมา เอ่ยขู่ด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“หากเจ้ามีปัญหา ก็ลองเผยความลับนี้ให้ผู้อื่นล่วงรู้สิ ข้ารับประกันว่าแผ่นดินสราลีจะได้มอดไหม้เป็นจุณ ไม่ว่าชีวิตใดก็ไม่เหลือซาก”
โหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งนัก! ปรมะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้อยากดองเป็นทองแผ่นเดียวกับแคว้นนี้หนักหนากัน!
องค์นวินได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็เข้าใจความหมายที่เจ้าวรรศเอ่ย
ห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้ใด...
ใช่ ถึงจะไม่พูดออกมาตามตรง แต่องค์นวินก็หาได้โง่เขลาถึงจะไม่รู้เรื่องนี้ ก่อนที่เจ้าวรรศจะขยายความเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่องค์นวินได้ยินนั้นไม่ผิด
“ข้าพำนักอยู่ที่นี่เพียงสามเดือนเท่านั้น อย่ากระโตกกระตากหากไม่อยากให้แคว้นของเจ้าและข้าบาดหมางกัน สราลีจะพินาศหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ปากของเจ้าแล้ว เข้าใจหรือไม่”
องค์นวินพยักหน้าหงึกหงัก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเป็นเส้นตรงด้วยความหวาดเกรง เขาอยู่ในบ้านตนเองแท้ๆ แต่กลับถูกอาคันตุกะกดขี่ข่มเหงเช่นนี้ มันช่างน่าอนาถนัก แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นั่นก็คงหมายความว่าทางปรมะก็ไม่ประสงค์ที่จะมาดองเป็นเครือญาติกับสราลีจึงได้เล่นแง่
เข้าทางเขาพอดี!
ฉุกคิดขึ้นมาได้ในเพลานี้ พลันองค์นวินก็ลิงโลด
“ถะ...ถ้าเช่นนั้น...หะ...หากข้าไม่แพร่งพรายความลับนี้ให้ผู้ใดล่วงรู้ เจ้าจะช่วยเหลือข้าสักประการหนึ่งได้หรือไม่”
“อะไร”
ไม่ได้อยากจะรับปากหรอก แต่เห็นท่าทางเซื่องๆ นั่นแล้ว เจ้าวรรศก็นึกอยากรู้ขึ้นมา องค์นวินเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็รีบหลุบตาลงต่ำ
งดงามเพียงใดก็น่าหวั่นเกรง ปากไม่กล้าเอ่ยพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเลยแม้แต่น้อย กระทั่งถูกถามขึ้น
“มีสิ่งใดก็จงรีบพูด”
น้ำเสียงดุดันเหลือเกิน องค์นวินสะดุ้งแล้ว ละล่ำละลักรีบบอก
“ขะ...ข้าถูกสั่งให้มาเกี้ยวพาราสีเจ้า”
“หา?”
ไม่ใช่เพียงเจ้าวรรศ แม้แต่การิตเองที่ยืนฟังอยู่ก็เบิกตาโต ก่อนจะหัวเราะขบขันกับท่าทางขององค์นวินเมื่อรู้สึกตัวก็รีบเก็บอาการ มีก็แต่เพียงเจ้าวรรศเท่านั้นที่หัวเราะร่วนไม่หยุดหย่อน
“อย่างเจ้าน่ะรึจะเกี้ยวพาราสีข้าได้”
องค์นวินรู้ตัวดีว่ามิอาจทำได้ ต่อให้ไม่ใช่เจ้าวรรศก็มิอาจทำได้เช่นกัน กระนั้นก็พูดออกไป
“กะ...ก็ถูกบังคับมา ข้าเลยอยากให้เจ้าช่วยสักหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ให้ข้าถูกตำหนิว่าเป็นองค์ยุพราชที่ไม่เอาไหน อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ยั้งที่สราลีแต่แรกอยู่แล้ว ช่วยข้าหน่อยเถิด”
พึมพำระรัวออกมาเลยทีเดียว วางแผนการในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยว่าหากให้เจ้าวรรศแสร้งทำทีเป็นมีใจปฏิพัทธ์ พระราชบิดาจะได้ไม่บีบบังคับตนมากจนเกินพอดี
ทว่า...
“แล้วมันเรื่องอะไรที่ข้าจะต้องช่วย”
...ปัญหามันอยู่ที่เจ้ายักษ์กักขฬะที่เชิดหน้าลอยตาอย่างเหนือกว่านี่ล่ะ!
“กะ...ก็...”
ไม่มีข้ออ้างใดๆ เลยแม้แต่น้อย เจ้าวรรศไม่จำเป็นต้องช่วย องค์นวินก็อับจนคำพูด ได้แต่เอ่ยไปเท่านั้นแล้วก็เงียบงันไป สีหน้าดูประหนึ่งว่าจะร่ำไห้เต็มแก่ ท่าทางนั้นช่าง...น่าเอ็นดูยิ่ง
แม้แต่การิตเองยังคิดเช่นนั้น ถึงองค์นวินจะหาได้มีรูปงามงดสะกดทุกชีวิตให้แข็งค้างเป็นศิลาแลง แต่ก็หาได้น่าชิงชัง ออกจะน่ารักน่าทะนุถนอมราวกับลูกสัตว์ ขณะที่ในสายตาของเจ้าวรรศ เขาหาได้มองเห็นว่าองค์นวินเกินกว่าคำว่าน่าแกล้ง
เห็นจนตรอกเช่นนั้นก็นึกสนุกขึ้นมา แสร้งตกปากรับคำโดยง่าย
“เพื่อแลกกับการที่เจ้าเก็บเรื่องของข้าเป็นความลับ และข้าก็จะเก็บเรื่องที่สราลีหลอกลวงไว้เป็นความลับจากบรรดาเสด็จพ่อเช่นกัน ข้าจะยินยอมเล่นละครปาหี่ตบตาไปกับเจ้าด้วยก็ได้”
องค์นวินเงยหน้าขึ้นมองทันใด ดวงตาเบิกโตเป็นเชิงถามว่า ‘จริงรึ’ ปล่อยให้เจ้าวรรศได้เอ่ยออกมาอีก
“แต่มีเงื่อนไข”
ดวงตาประกายวาวโรจน์ขององค์นวินหม่นแสงลงทันใด ปากงึมงำออกมา
“เงื่อนไขกระไรรึ”
เข้าทางเจ้าวรรศอย่างจัง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพราย ยื่นมือไปจับปลายคางมนของอีกฝ่ายให้เชิดขึ้น เอ่ยออกมาทันใด
“เจ้าต้องมาเกี้ยวพาราสีข้าทุกวี่วันจนกว่าจะครบสามเดือน ไม่เช่นนั้น ข้าจะถือว่าเป็นโมฆะ”
องค์นวินเบิกตาโต ไหนว่าจะช่วย ไยเขาจะต้องมาเกี้ยวพาราสีอีก!?
“คิดรึว่าข้าจะยอมช่วยเจ้าโดยง่ายทั้งที่เจ้าหาได้กระทำสิ่งใดเลย และหากจู่ๆ ข้าแสร้งมีใจปฏิพัทธ์ให้เจ้าทั้งที่เจ้าหาได้วนเวียนมาหา มิเป็นที่สงสัยหรอกรึ”
เจ้าวรรศพูดออกมาอย่างรู้ทัน องค์นวินพอจะเข้าใจแล้ว
ไม่มีเหตุย่อมต้องไม่มีผล หากไม่กระทำให้ผู้ใดเห็นว่าตนมาเกี้ยวพาราสีก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเจ้าวรรศมีใจปฏิพัทธ์ นึกนับถือในความฉลาดเฉลียว ไหวพริบปฏิภาณดีเลิศของคนตรงหน้าในบัดดล พยักหน้ารับหงึกหงักตอบรับอย่างไร้ข้อกังขา
“ดะ...ได้ๆ หากเจ้าว่าดี จะกระทำตามนั้น ข้าก็ว่าดี แค่คิดจะช่วยข้า ข้าก็ดีใจยิ่งแล้ว”
รอยยิ้มแรกผุดพรายบนใบหน้านวล เป็นรอยยิ้มกว้างราวกับบุษบาแรกแย้ม ครั้นเจ้าวรรศปรายตามองก็นิ่งงันไปชั่วขณะ
ผู้ใดว่าองค์นวินรูปไม่งามกัน เมื่อคลี่ยิ้มแล้วไซร้...ราวกับฟ้าเปิดส่องแสงสุริยันลงมายังปฐพี
กว่าที่จะกลับคืนสติก็ตอนที่การิตกระซิบกระซาบ
“ในเมื่อตกลงกันได้แล้วก็ทรงปล่อยองค์นวินเถิดพ่ะย่ะค่ะ ผิวเนื้อแดงเถือกไปหมดแล้ว”
เหลือบมองไปยังมือของตนที่จับแขนขององค์นวิน ครั้นเห็นว่าเป็นดั่งที่การิตว่าก็รีบปล่อยมือออก องค์นวินชักแขนกลับ ลูบแผ่วเบาที่ผิวเนื้อของตนเป็นพัลวัน
ช่างบอบบางยิ่งนัก...
เจ้าวรรศอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ แต่ไม่รู้อย่างไร ในใจกลับคิดแต่อยากจะรังแกอีกฝ่ายให้ร่ำไห้ไม่หยุดหย่อน มิหนำซ้ำ แผนชั่วยังผุดพรายเมื่อคิดถึงเรื่องชวนหรรษาได้ขึ้นมา
“เช่นนั้นอรุณรุ่งเมื่อไร เจ้าจงรีบมาหาข้าที่นี่ อย่าชักช้าโอ้เอ้ ไม่อย่างนั้น ข้าเล่นงานเจ้าแน่”
ขู่ออกไปอีกแล้ว องค์นวินคิดว่าอสุราตรงหน้านิสัยดีได้ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง ก็พลันบริภาษในใจ
เจ้ายักษ์สามหาว ข้าอายุมากกว่าเจ้านะ!
แต่ก็ไม่กล้าพูด ได้แต่พึมพำเสียงแผ่ว “อืม...ขะ...ข้าจะรีบมา ไม่โอ้เอ้”
“แล้วนี่มัวรีรอสิ่งใดอยู่ ไปได้แล้ว ข้าจะได้พักผ่อน”
ถูกไล่ถึงเพียงนี้ แล้วองค์นวินจะอยู่รึ? กุลีกุจอเผ่นแน่บออกจากนอกตำหนัก แต่ก็มิวายชนข้าวของให้หล่นกระจัดกระจายเป็นที่ชวนหัวแก่เจ้าวรรศยิ่งนัก ขณะที่การิตมองแล้วก็ได้แต่รำพึงออกมา
“ซุ่มซ่ามเซ่อซ่าถึงเพียงนี้ ไม่เหมาะสมเป็นองค์ยุพราชแม้แต่กระผีก”
ใช่...เจ้าวรรศก็คิดเช่นนั้น สงสัยคงต้องได้รับการอบรมสอนสั่งจากยุพราชอย่างเขาแล้วกระมัง
จะสั่งสอนเสียให้หลั่งน้ำตาเลยทีเดียว เจ้าผักเหี่ยว...
