เจ้าวรรศ : บทที่ ๓ ความลับหาได้มีในโลก【1】
ครั้นความจริงปรากฏ ความหายนะก็บังเกิดแก่แคว้นสราลี ด้วยเจ้าวรรศเห็นหนทางที่จะยุติพันธสัญญานี้ในชั่วห้วงลมหายใจนั้น พลันก็แสร้งทำเป็นโวยวายพาโลเป็นการใหญ่เมื่อตระหนักว่าองค์นวินที่ได้รับการกรอกหูพร่ำพรรณนาว่าองอาจล่ำสันหนักหนา แท้จริงแล้วคือเจ้าผักเหี่ยวที่เอาแต่นั่งก้มหน้างุด พูดเสียงพึมพำดุจดั่งแมลงผึ้งตอมเกสรดังหึ่งๆ หาใช่อสุราสมชาติบุรุษแต่อย่างใด
อำมาตย์ตนนั้นซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ความลับแตกโดยมิได้มีกลยุทธ์แยบยลใดๆ ถึงกับเสียวต้นคอด้วยเกรงว่าจะขาด เพราะเผลอปากพล่อยโพล่งออกไปไม่ดูปี่ดูขลุ่ย
ก็ผู้ใดจะไปทันคิดกันเล่า ในหัวมีแต่เรื่องราชกิจที่ดำเนินการผิดพลาดอย่างเดียวเท่านั้น หากปล่อยให้ข้อผิดพลาดนี้หลุดไปจะต้องเป็นผลร้ายต่อสราลีเป็นแน่
กระนั้น...ก็หารู้ไม่ว่าที่โพล่งเรียกองค์นวินไปเช่นนั้นกลับเป็นผลเสียยิ่งกว่า เพราะเมื่อเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าองค์นวินคือ ‘เจ้าผักเหี่ยว’ อย่างแน่นอน เจ้าวรรศก็ตีโพยตีพายเป็นการใหญ่ หุนหันพรวดพราดออกจากพลับพลา มุ่งหน้าสู่ท้องพระโรงหมายจะเข้าเฝ้ากษัตริย์สราลีให้จงได้ เห็นท่าทางอย่างนั้นแล้ว องค์นวินกับอำมาตย์ชะตาขาดก็รีบปรามกันด้วยอกสั่นขวัญแขวน แต่เมื่อถูกตะคอกกลับมาว่า...
“ยังมีหน้ามาปรามข้าอีก อยากให้สราลีเกิดศึกกับปรมะจริงๆ กระมัง!”
...เท่านั้นก็พากันอับจนคำพูดไปทั้งนายทั้งบ่าว ปล่อยให้เจ้าวรรศก้าวอาดๆ ไปยังท้องพระโรงโดยมิอาจทำการใดได้ โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้ในใจของเจ้าวรรศลิงโลดเพียงใด
ไม่คิดว่ากิจหน้าที่ขององค์ยุพราชที่ไอศูรย์มอบหมายให้จะสำเร็จเสร็จสิ้นลงรวดเร็วถึงเพียงนี้ เห็นทีจะต้องขอให้ตกรางวัลอย่างงามแล้ว...
ระเริงระรื่นใจมาจนถึงท้องพระโรง นั่งรอด้วยสีหน้า ‘แสร้ง’ กราดเกรี้ยวได้ไม่ทันไร กษัตริย์สราลีก็เสด็จมาประทับด้วยความร้อนรน ไม่เว้นแม้แต่การิตที่ถูกตามตัวมาเมื่อครู่เพราะมีหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลพระราชประสงค์ของพระโอรสแห่งกษัตริย์ปรมะ ตามด้วยองค์นวินและอำมาตย์ต้นเหตุที่นั่งคอตกอยู่เบื้องหน้า
ครั้นเห็นทุกชีวิตพร้อมสดับรับฟัง เจ้าวรรศก็ได้ทีเอ่ยขึ้น
“เมื่อครั้งที่คณะราชทูตแห่งสราลีไปกราบทูลเสด็จพ่อ ต่างพากันพูดพร่ำเป็นเสียงเดียวกันว่าองค์นวินนั้นมีรูปงามล่ำสัน องอาจ และแข็งแกร่ง อีกทั้งยังพร่ำพูดกรอกหูกระหม่อมไม่เว้นวันว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อวันนี้ได้ประสบพบพักตร์กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แท้จริงแล้วไซร้ องค์นวินมีรูปร่างบอบบางราวกับบุษบา ทั้งยังดูขี้โรคอ่อนแอ เป็นเช่นนี้แล้ว จะแก้ต่างว่าอย่างไรกันรึพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงกรุ่นโกรธเล็ดลอดออกจากริมฝีปากหนา กษัตริย์สราลีทรงสดับแล้วก็หนักพระทัยยิ่ง ทั้งหมดนั้นเป็นแผนของสราลีเอง แต่ก็หาได้หมายใจจะเปิดเผยความจริงนี้โดยไร้ซึ่งกลเม็ดใด กะว่าจะค่อยๆ ตะล่อมระหว่างให้องค์นวินเผยตัว เอาแก้วแหวนเงินทอง สิ่งของสารพันพิสดารที่ปรมะไม่มีมาหลอกล่อ ไยเลยจะคิดว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าถึงเพียงนี้
“องค์ศวรรย์ทรงพระทัยเย็นก่อน เรื่องนี้ข้ามีคำอธิบาย”
กษัตริย์สราลีทรงพยายามปราม ทว่าเจ้าวรรศกลับไม่หยุดยั้ง
“คำอธิบายรึ อธิบายสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ไว้หน้าปรมะเช่นนี้แล้วยังคิดจะอธิบายกระไรอีก”
อับจนคำพูด ไร้ซึ่งข้อแก้ตัว ยามอสุราเดือดดาลนั้นไม่ควรจะราดน้ำมันใส่ ยิ่งเป็นอสุราจากปรมะนครด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควร เพราะแม้แต่น้ำที่หมายจะดับไฟโทสะยังบันดาลให้เพลิงพิโรธพวยพุ่งได้เลย
และเพราะมิอาจพูดสิ่งใด เจ้าวรรศก็ได้ทีเล่นละครฉากใหญ่เป็นที่สนุกสนาน
“หลอกลวงกันถึงเพียงนี้ หักหน้ากันโดยไม่คิดถึงภายภาคหน้า กระทำเช่นนี้ถือว่าหมิ่นเกียรติปรมะเป็นอย่างยิ่ง คิดรึว่าเสด็จพ่อของกระหม่อมจะไว้ชีวิตพวกสราลี!”
แสร้งขู่ ทำกรุ่นโกรธมากกว่าเดิมทั้งที่หาได้โกรธจริงๆ เพียงแค่เห็นว่านี่คือโอกาสทองที่จะขจัดแคว้นสราลีออกห่างจากเจ้าศวรรย์ดั่งที่บิดาต้องการเท่านั้น อีกอย่าง เขาจะได้รีบเร่งกลับไปยังปรมะด้วย จะได้ทูลขอรางวัลจากพระราชบิดา ตอบแทนกับความดีความชอบที่เขาได้กระทำ
หากแต่การิตหาได้เห็นดังนั้นไม่...
ถ้อยวจีของเจ้าวรรศนั้นสร้างความพรั่นพรึงให้แก่ทุกชีวิตในสราลีก็จริง ด้วยเกรงว่าจะถูกปรมะผู้ยิ่งใหญ่มากำราบจนพินาศให้สมกับความแค้นที่ถูกหลอกลวง แต่การิตเองก็พรั่นพรึงเช่นกัน เหตุเพราะก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งจะได้รับข่าวจากม้าเร็วของปรมะมาประการหนึ่ง ครั้นได้ยินเจ้าวรรศประกาศกร้าวเช่นนั้น เขาก็รีบคลานเข่ามาทางด้านหลัง กระซิบเรียกผู้เป็นนายเสียงแผ่ว
“องค์ยุพราชพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าวรรศเหลียวไปมองก็เห็นว่าเป็นการิตซึ่งมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ก่อนจะถามเสียงเบา
“มีสิ่งใดลุง”
“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินดังนั้น เจ้าวรรศก็เร่งเร้า
“มีสิ่งใดก็จงรีบว่ามา ไม่เห็นรึว่าข้ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม”
เข้าด้ายเข้าเข็มจริงดั่งปากว่า บัดนี้พระพักตร์ของกษัตริย์สราลีซีดขาว
ดั่งซากศพ ไม่เว้นแม้แต่องค์นวินที่ก้มหน้า พยายามซ่อนเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบริเวณขมับอย่างเต็มที่ ก่อนที่การิตจะไม่รอช้า รีบเอ่ยออกมา
“กระหม่อมเห็นว่าองค์วรรศยังมิอาจเสด็จกลับปรมะได้ในเพลานี้พ่ะย่ะค่ะ”
เรียวขนงย่นยู่ทันใด เจ้าวรรศมองหน้าผู้พูดอย่างไม่เข้าใจนัก
“เพราะเหตุใด”
“เรื่องที่องค์วรรศเสด็จมาแทนองค์ศวรรย์นั้น ล่วงรู้ถึงพระกรรณองค์วิรัลย์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นเจ้าวรรศบ้างแล้วที่อยู่ในอาการพรั่นพรึง ดวงตาเบิกโต เม็ดเหงื่อผุดพราย และยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อการิตว่าเสียงแหบแห้ง
“หากร้อนรนกลับไปเพลานี้ มีหวัง...”
ตายโหงแน่นอน!
ไม่ต้องให้การิตพูดจนจบประโยค เจ้าวรรศก็รู้ได้ ป่านฉะนี้ พ่อยักษ์ใหญ่ของเขาคงถูกแล่ออกเป็นชิ้นจนเหลือแต่กระดูกแล้วกระมัง
เท่านั้นความตั้งใจที่ว่าจะรีบกลับไปยังมาตุภูมิเพื่อขอรับรางวัลจึงเป็นอันโมฆะ เจ้าวรรศรีบเก็บอาการหวั่นวิตก กระแอมในลำคอสองถึงสามครา ก่อนจะเอ่ย
“แต่กระหม่อมหาใช่ยักษ์ขี้ฟ้อง อีกทั้งยังไม่เห็นการดีในการมีศึกสงคราม ในฐานะตัวแทนของปรมะแล้ว กระหม่อมจะถือเสียว่าเรื่องพรรค์นี้หาได้เคยเกิดขึ้น กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำฉันใด กระหม่อมก็ไม่คืนคำฉันนั้น ในเมื่อเสด็จพ่อของกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตมาแล้วว่าให้กระหม่อมพำนักในสราลีเป็นระยะเวลาสามเดือน กระหม่อมก็จะอยู่จนกว่าจะครบวาระ ดังนั้นจงวางใจเถิด กระหม่อมจะไม่ยินยอมให้สงครามบังเกิด คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นแน่”
สิ้นเสียง ทุกชีวิตในท้องพระโรงก็พากันหายใจหายคอโล่งเป็นปลิดทิ้ง ก่อนกษัตริย์สราลีจะตรัสยกยอเป็นการใหญ่
“องค์ศวรรย์มีเมตตานัก เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะให้ข้าราชบริพารถวายงานปรนนิบัติไม่ให้ขาดตกบกพร่อง สิ่งใดที่องค์ศวรรย์ประสงค์ ข้าจะจัดหามาให้ ขอเพียงให้เอ่ยออกมาเถิด จะเดือนหรือดาวก็จะหามาให้ทั้งนั้น ให้สมกับความเมตตาขององค์ศวรรย์”
เจ้าวรรศพยักหน้ารับ ยิ้มกริ่มราวกับว่าพึงใจ ทั้งที่จริงแล้วในใจยังหวั่นวิตกอยู่
สามเดือน...กว่าจะครบกำหนดการนั้น พ่อยักษ์น้อยคงจะหายโกรธแล้วกระมัง
เอาตัวรอดเป็นยอดดีเป็นสิ่งที่พึงกระทำในเพลานี้ ส่วนพ่อยักษ์ใหญ่นั้น...ก็ขอให้เป็นไปตามบุญพาวาสนาส่ง ลูกจ๋าคงช่วยสิ่งใดไม่ได้นอกจากยกมือประนมแนบอกเท่านั้น
พ่อยักษ์ใหญ่จ๋า...ลูกจ๋าขออโหสิกรรมจ้ะ
จู่ๆ ก็พนมมือขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กษัตริย์สราลีจึงจำต้องตรัสถาม
“มีสิ่งใดรึไม่องค์ศวรรย์”
ได้สติกลับมาในเพลานี้ เจ้าวรรศรีบเอ่ยตอบ
“ขอบพระทัยที่มีพระเมตตากับกระหม่อมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นเช่นนั้นแล้ว การิตก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเจ้าวรรศช่างไหลลื่นดุจปลาไหลในโคลนตม ไม่ต่างจากพระราชบิดาเลยแม้เพียงกระผีก
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นฉันใด ลูกยักษ์ก็หล่นไม่ไกลพ่อฉันนั้น...
“ในเมื่อสิ้นธุระแล้ว กระหม่อมก็ขอตัวไปพักผ่อนก่อน กราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าวรรศตัดบทในฉับพลัน ก้มกราบแล้วกระถดถอยออกไปด้วยใจหมายอยากจะพูดคุยกับการิตเรื่องที่ถูกพ่อยักษ์น้อยจับได้ว่าร่วมมือกระทำแผนการชั่วกับพ่อยักษ์ใหญ่มากกว่า ใคร่อยากรู้ความเป็นไปในปรมะยิ่งนัก จะได้ประมาณการความหนักเบาของโทษตนได้
ครั้นพระโอรสของกษัตริย์ปรมะคล้อยหลังไปแล้ว ทั่วทั้งท้องพระโรงก็หายใจโล่งอกกันเป็นปลิดทิ้ง กระนั้นกษัตริย์สราลีก็หาได้ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปเช่นนี้ ทอดพระเนตรเหลือบมององค์นวินที่ยังคงนั่งก้มหน้างุดอยู่อย่างระอา ก่อนจะตรัสขึ้น
“แม้องค์ศวรรย์จะไม่เอาความใดๆ แต่ก็ใช่ว่าแผนการของเราจะยุติเพียงเท่านี้”
องค์นวินเหลือบมองผู้เป็นบิดาโดยพลัน สายตาที่ทอดมองนั้นแฝงไปด้วยความไม่เข้าใจ
“เสด็จพ่อทรงหมายความว่า...”
“ในเมื่อองค์ศวรรย์ทรงรู้แล้วว่าเจ้าคือองค์ยุพราช ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ ที่จะใช้สิ่งใดหลอกล่อเพื่อเปิดเผยตัวตนอีก”
“จะทรงล้มเลิกให้กระหม่อมพิชิตใจองค์ศวรรย์แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตากลมโตประกายวาวโรจน์เลยทีเดียว แต่ผิดถนัด กษัตริย์สราลีทรงหาได้คิดเช่นนั้น ตรัสดุออกมา
“ยังจะกล้ามาดีใจอีกรึ พลาดพลั้งถึงเพียงนี้ พ่อไม่ลงโทษโบยเจ้าก็ดีถมถืดแล้วเจ้านวิน”
องค์นวินถึงกับหน้าตึง ผู้ใดจะรู้กันเล่าว่าพระราชบิดาทรงคิดการใดอยู่ ก็เห็นตรัสว่าไม่มีประโยชน์ที่จะใช้สิ่งใดล่อหลอกเพื่อเปิดเผยตนมิให้เจ้าชายยักษาจากปรมะทรงกริ้วแล้วนี่ นึกว่าจะยุติแผนการนั้น
