บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

เสียงผู้คนจอแจเดินสวนขวักไขว่ไปมาในกลางเมืองเหลียนอู่มองดูคึกคักยิ่ง เขาเองก็เปิดโรงเตี้ยมที่นี่คนของเขาต่างหอบขนสมบัติมีค่ามารอเอาไว้แล้วในห้องลับ น่าแปลกที่ขุนนางปกครองเหลียนอู่เพิกเฉยต่อชาวบ้านหัวเมืองรอบนอกที่บัดนี้ภัยเกิดแล้งจนไม่สามารถปลูกพืชผักได้แลดูอดอยากยิ่ง หากแต่ในเมืองผู้คนกลับคึกคักสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไม่มีทุกข์ร้อนใดมาแผ้วพาน เขาถอนใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงความแตกต่างของผู้คน

"นายท่านทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้วขอรับ"

"ข้ารู้แล้ว วันนี้เราออกไปชมในตัวเมืองกันเถอะข้ารู้สึกแปลกประหลาด"

"เรื่องใดหรือขอรับ"ปู้เฉินถามด้วยน้ำเสียงสงสัยขึ้นมาทันที เพราะหากเจ้านายของเขาสงสัยอะไรนั่งแสดงว่ามันจะต้องมีกลิ่นไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ

"เจ้าไม่สังเกตหรือว่าเหตุใดคนในเมืองต่างไม่มีทุกข์ร้อน ต่างกับคนตามหัวเมืองอดอยากปากแห้งแร้นแค้นขนาดนั้น"

"นั่นสิขอรับ ข้าเองก็ไม่ทันคิดให้ถ้วนถี่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้คนของเราออกไปสืบสักสองสามคนดีหรือไม่"

"ไม่ต้อง รอให้พวกเราเอาเงินทองไปแจกชาวบ้านแล้วค่อยสอบถาม"

"เช่นนั้นพวกเราควรระวังตัวเอาไว้จะดีกว่าขอรับเรื่องนี้ดูแล้วไม่น่าไว้วางใจ"

"อืม"ทั้งสองเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชายเจ้าสำราญนักท่องยุทธภพ ด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณชั้นยอดและทั้งคู่ต่างถือพัดเดินออกไปด้วยท่าทีราวกับคุณชายเจ้าสำราญ ระหว่างเดินสำรวจตลาดสองข้างทางที่ขายสินค้ามากมาย เขาจึงไปหยุดยืนที่ร้านขายเซาปิ่งไส้ถั่วแดงของโปรดของตน

"คุณชายจะเอากี่อันดีขอรับ"พ่อค้าที่เตรียมห่อเซาปิ่งเอ่ยถามขึ้น

"ขอซักสิบอัน"

"โอโห! คุณชายช่างใจดีเสียจริง นี่ท่านซื้อไปแจกจ่ายผู้ใดเยอะแยะ"

"ปู้เฉินจ่ายเงินให้เถ้าแก่ ข้าเพียงนำไปแจกจ่ายให้กับเหล่าคนในบ้านเท่านั้น จริงสิทำไมข้าเห็นประตูเมืองปิดล่ะ"จื่อหลงโบกพัดด้ามจิ้วไปมา ถามคล้ายมิใส่ใจ

"อ้อ เป็นเพราะวันนี้จะมีเหล่าขุนนางจากเมืองหลวงมาขอรับ"

"หืม ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงตั้งมากเหตุใดจึงมีขุนนางจากราชสำนักมาได้เล่า หรือเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้น"เขาเสแสร้งทำเป็นตกใจ

"ท่านไม่รู้อะไร ก็จอมโจรจวิ้นจื่อหลงน่ะสิ เมื่อวานเขาปล้นของที่จะส่งไปถวายแด่องค์รัชทายาท ดังนั้นทางการจึงต้องออกมาปราบปราม"พ่อค้าก้มลงเอียงใบหน้าเข้าใกล้พร้อมกับลดเสียงลงเล็กน้อย

"จริงๆ แล้ว ข้าไม่ได้รังเกียจจอมโจรเขาหรอก เขาทำเพื่อชาวบ้านที่ทุกข์เข็ญมากมาย แต่ทว่า เฮ่ย! พูดแล้วก็ให้เจ็บใจ เขาดันไปปล้นของที่จะถวายฮ่องเต้จึงต้องลำบากเช่นนี้ รนหาที่ตายแล้ว รนหาที่ตายแล้วจริงๆ "เขาส่ายหน้าช้าๆ จื่อหลงพอได้ยินก็แกล้งใช้พัดปิดปากดวงตาคมเข้มเบิกโพลง

"ถ้าเช่นนั้นเมืองนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่ ปู้เฉินเรารีบออกจากเมืองนี้กันเถอะ"เขาแกล้งทำน้ำเสียงตื่นตระหนก

"ขอรับคุณชาย"

"เดี๋ยวๆ พวกท่านอย่าใจร้อน ทางการที่ส่งมานั้นเป็นถึงท่านขุนพลฉั่วเหวิน เขาลือกันว่าผ่านการรบการศึกมานับไม่ถ้วนรวมถึงส่งท่านเสนาบดีกลาโหมมาเชียวนา"

"ถึงขั้นนั้นเชียวหรือแสดงว่าจอมโจรผู้นี้ต้องฝีมือเก่งกาจแน่ๆ "เขาแกล้งทำน้ำเสียงหวาดกลัว

"ให้เก่งยังไงก็สู้ท่านขุนพลไม่ได้หรอก ปลอดภัยแน่นอนเชื่อข้าเถอะ เอาไปๆ นี่ของพวกเจ้า"พ่อค้าส่งเซาปิ่งมา ปู้เฉินล้วงเอาเงินออกมาจ่ายแล้วกล่าวขอบคุณ

"เรื่องนี้นี่เองที่ท่านอาจารย์เอ่ยเตือน"

"เราหลบหนีดีไหมขอรับ ดูท่าทางราชสำนักคงไม่ปล่อยพวกเราเอาไว้แน่"ปู้เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี

"เหลวไหล พวกคนอ่อนแอพวกนั้นมันจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร เจ้าอย่าได้ตระหนกขวัญเสีย พวกเรากลับกันก่อนเถอะแล้วเรียกคนมาประชุมด้วย"สองคนที่เดินคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาต้องหยุดเดินเพราะขบวนยาวเหยียดตรงหน้า

"หลบไป หลบไป!! "เสียงทหารนำขบวนตะโกนบอกให้ชาวบ้านแยกออกเป็นสองฝั่ง รถม้าคันเล็กที่กำลังผ่านทางเดินช้าๆ ด้านหลังแถวทหารหกคนมีม้าตัวเขื่องอยู่ตรงกลาง คนที่นั่งอยู่ด้านบนมีร่างกายสูงใหญ่ใบหน้าดุดันและสวมเกราะระดับขุนพลปรากฏอยู่ ก่อนที่จะปิดขบวนด้วยทหารอีกหกนายแล้วถึงตามด้วยรถม้า ปิดท้ายขบวนด้วยทหารอีกยี่สิบนาย ธงที่ชูด้านหน้าและด้านหลังบ่งบอกถึงตำแหน่งของคนที่อยู่ในรถม้าชัดเจนว่ามีฐานะเช่นไร ด้านนอกของประตูเมืองยังมีทหารถึงสามพันนายตั้งกระโจมเล็กๆ ก่อกองไฟเอาไว้ล้อมรอบด้านหน้าทางเข้าเอาไว้สองฟากฝั่ง

"เสนาบดีกลาโหมงั้นหรือ"เขาเอ่ยเสียงเบาดวงตาดุจเหยี่ยวเกิดประกายวับวาบขึ้นมาทันที

"เหตุใดจึงมาไวจริงๆ "ปู้เฉินนิ่วหน้า

"นั่นสิ มาไวกว่าที่ข้าคาดการเอาไว้เสียอีก"

"การเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่ต้องใช้เวลาถึงสามวันแต่นี่เพียงแค่วันครึ่งพวกเขาก็มาถึงกันแล้ว"ปู้เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ

"อืมนั่นสิ แสดงว่าเสนาบดีผู้นี้เก่งกาจมิได้อ่อนแอดังเช่นบัณฑิตทั้งหลายแน่ๆ "เขาตบพัดด้ามจิ้วกับฝ่ามือดังฉาด ก่อนจะหดมือตนเองเข้าไปในแขนเสื้อกว้างและยาวจรดปลายนิ้ว ก่อนจะแอบหยิบลูกไข่มุกเม็ดเล็กๆ เอาไว้ในมือแล้วดีดมันออกไปอย่างรวดเร็วจนสายตาของผู้คนสามัญมองไม่ทันเข้าไปที่สะโพกม้าเทียมรถจนมันตื่นตระหนก ห้อตะบึงเหมือนไร้ทิศทาง เป็นเขาที่เร้นกายกระโจนหายไปตามหลังคาบ้านเรือนในยามที่คนกำลังโกลาหล ซ้ำร้ายยังถูกปู้เฉินป่วนจนไม่อาจคุมขบวนให้คงที่ได้ รถม้าเทียมสลัดคนบังคับจนตกลงไปนอนกลิ้งกับพื้นสลบไสล เหลือเพียงคนด้านในที่จับยึดตัวรถเอาไว้แน่น

"เกิดอะไรขึ้น!! "ฟ่านเสวียนมองไม่เห็นภายนอกว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขารู้เพียงความสั่นสะเทือนและเสียงกรีดร้องโวยวายของผู้คนเท่านั้น ทันใดนั้นเองรถม้าที่ขยับโขยกเขยกไปมาจนเนื้อตัวสั่นคลอนก็หยุดลงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของชายผู้หนึ่งที่ส่งเสียงห้ามม้ามิให้พยศ

"ฮ่าห์ ย่าห์ ย่าห์ หยุดๆ "เสียงกุบกับด้านนอกหยุดลง เขาจึงประคองตัวขึ้นแล้วแง้มผ้าบังประตูออก สายตาปะทะกับคนรูปร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าคมเข้มหล่อเหลา สวมเสื้อผ้าราคาแพงกำลังยึดสายจูงม้าเอาไว้แน่นจนมันขยับขาเพียงกุบกับเบาๆ เท่านั้น

"ปลอดภัยหรือไม่"น้ำเสียงที่ถามห้วนสั้นดวงตาคมดุจ้องมาที่ใบหน้าเรียวขาวเขม็งด้วยสายตาดุจเหยี่ยวจับจ้องเหยื่ออันโอชะ

"ปละ ปลอดภัย ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือ"ฟ่านเสวียนตะกุกตะกักตอบ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำเขาตกใจไม่น้อยเรียกได้ว่าเสียขวัญก็ว่าได้

"แล้วเจ้าทำไมไม่กระโดดลงมา หรือไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ชมโลกอันงดงามแห่งนี้แล้ว"คนถามยังลงเสียงหนักคล้ายเขาเป็นเด็กซุกซนหาเรื่องเจ็บตัวกระนั้น

"คือ..ข้าไม่กล้า"

"โง่เสียจริง เช่นนั้นก็ลงมาเถอะ"จื่อหลงเหลือบสายตามองคนที่กำลังประคองตัวเองก้มต่ำลอดประตูรถม้าลง คนผู้นี้มีกลิ่นดอกไม้ป่าหอมอ่อนบางโชยมาน้อยๆ จากถุงหอม ผมที่ถูกรัดเกล้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่ก็ยังน่าดูชมมิขัดตาแต่อย่างใด ร่างโปร่ง ในชุดสีดำปักลายมังกรที่บ่งบอกเครื่องหมายของกรมกลาโหมทำให้เขารู้ว่าเป็นผู้ใด หากการข่าวของเขามิได้บอกเลยสักนิดว่าเป็นคนผู้นี้ เขากระแอมให้ลำคอโล่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"ระวังขาเจ้าด้วย"เขานึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าคนตรงหน้าจะปรากฏตัวให้เห็นโดยไม่ทันตั้งตัว สายตาสำรวจไปทั่วตัวของคนร่างโปร่งว่าบาดเจ็บตรงใดบ้างเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลเขาจึงลอบถอนหายใจโล่งอก

"ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือ"

"ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาช่วยเหลือคนโง่งมที่ไม่รักตัวกลัวตายปล่อยให้ม้าวิ่งเตลิดโดยไม่ช่วยเหลือตัวเองเช่นนี้"ฟ่านเสวียนถึงกับหน้าแดงเมื่อถูกตำหนิจากคนที่ไม่รู้จักเช่นนี้ ริมฝีปากหยักเป็นรูปกระจับเม้มเข้าหากัน

"ข้าขอบคุณที่เจ้ามีน้ำใจ แต่ไม่น่าจะตำหนิข้าเช่นนี้เพราะเราไม่รู้จักกันเสียหน่อย อีกอย่างต่อให้เจ้าไม่ช่วยคนของข้าก็เข้ามาช่วยได้อยู่แล้ว ลำบากเจ้าสอดมือแล้ว โอ๊ย!!! "สิ้นคำเขาถึงกับร้องด้วยความเจ็บเพราะคนตัวโตกว่าบีบข้อมือเขาจนแน่นโดยไม่ทันตั้งตัว

"เจ้าตั้งใจจะทำอะไร"

"ลงโทษคนที่ไม่รู้จักคุณคน ข้านั้นถือว่าได้ช่วยชีวิตให้เจ้า ดังนั้นเจ้าจึงต้องเป็นหนี้ชีวิตข้าแล้ว"

"แค่ม้าพยศข้าจะตายได้อย่างไร อ๊ะ! "ฟ่านเสวียนต้องตกใจเพราะมองเห็นสภาพรถม้าที่พุ่งออกประตูเมืองมายังหน้าผา ล้อข้างหนึ่งเอียงตกลงไปด้านล่างยังโชคดีที่แหนบคานขัดกับก้อนหินเอาไว้จึงไม่ร่วงหล่นลงไปยังหุบเขา

"เป็นอย่างไร คราวนี้รู้หรือยัง"จื่อหลงเยาะเย้ยถากถาง ทว่าภายในใจอดใจหายไม่ได้โชคดีที่เขาติดตามมาช่วยเอาไว้ได้ทันท่วงที

"ข้า..ข้า"

"ช่างเถอะ มาสิเราจะกลับเข้าไปในเมืองด้วยกัน"เขาปลดม้าออกจากรถเทียมแล้วกระโดดขึ้นขี่ ส่งมือให้กับคนตัวบางที่ยืนลังเลอยู่

"ไม่เป็นไรเจ้าไปเถอะขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ หากข้ากลับเข้าตัวเมืองแล้วข้าจะพักที่โรงเตี้ยม เจ้าสามารถไปเอารางวัลได้"

"อวดดีแบบนี้ คิดจะเดินเข้าไปในตัวเมืองหรือไร รู้หรือไม่ว่าเจ้าออกมาไกลแค่ไหนถ้าคิดจะเดินกลับคงใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเชียว"

"ข้าคิดว่าขบวนของข้าคงส่งคนออกมาตามหาดังนั้นข้าจึงคิดจะรั้งรอพวกเขาที่นี่"จื่อหลงไม่ฟังเสียงคว้าเอวบางออกแรงดึงขึ้นมาควบม้าด้านหน้าทันที

"เจ้าทำอะไร"ฟ่านเสวียนตกใจเกาะคอม้าเอาไว้แน่น นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้สามารถยกคนเช่นเขาขึ้นม้าด้วยมือเดียวได้ เขามิใช่แม่นางน้อยที่อ้อนแอ้นบอบบางเสียหน่อยใบหน้าเรียวขึ้นซับสีทันทีมิใช่เอียงอายแต่เป็นเรื่องน่าละอายต่างหากเล่า เขาดูราวกับคนกำลังเป็นโรคเจ็บป่วยและอ่อนแอ จนถึงขั้นให้บุรุษเช่นเดียวกันโอบอุ้มขึ้นบนหลังม้าได้ง่ายดาย จื่อหลงยิ้มน้อยๆ อยู่ด้านหลังลอบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนด้านหน้า เมื่อเห็นใบหูแดงขึ้นทันตารวมถึงแก้มที่ซับสีจึงอดหยอกเย้าไม่ได้

"เจ้าเจ็บป่วยที่ใด เหตุใดจึงหน้าแดง หรือว่า...เป็นเพราะอากาศร้อน"เขาแสร้งพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ฟ่านเสวียนรีบตอบคำ

"ใช่ๆ อากาศร้อน ข้าทนอากาศเช่นนี้ไม่ค่อยไหว"

"อ้อ! เป็นเช่นนั้น"เขาหัวเราะในลำคอแล้วใช้ขากระตุ้นสีข้างของม้าให้ค่อยย่างเหยาะไปช้าๆ

"เจ้าชื่อเสียงเรียงใด พอจะบอกผู้มีบุญคุณของเจ้าได้หรือไม่"จื่อหลงเอ่ยเสียงเรียบทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นมีชื่อว่าอย่างไร

"ข้าแซ่ลู่ ลู่ฟ่านเสวียน"

"อืม ความหมายดีสมกับตัวเจ้าจริงๆ "

"แล้วเจ้าล่ะ"

"ข้าหรือข้าแซ่เหวิน ชื่อจื่อหลง"

"เหวินจื่อหลงงั้นหรือ สมกับตัวเจ้าเช่นกัน"ฟ่านเสวียนบอกสองคนนั่งบนหลังม้าที่เดินช้าๆ สองข้างทางยังเป็นป่าละเมาะเล็กๆ พอให้เห็นสัตว์ขนาดเล็กวิ่งข้ามไปมาจากอีกฝั่งไปถึงอีกฝั่ง

"แล้วข้าถามได้หรือไม่ว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่"จื่อหลงชวนคุย

"ข้ามาเรื่องราชการสำคัญ เรื่องนี้คงไม่สามารถตอบเจ้าได้"

"อ้อ ไม่เป็นไรข้ามิได้อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้ามาทำอะไร เพียงแต่ข้าสงสัยเล็กน้อยเท่านั้น ดูจากเครื่องแบบของเจ้าแล้วเจ้าทำงานกับฝ่ายกลาโหมหรือ"

"ใช่ ข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ เท่านั้น"

"อ้อ"จื่อหลงพยักหน้า

"เอาล่ะข้างหน้าจะเข้าประตูเมืองแล้ว เจ้าขี่ม้าเองได้หรือไม่"

"ข้าไม่เคยขี่ แต่คิดว่าถ้ามันไม่พยศข้าคงควบคุมมันได้"จื่อหลงถอนหายใจกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเปลี่ยนมาจับจูงสายจูงแทน

"ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าที่โรงเตี้ยม"จื่อหลงค่อยจูงม้าจนไปหยุดที่โรงเตี้ยมของตน พบว่าเหล่าขบวนกำลังเตรียมออกตามหาฟ่านเสวียนอยู่

"นี่ถ้าไม่เจอข้า เจ้าคงกลายเป็นศพก่อนที่พวกเจ้าจะตามเจอแล้วแน่ๆ "

"พวกเขาคงคิดว่าข้าไม่เป็นอันตรายจึงไม่ได้ออกมาตามหา แต่พอรอแล้วข้ายังไม่ปรากฏตัวจึงรีบออกตามหา"

"เฮ๊อะ! แล้วแต่เจ้าเถอะหากเจ้าคิดจะเชื่อเช่นนั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel