บท
ตั้งค่า

เจ้าวรรศ : บทที่ ๒ องค์นวินผู้อาจหาญ【2】

“รินน้ำจัณฑ์ให้ข้าที”

เรียกเขาให้เข้ามาหาเพื่อการนี้น่ะนะ!?

องค์นวินถึงกับย่นคิ้วยู่ ริมฝีปากสีแดงชาดยื่นออกมาเล็กน้อยราวกับไม่พอใจ ขณะที่เจ้าวรรศซึ่งกำลังหยิบผลไม้ในพานเข้าปากเหลือบมอง

“เอ้า มัวรอสิ่งใดอยู่ เร็วๆ เข้า ข้ากระหาย มัวชักช้า ประเดี๋ยวข้าก็ฟ้องกษัตริย์ของเจ้าให้โบยหลังลายเสียนี่”

ถูกเร่งเร้ามาอย่างนั้น องค์นวินก็เลิ่กลั่กรีบคว้าเอาคนโทน้ำจัณฑ์รินลงจอกแก้วให้ด้วยมืออันสั่นเทา

เขาประหม่า...ใช่ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าองค์ศวรรย์ โอรสพระองค์เล็กแห่งกษัตริย์ปรมะที่ผู้ใดต่างเล่าลือว่ากิริยามารยาทงาม วาจาอ่อนหวาน มากปัญญาฉลาดเฉลียว ตัวจริงนั้นจะกักขฬะ พูดจาเอาแต่ใจได้ถึงเพียงนี้

ความงดงามของอีกฝ่ายที่องค์นวินชื่นชมในใจไปเมื่อครู่หายไปหมดสิ้นเมื่อได้ยินถ้อยวจีและเห็นกิริยาท่าทาง เจ้าวรรศเองก็ไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าคิดสิ่งใดอยู่ เมื่อได้รับการตอบสนองแล้วก็เอื้อมมือไปคว้าจอกแก้วมากระดกดื่ม ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะผละไปก็รั้งไว้

“ไม่ต้องไปไหนหรอกเจ้าน่ะ อยู่ตรงนี้ จะได้ปรนนิบัติข้าง่ายๆ”

อย่าบอกนะว่าเห็นเขาเป็นข้าราชบริพาร!?

ทั้งที่ตอนแรกไม่ต้องการให้ผู้ใดอยู่ใกล้เพราะรำคาญใจแท้ๆ แต่ครานี้กลับต้องการให้มีคนคอยดูแลปรนนิบัติ เพิ่งประจักษ์เอาในเพลานี้กระมังว่ามีข้ารับใช้คอยดูแลนั้นสบายกายากว่าเป็นไหนๆ

องค์นวินถูกสั่งเช่นนั้นก็ย่นคิ้วมากขึ้นไปอีก ขัดใจ แต่ก็จำยอมรับโดยดุษณี สภาพอ้อนแอ้นแลอ่อนแอเช่นนี้ ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าเป็นองค์ยุพราชแห่งสราลีที่เหล่าราชทูตไปทูลกรอกหูว่าองอาจสมบุรุษยักษากันเล่า แท้จริงนั้นเขาบอบบางราวกับบุษบา เพียงถูกบีบในกำมือแผ่วเบาก็พร้อมที่จะบอบช้ำแล้ว

องค์นวินจึงได้แต่ทรุดตัวลงนั่ง ไม่พูดไม่จา ให้เจ้าวรรศได้ออกคำสั่งอีก

“รินมา อย่าได้รีรอ ให้รู้หน้าที่ด้วย”

สำเริงสำราญเหลือเกิน เป็นอาคันตุกะมีศักดินาแท้ๆ ไยทำตัวสำมะเลเทเมาเช่นนี้

องค์นวินได้แต่บริภาษในใจ มือก็บรรจงรินน้ำจัณฑ์ในคนโทลงในจอกให้ ขณะที่เจ้าวรรศเริ่มพูดพร่ำไปเรื่อย

“น้ำจัณฑ์ของสราลีนั้นรสชาติล้ำเลิศนัก มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดสราลีถึงได้ชื่อว่ามีทรัพย์ในดิน สินในน้ำ น้ำจัณฑ์นี้ก็คงผ่านการหมักเป็นอย่างดี ถึงได้รสชาติโอชา แผ่นดินใดก็มิอาจเทียบเคียงถึงเพียงนี้”

คนฟังพอจะแย้มยิ้มขึ้นมาได้ ก็น้ำจัณฑ์นั้นเป็นสูตรที่เขาคิดค้นขึ้นมาด้วยหมายจะทำเป็นสินค้าขึ้นชื่อของสราลีนี่นา จะไม่ปลาบปลื้มใจได้อย่างไร

“ได้ยินว่าน้ำจัณฑ์นี้ องค์นวินเป็นผู้คิดค้นสูตรหมักขึ้นใช่หรือไม่”

แม้แต่เจ้าวรรศที่เพิ่งมาถึงสราลีเมื่อไม่กี่วันก่อนยังรู้เลย คนฟังรีบพยักหน้าโดยพลัน

“ช่างปัญญาล้ำเลิศยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่”

ทำให้โอรสของไอศูรย์พอใจได้ องค์นวินก็อมยิ้มจนต้องเม้มปากแน่นด้วยหมายจะเก็บอาการ มือรินน้ำจัณฑ์ให้อีกเมื่อเห็นจอกของเจ้าวรรศว่างเปล่า

“ว่าแต่องค์ยุพราชของเจ้าไปไหนเสียล่ะ ข้ามาที่นี่รึก็หลายทิวาหลายราตรีแล้ว ยังไม่เห็นแม้เพียงเงา ยังปฏิบัติราชกิจไม่เสร็จสิ้นอีกรึ”

องค์นวินเหลือบมอง เขาก็อยู่ตรงหน้านี่แล้วอย่างไร!

แต่จะไปว่าก็ไม่ได้ อสุราตรงหน้าหาได้รู้นี่นา องค์นวินจึงได้แต่ตอบไป

“ขะ...ข้าก็อยู่นี่อย่างไร”

เสียงแผ่วเบาหลุดลอดออกจากปาก เจ้าวรรศได้ยินอีกฝ่ายพึมพำก็ย่นคิ้ว

“เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”

“ขะ...ข้าบอกว่าข้า...”

“อะไรนะ ไม่ได้ยิน”

พูดยังไม่ทันจบ เจ้าวรรศก็ส่งเสียงขึ้นมาแล้ว เสียงดังเสียด้วย รำคาญใจเหลือเกินที่อีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าพึมพำเหมือนสวดสาปแช่งเขา ทำให้องค์นวินประหม่ากว่าเดิมเป็นเท่าตัว กระนั้นก็พยายามที่จะพูดออกมา

“ข้า...บะ...บอกว่าข้าคือองค์...”

“เวลาพูดกับข้า มองหน้าข้าด้วยเจ้าเหี่ยว”

เจ้าเหี่ยวรึ?

องค์นวินถึงกับหันไปมองหน้า เขาไม่ได้เหี่ยวสักหน่อย แค่ตัวเล็กผอมบางไปสักหน่อยเพียงเท่านั้น

“ข้าคือองค์ยุพราช มีนามว่านวิน!”

เพราะความขุ่นเคืองถึงได้เปล่งเสียงดังออกไป จังหวะเดียวกันนั้น เจ้าวรรศกระดกดื่มน้ำจัณฑ์พอดิบพอดี ครั้นได้ยินเรื่องเหลือเชื่อจากปากคนข้างกาย เขาก็...

พรู่ด!

พ่นน้ำจัณฑ์ใส่หน้าองค์นวินเสียเลย หากแต่นั่นหาได้เป็นเพราะความตั้งใจ เป็นไปด้วยอารามตกใจต่างหาก

“ประเดี๋ยวก่อนนะ เจ้าว่าเจ้าคือองค์นวิน องค์ยุพราชแห่งสราลีอย่างนั้นรึ”

องค์นวินยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำที่พร่างพรายบนใบหน้าออก ศีรษะผงกรับ

“อะ...อือ”

เท่านั้นเจ้าวรรศก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

“ไปหลอกยักษ์เด็กเถิด องค์ยุพราชนั้น ข้าได้ยินว่าองอาจสมบุรุษยักษา รูปร่างหน้าตารึก็ผึ่งผายสง่างาม เหี่ยวเป็นผักเช่นเจ้า อย่าริเทียบเคียง”

จากนั้นก็หัวเราะร่วนไม่หยุดหย่อน ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะมึนเมาหรือมาจากใจจริง แต่ถ้อยคำนั้นก็ทำให้องค์นวินต้องก้มหน้าลงไปอีก ริมฝีปากยื่นอย่างงอนๆ

เหี่ยวเป็นผักอันใดกัน หยาบคายนักเจ้ายักษ์กักขฬะ!

“อะไร มีสิ่งใด”

เจ้าวรรศหยุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าง้ำ องค์นวินรีบตอบรับ

“หา...หาได้มีสิ่งใด”

“ไม่มีสิ่งใดแล้วทำปากยื่นเพื่อการใด”

มือคว้าชิ้นมะม่วงสุกจากพานไปตีปากขององค์นวินไม่แรงนัก คนถูกจู่โจมกะทันหันถึงกับรีบเบือนหน้าหนี เจ้าวรรศเห็นท่าทางไม่สู้คนของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ขบขันในใจ เอามะม่วงชิ้นนั้นเข้าปากเคี้ยวพลางกลั้วหัวเราะแผ่วเบา

“เจ้านี่ดีนะ ไม่พูดมากดี”

ตบหัวแล้วก็ลูบหลัง กลั่นแกล้งแล้วก็เอ่ยชม ทำเอาองค์นวินที่ขุ่นเคืองอยู่เมื่อครู่เหลือบมองอย่างประหลาดใจ

“ทะ...ทำไมรึ”

“ก็เจ้าไม่พูดพร่ำพรรณนาว่าองค์ยุพราชของเจ้าดีงามเพียงใดกันอย่างไรเล่า ตั้งแต่ข้ามาที่สราลี ได้ยินทั้งเสนาอำมาตย์ ทั้งเหล่านางกำนัลพร่ำพูดไม่หยุดหย่อนจนเอียนจะแย่อยู่แล้ว ดีนะที่เจ้าไม่พูดมากด้วยอีกคน ไม่อย่างนั้นข้าคงจะตะเพิดเจ้าไปโน่นแล้ว”

องค์นวินถึงกับก้มหน้างุด

น่าขายหน้ายิ่งนัก เจ้าพวกยักษ์พวกนั้นไยปากพล่อยกันได้ถึงเพียงนี้!

จะต่อว่าก็ไม่ได้ นั่นเป็นพระบัญชาของกษัตริย์สราลี แม้องค์นวินจะเคยทักท้วงแล้วว่าไม่เหมาะสม ใคร่พบพานก็มิควรหลอกลวง แต่ก็หาได้ฟังเขาแต่อย่างใด สถานการณ์ชวนให้กระอักกระอ่วนใจเช่นนี้ถึงได้บังเกิด

“ว่าแต่เจ้าเถิด มีนามว่ากระไร แล้วเป็นข้าราชบริพารตำหนักไหน ไยข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน”

ถามมาอย่างนั้น องค์นวินก็ออกจากภวังค์ของตนเอง ตอบกลับเสียงอ้อมแอ้ม

“ก็ข้าหาใช่ข้าราชบริพารนี่นา”

“ว่าอย่างไรนะ”

หาใช่ตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เป็นเพราะไม่ได้ยินต่างหากถึงได้ถามซ้ำ ชักจะหงุดหงิดแล้ว ไยถึงได้พูดในลำคอ บ่นงึมงำอยู่ได้นะ

“ขะ...ข้าบอกว่าข้าหาใช่ข้าราชบริพาร”

ก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี เจ้าวรรศถึงกับย่นคิ้วยู่

“เสียงแมลงภู่ตอมเกสรดอกไม้ดังหึ่งๆ ยังจะดังกว่าเสียงพูดของเจ้าอีก เมื่อครู่ว่าอันใด พูดให้ดังๆ” แล้วเจ้าวรรศก็แสร้งส่งเสียงดังเป็นตัวอย่าง องค์นวินนั้นถึงจะอายุมากกว่า แต่ด้วยอุปนิสัยที่ไม่สู้คน เมื่อถูกดุแล้วก็ยิ่งก้มหน้างุดราวกับกลัวจะถูกตำหนิ กระนั้นก็เอ่ยเสียงดังกว่าเดิมออกมาจนได้

“ข้า...ข้าบอกว่าข้าหาใช่ข้าราชบริพาร”

“เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง” เจ้าวรรศว่าออกมาเมื่อได้ยินแล้ว จากนั้นก็ถามต่อ “หากไม่ใช่ข้าราชบริพาร แล้วเจ้าคือผู้ใด”

ในใจเดาเอาว่าคงจะเป็นอสุรขัตติยาสักพระองค์ของสราลี ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

“ข้าคือองค์ยุพราช มีนามว่านวิน ก็บอกเจ้าไปแล้วอย่างไร”

ได้ยินชัดเต็มสองรูหู แต่คำพูดนั้นกลับหาได้ทำให้เจ้าวรรศเชื่อได้ ปรายตามองรูปกายของอีกฝ่ายแล้วก็พินิจครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่

ใครต่อใครต่างว่ากันว่าองค์นวินมีรูปงาม องอาจ สง่าผ่าเผย แต่เจ้ายักษ์ตรงหน้านี้มัน...

“ไหล่งองุ้ม ดวงหน้าเยาว์วัยไม่คร้ามครัน ผิวขาวหยวกราวกับไม่เคยต้องแสงสุริยัน รูปร่างสันทัด...เจ้าน่ะรึองค์นวิน?”

องค์นวินพยักหน้ารับ ใช่ๆ เขานี่ล่ะองค์นวิน

เจ้าวรรศเห็นแล้วก็ส่งเสียงในลำคอทันที

“หึ ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าหากอยากจะหลอกใครก็ไปหลอกยักษ์เด็กเถิด เจ้าหาใช่องค์นวินหรอก เจ้าคือเจ้าผักเหี่ยว”

ไม่ใช่ผักเหี่ยวสักหน่อย!

องค์นวินท้วงในใจ คิ้วย่นยู่ เม้มปากแน่น ดวงตามองอย่างตัดพ้อระคนโกรธ สีหน้าแลดูคล้ายกับว่าจะร้องไห้เสียเหลือเกิน ทำเอาคนหยอกเย้าอย่างเจ้าวรรศเพลิดเพลินกับการกลั่นแกล้งยิ่งนัก

“ข้า...หาใช่ผักเหี่ยว”

ก็ทำได้เพียงปฏิเสธเสียงเบาเท่านั้นละนะ เจ้าวรรศเองก็ไม่สนใจแล้ว หยอกเย้าพอเป็นกระสายก็ดื่มด่ำกับน้ำจัณฑ์รสเลิศต่อไปอีกครู่ แต่ก็ยังค้างคาใจอยู่ไม่น้อยด้วยยังไม่รู้นามของคนข้างกายเสียที

“อย่ามัวเล่นแง่แล้วรีบบอกมาเถิด ตกลงแล้วเจ้ามีนามว่ากระไรกันแน่”

“ก็...นวิน” อยากจะย้ำเหลือเกินว่ามีนามว่าองค์นวิน เป็นองค์ยุพราชแห่งสราลีตัวจริงเสียงจริง แม้ว่าลักษณะท่าทางจะหาใช่เช่นเดียวกับคำกล่าวอ้างของเหล่าข้าราชบริพารก็ตาม

เจ้าวรรศมองนิ่ง ปากว่าออกมา “เจ้าผักเหี่ยว กล้าโกหกข้าไม่หยุดหย่อนอย่างนั้นรึ”

องค์นวินส่ายหน้าพรืด ไม่ได้โกหกเสียหน่อย!

“หากโกหกอีกครั้ง ข้าจะเอามะม่วงยัดปากเจ้า บอกมาว่ามีนามว่ากระไร”

ในเมื่อถามดีๆ แล้วเล่นแง่ เช่นนั้นก็ขู่เข็ญเสียแล้วกัน อีกทั้งยังไม่พูดเปล่าด้วย ถือวิสาสะจับท่อนแขนขององค์นวินไว้ ออกแรงกระชากให้เข้ามาใกล้ มือหนึ่งถือมะม่วงเตรียมจะยัดปาก

“มีนามว่ากระไร”

ออกปากถามเสียงต่ำระคนกลั้วหัวเราะคล้ายกับว่าจะได้เล่นสนุก ขณะที่องค์นวินเบิกตาโตอย่างพรึงเพริด

“ยะ...อย่า”

“ไม่อยากถูกเอามะม่วงยัดปากก็พูดมา”

กักขฬะได้ถึงเพียงนี้อย่างไรกัน เจ้าเป็นอาคันตุกะนะ ไยถึงกลั่นแกล้งรังแกคนของสราลีเช่นนี้!

องค์นวินร้องท้วงในใจเป็นพัลวัน ริมฝีปากสั่นระริกด้วยหาได้เคยมีผู้ใดประชิดตัว ทั้งยังหมายจะกลั่นแกล้งถึงเพียงนี้ ส่วนเจ้าวรรศนั้น เมื่อได้หยอกเย้าแล้วก็หยุดไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่สมควร แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใดกันถึงได้รู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างน่าแกล้งให้หนำใจจนกว่าจะหลั่งน้ำตาเสียเหลือเกิน

“เร็วเข้า หากไม่พูด เจ้าถูกมะม่วงยัดปากแน่”

ขู่มาอีกแล้ว คราวนี้องค์นวินถึงกับพรึงเพริดเมื่อเห็นว่าเจ้าวรรศเลื่อนมะม่วงเข้ามาใกล้ใบหน้าตน

“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าน่ะมีนามว่า...”

“องค์นวินพ่ะย่ะค่ะ!” ไม่ใช่เขาที่ตอบ แต่เป็นอำมาตย์ยักษาตนหนึ่งที่รีบร้อนตามหาเขาด้วยมาตรการภาษีอากรที่เสร็จสิ้นไปเมื่อครู่มีจุดผิดพลาด ครั้นเห็นองค์ยุพราชของตนหยอกเย้าอยู่กับอาคันตุกะ เขาก็รีบทิ้งตัวลงเข่ากราบ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาก็ประนมมือไว้แนบอก

“ขอประทานอภัยที่กระหม่อมขัดเวลาเกษมสำราญพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์นวินจำต้องกลับไปที่ตำหนักหลวงก่อน มีบางสิ่งต้องแก้ไขในใบลานพ่ะย่ะค่ะ”

แทนที่องค์นวินจะได้ตอบรับ กลับเป็นเจ้าวรรศเองที่เอื้อนเอ่ยออกมา

“เจ้า...ตกลงคือองค์นวินจริงรึ” ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่องค์นวินสบโอกาสรีบกระชากแขนตนหลุดจากการเกาะกุม ผุดลุกพรวดพราดอย่างรวดเร็ว

“ชะ...ใช่ ข้านี่ล่ะองค์นวิน”

อันที่จริงตั้งใจว่าจะเชิดหน้าแล้วเอ่ยคำพูดนี้อย่างผึ่งผาย แต่เอาเข้าจริงกลับทำได้เพียงก้มหน้างุด พึมพำตะกุกตะกักออกมา โดยที่ฝ่ายเจ้าวรรศอ้าปากค้าง มะม่วงที่ถืออยู่ร่วงหล่นพื้นทันใด สายตาปราดมองยักษาตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

สินค้าอวดอ้างไม่ตรงสรรพคุณนี่หมายความว่ากระไรกัน! อาจหาญมาย้อมแมวล่อหลอกยุพราชแห่งปรมะ เห็นทีจะต้องมีเรื่องให้แตกหักกันหน่อยแล้ว!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel