เสนาบดีที่รัก (Yaoi)

191.0K · จบแล้ว
BYM|บลัดดี้แมรี่
68
บท
2.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"เสนาลู่รับราชโองการ"หนี่กงกงโน้มตัวรับม้วนผ้าสีทองจากพระหัถต์ขององค์ฮ่องเต้ นำมายืนเบื้องหน้าเหล่าขุนนางที่ยืนแบ่งฝ่ายสองข้างซ้ายขวา "พะย่ะค่ะ"ชายหนุ่มรูปงาม เรือนร่างโปร่งบางในชุดเข้าเฝ้าเต็มยศสีน้ำเงินเข้มปนขาว ใบหน้ามิได้งดงามราวสตรีทว่าดูโดดเด่น งดงามราวเทพจุติ ทั้งน้ำเสียงยังนุ่มนวลชวนเคลิ้ม เล่าลือกันว่าเขาผู้นี้ฉลาดหลักแหลมสามารถสอบจอหงวนด้วยคำถามเพียงข้อเดียว "จงนำทัพพร้อมขุนพลฉั่วหวินปราบขุนโจรจื่อหลงให้สิ้นซาก เพื่อความสุขของเหล่าปวงชน รับราชโองการ"จบคำหลี่กงกงจึงยื่นม้วนราชโองการส่งให้ "รับสนองราชโองการพะย่ะค่ะ"ขุนพลฉั่วพร้อมฟ่านเสวียนคุกเข่าน้อมรับ ................................. "มันผู้ใดจะเข้ามากำราบข้า"จวิ้นจื่อหลงนั่งอยู่บนตั่งขนาดใหญ่สูงกว่าผู้คนพวกพ้อง ในปากถือผิงกั๋วสีแดงเข้มลูกใหญ่โยนขึ้นลงแล้วนำมันเข้าปาก "ประมุขจวิ้นอย่าได้ประมาทเด็ดขาด คราวนี้ถึงกับให้เสนาบดีออกมาจับกุมท่านด้วยตนเอง"คนสนิทนามปู้เฉินรีบวางจองสุราลง "ขุนนางอ่อนแอพวกนั้น หากกล้าเข้ามาในหุบเขาข้าจะถลกหนังมาปูเป็นพรมเช็ดเท้า นำหัวพวกมันมาประดับเอาไว้ที่ผนังพวกเจ้าว่าดีหรือไม่"จบคำเสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้น ทั้งหมดราวห้าสิบคนดื่มกินกันอย่างมีความสุข ด้วยพึ่งปล้นสะดมกลับมาสำเร็จ "ท่านเสนาลู่ท่านเป็นอะไรหรือไม่"ขุนพลฉั่วถาม "อยู่ๆข้าก็รู้สึกหนาวสะท้านบอกไม่ถูก" "หรือท่านพึ่งเดินทางไกลครั้งแรกจึงอ่อนแอถ้าอย่างนั้นก็นอนพักก่อนเถอะ ข้าจะเฝ้าเวรยามรอบที่พักเอง" "ขอบใจท่านมากท่านขุนพล"ลู่ฟ่านเสวียนหูแว่วถึงกับได้ยินเสียงหัวเราะของชายนิรนามดังเข้ามาในโสตประสาทของตนเองจนใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว

นิยายจีนโบราณนักวรยุทธพระเอกเก่งจีนโบราณ

บทที่ 1

"อย่าฆ่าพวกเราเลย พวกเจ้าได้ทรัพย์สินไปจนหมดแล้วปล่อยพวกเราไปเถอะ"เสียงแหบพร่าสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัวและหวั่นเกรงระงมไปทั่ว ขุนนางเฒ่าต่างต้องมานั่งกองกระจุกรวมกันบนพื้นหญ้า มองกองโจรในชุดสีดำนับสิบทยอยกันแบกขนข้าวของเงินทองและผ้าไหมมีค่ามากมายขึ้นบนหลังม้าตัวใหญ่ คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากองโจรนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำมันปลาบสะท้อนกับแสงจันทราที่ส่องประกายลงมาจนเห็นเป็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจน ใบหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าคาดสีดำเช่นกัน ทำให้แลเห็นได้เพียงดวงตาสีดำคมเข้ม ทว่าเพียงแค่เห็นเพียงดวงตาก็พอจะเดาได้ว่าคนผู้นี้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายยิ่ง อีกทั้งน้ำเสียงยามเปล่งเสียงออกมาฟังดูห้าวหาญและมีพลังยิ่งนัก

"จับพวกเขาเปลื้องผ้าออกให้หมด และนำชุดเหล่านั้นกลับไปด้วย"สิ้นคำ เหล่าผู้คนกรูเข้าไปจับชายทั้งหนุ่มแก่แก้ผ้าออกจนเหลือเพียงกางเกงชั้นในสีขาว ขุนนางบางคนกางเกงกลับเป็นดอกไม้สีสดใสเป็นที่ขบขันกับเหล่ากองโจรชุดดำ เสียงหัวเราะขบขันดังก้องไปทั่วทั้งป่า กระทั่งผู้เป็นหัวหน้ากองโจรยกมือห้ามเสียงหัวเราะจึงเงียบลงราวกับไม่มีผู้ใดเอ่ยปากมาก่อน

"พวกเราไป!! ย่าห์ ฮ่าห์"เสียงกระตุ้นเตือนให้ม้าวิ่งพร้อมกับจบคำสั่ง เหล่าบรรดาผู้คนนับสิบก็กลืนหายไปกับความมืดมิดแห่งรัตติกาล ทิ้งให้ขุนนางทั้งหลายที่ถูกจับแก้ผ้าซุกตัวเข้าหากัน ทั้งอับอายทั้งโกรธเกรี้ยว ข้างหน้ามีเพียงอาหารและน้ำดื่มในกระบอกไม้ไผ่เหลือทิ้งไว้ให้เพียงพอกับกลุ่มคนนี้เล็กน้อยเท่านั้น

"เจ้าพวกทหารขี้ขลาด เจ้าปล่อยให้พวกโจรป่าเถื่อนปล้นสะดมพวกเราได้อย่างไร"ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่ง ลุกขึ้นใช้ขาเหี่ยวหยาบถีบถองเข้ากับกองทหารที่นั่งงอขาปกปิดความเปล่าเปลือยของตัวเองเอาไว้

"โธ่ท่านนายอำเภอ ท่านไม่รู้หรืออย่างไรว่าผู้ที่ปล้นพวกเราเป็นใคร"

"มันเป็นใครก็ไม่สำคัญ แต่มันกล้าเอาของที่จะถวายองค์ฮ่องเต้ไปย่อมมีความผิด"นายอำเภอหลับหูหลับตาเถียง ของล้ำค่านั่นเขาจงใจจะนำไปถวายพระพร เนื่องในการประสูติพระโอรสของพระสนม แล้วนี่ยังไม่พอทรัพย์สินมีค่าล้วนถูกเอาไปด้วยให้คิดแล้วเจ็บใจยิ่งนัก

"ต่อให้มันเป็นมหาโจร ข้าก็จะเอาผิดมันจนได้"เหล่าทหารต่างส่ายหน้าไปมา เพราะขุนนางผู้นี้กลับไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ของโจรที่มาปล้นสะดมเอาเสียเลย หัวหน้ากองทหารจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ

"โจรที่ท่านนายอำเภอกล่าวถึง คือจวิ้นจื่อหลง ฉายาจอมโจรไร้ใจ คนผู้นี้จิตใจเหี้ยมโหดยิ่งนัก ฆ่าไม่ปรานีไม่มียกเว้นเห็นแก่หน้าผู้ใด พวกเรายังโชคดีนักที่เขายั้งชีวิตไว้ให้ มิเช่นนั้นพวกเราคงได้ไปเยี่ยมชมแม่น้ำไน่เหอเพื่อเจอยายเมิ่งไปนานแล้ว"

"เจ้าพวกอ่อนแอเลี้ยงเสียข้าวสุก แค่จอมโจรกลุ่มเดียวยังสู้ไม่ได้ แล้วเช่นนี้จะไปอาจหาญต่อกรกับศัตรูที่เข้ามารุกรานเอกราชได้อย่างไร"นายอำเภอโกรธเกรี้ยวเมื่อได้ยิน ในใจแค้นเคืองถึงขั้นจะส่งฎีกาถวายไปยังเบื้องบน เหล่าทหารได้แต่ปิดปากเงียบไม่เถียงให้เปลืองน้ำลายอีกต่อไป

"เอาของเข้าไปเก็บในห้องลับ พรุ่งนี้เรียกพี่น้องมารวมตัวกัน ข้าจะแบ่งทรัพย์สินให้ ส่วนที่เหลือจะนำไปยังเหลียนอู่ ยามนี้เกิดภัยแล้งพี่น้องล้วนอดอยาก คืนนี้ให้แยกย้ายกันพักผ่อนเสียก่อน ปู้เฉินเจ้าดูแลให้ดี ข้าจะเข้าไปพักผ่อน"จวิ้นจื่อหลงบอกคนสนิทของตนที่ยืนอยู่ด้านข้าง

"ขอรับนายท่าน"ปู้เฉินประสานมือแล้วรีบเดินเข้าไปคุมคนให้เคลื่อนย้ายทรัพย์สินเข้าเก็บในคลังลับ ส่วนตัวของจื่อหลงแยกออกไปยังบ้านหลังเล็กทีjซ่อนอยู่ในซอกหลืบของหุบเขา หากมองจากตรงนี้ยากที่จะพบเห็นมันโดยง่าย จื่อหลงถอนหายใจก่อนจะวางไหเหล้าลงบนโต๊ะ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังพิงลงไปโดยแรง แหงนเงยศีรษะไปด้านหลังหลับตานิ่งหูฟังเสียงรอบทิศชั่วครู่ด้วยเขานั้นวิทยายุทธล้ำยิ่งเป็นหนึ่งไม่รองใครจึงได้ยินเสียงรอบด้านภายในห้าลี้นี้เขาจะได้ยินชัดเจน ทันใดดวงตาคมเข้มดำสนิทดุจมหาสมุทรยามราตรีลืมขึ้นมามองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท

"ผู้ใด? ออกมา! "เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เพราะคนที่อยู่ด้านในหาได้มีรังสีอำมหิตแต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นมิตรเช่นกัน"สิ้นคำเรือนร่างบอบบางเดินนวยนาดออกมาจากด้านหลังประตู ใบหน้าเรียกได้ว่างดงามเหนือผู้ใดยิ้มกริ่มออกมา

"เจ้ามาได้อย่างไร อวี้หนี่"จื่อหลงเอนหลังทิ้งตัวลงพิงพนักอีกครั้ง ท่าทีผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด

"เหตุใดจื่อซยงถึงทักทายญาติผู้น้องด้วยท่าทีหมางเมินเช่นนี้เล่า"นางเดินออกมาหยุดด้านหลังของจื่อหลง สองมือเรียวงามในชุดสีดำสนิทคล้องคอจากด้านหลังโอบมาถึงด้านหน้า จื่อหลงตัวแข็งเกร็งเล็กน้อยแต่ไม่สะบัดตัวหนี ใบหน้าที่ยังอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำแข็งกระด้างจนกลายเป็นเย็นชา ก่อนจะค่อยๆเอนตัวเองกลับมานั่งหลังตรงช้าๆ เพื่อมิให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง มือใหญ่หยาบค่อยปลดสองแขนเรียวออกช้าๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ศิษย์น้องอย่าทำเช่นนี้จะดีกว่า เจ้าหาใช่สตรีตัวคนเดียวอีกแล้ว สามีเจ้าจะเข้าใจผิดได้หากมาเห็นเช่นนี้เข้า"

"เฮ๊อะ! สามีงั้นหรือ จื่อซยงเองก็ย่อมรู้แก่ใจว่าข้ารักชอบผู้ใดกันแน่ นั่นเป็นเพราะบิดาข้าจัดแจงให้ต่างหากเล่า"นางเม้มปากดวงตาคู่เรียวเริ่มแดงคลอด้วยเกล็ดน้ำตาพร่างราวกับหยาดพิรุณ

"อย่าเอ่ยเช่นนี้น่า อย่างไรเสียเจ้าก็แต่งให้ศิษย์น้องรองแล้วยากที่จะเปลี่ยนแปลง"

"ถ้าท่านเอ่ยปากกับบิดามีหรือท่านจะยกข้าให้กับศิษย์พี่รอง"นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสะเทือนในความรู้สึกยิ่ง

"เหลวไหล! ข้ารักเจ้าดุจดั่งพี่น้องคลานตามกันมา เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย ในเมื่อเรื่องล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้วจะพูดขึ้นมาก็คงหาประโยชน์อันใดไม่"จื่อหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงเมื่อเห็นศิษย์น้องของเขาใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายร่ำไห้เต็มที

"ท่านใจแข็งเหลือเกินจวิ้นจื่อซยง เอาเถอะในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ข้าก็ต้องเป็นเช่นนี้"นางสูดลมเข้าปอดกลั้นสะอื้น ยืดตัวตรงก่อนจะล้วงกระดาษแผ่นเล็กออกมาส่งให้

"นี่เป็นจดหมายจากท่านพ่อถึงจวิ้นจื่อซยงโดยตรง เนื้อหาด้านในมิมีผู้ใดล่วงรู้"เขารับจดหมายมาแล้วเปิดอ่าน ดวงตาที่อยู่ในผ้าคลุมสีดำเปลี่ยนสีชั่วแวบก่อนจะกลับมาเป็นปรกติ

"ท่านอาจารย์ได้เอ่ยคำใดอีกหรือไม่"

"ระวังตัว ท่านพ่อพูดเพียงแค่นี้"

"ขอบใจเจ้ามาก รอให้ฟ้าสางเจ้าก็เดินทางกลับเถอะ"เขาเอ่ยช้าๆ ปลดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย เรือนร่างสูงใหญ่ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เอ่ยปากขึ้นทันที

"ปู้เฉินนำน้ำชามาให้คุณหนู"เสียงฝีเท้านับว่ายังไกลจากเรือนพัก แต่ทว่าจื่อหลงนั้นกลับได้ยินชัดเจน ไม่นานปู้เฉินก็เปิดประตูเข้ามาประสานมือคารวะอวี้หนี่

"คุณหนูรอง"ปู้เฉินเดินลับหลังฉากพับไปชั่วครู่ก็กลับออกมาด้วยถาดชาควันกรุ่น

"พวกท่านไม่มีสาวใช้หรอกหรือ"

"เอามาทำไมที่นี่หาใช่จะสุขสบาย เหตุใดต้องให้ผู้อื่นมาลำบากด้วยเล่า"จื่อหลงหยิบป้านชามารินลงจอกแล้วส่งให้นาง ก่อนที่จะรินให้ตัวเอง

"แต่ท่านก็เสียสละมาเป็นขุนโจรให้ผู้คนตามล่า"นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออีกครั้ง

"ข้าเต็มใจ เอาล่ะฟ้าสางแล้ว ปู้เฉินเจ้าไปส่งคุณหนูรองกลับเถอะแล้วรีบมา"ปู้เฉินประสานมือแล้วผายออกโดยไม่เอ่ยปาก

"เชิญ"สองร่างเดินออกไปแล้วจื่อหลงก็ทิ้งตัวลงเอนหลังอีกครั้ง หวนนึกถึงเรื่องกาลก่อนเขาเป็นถึงลูกของเสนาบดีฝ่ายขวาของอดีตฮ่องเต้ ด้วยถูกปรักปรำว่าร่วมมือก่อกบฏจึงถูกจับประหารทั้งตระกูล ยังโชคดีที่เขาออกมาร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ฉงบิดาของอวี้หนี่จึงรอดจากการประหารนั่น ทว่าครอบครัวของเขาล้มหายตายจาก ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงเปลี่ยนชื่อแซ่ให้ ด้วยความที่มีชื่อเสียงโด่งดังจารย์ของเขาจึงถูกเรียกตัวเข้าราชสำนัก ให้ไปเป็นพระอาจารย์กับองค์รัชทายาท เขาถอนใจอีกครั้ง การที่อาจารย์ส่งจดหมายมาให้นั่นแปลว่าเหตุการณ์มิใคร่จะดีเท่าใดนัก หลังจากการปล้นครั้งนี้เขาคงต้องหยุดมือชั่วคราวเสียแล้ว เขายกไหสุราขึ้นสูงเทลงปากช้าๆ ดวงตาคมมีแววครุ่นคิดถึงแผนการล่วงหน้า เนิ่นนานเท่าใดหารู้ไม่ปู้เฉินกลับมายืนอยู่ใกล้ๆ เสียแล้ว

"เจ้ามาแล้ว"

"ขอรับมาแล้ว"

"ไปกันเถอะหลังจากแบ่งทรัพย์สินแล้วพวกเราจะปิดหุบเขาชั่วคราว"

"เรื่องร้ายแรงหรือขอรับ"

"อืม มีคำเตือนมาถึง"ปู้เฉินได้ยินก็ให้ขุ่นเคือง

"พวกเขาล้วนเสพสุขมีหน้าตาในสังคม แต่กลับผลักท่านตกเหวนรกเหตุใดท่านจึงต้องยินยอม"ปู้เฉินติดตามจื่อหลงมาตั้งแต่เยาว์วัย หลังจากต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อหลบหนีคดี จนได้เจอจื่อหลงและติดตามเป็นคนสนิทมาจนถึงทุกวันนี้

"ช่างเถอะดีเสียอีกที่เป็นเช่นนี้ นักโทษหนีคดีอย่างข้าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้อีกเล่า"

"แต่ท่านถูกปรักปรำ ตระกูลของท่านหาใช่โจรกบฏไม่"

"แล้วเช่นไรเล่าเรื่องถึงขั้นนี้จะให้อธิบายอะไรได้อีก ช่างเถอะ ช่างเถอะ เจ้าไปเตรียมตัว ก่อนพวกเราจะเดินทางไปเหลียนอู่ทุกอย่างที่นี่ต้องร้างผู้คน ปู้เฉินถอนหายใจก่อนจะประสานมือแล้วเดินจากไป จื่อหลงเดินตามหลังช้าๆ ในมือยังไม่ทิ้งไหสุราเช่นเดิม

"พวกเจ้าจงฟัง หุบเขานี้จะปิดตัวชั่วคราว ทางการให้ราชสำนักส่งกองปราบมาจัดการพวกเราแล้ว หลังจากแบ่งทรัพย์สินขอให้พวกเจ้าเข้าไปปะปนกับผู้คน โรงเตี้ยม กิจการร้านอาหาร และร้านขายยาก็ให้เข้าไปทำเป็นปรกติ การข่าวอย่าให้ขาด ข้าจะขยายสาขาไปยังหัวเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้น เอาล่ะแยกย้ายได้ ขอให้พี่น้องข้าระวังตัวด้วย"

"ขอรับ!! "หลายเสียงประสานกันตอบรับแล้วเดินเข้าไปรับห่อผ้าขนาดพอมือจากปู้เฉินแล้วจากไปจนหมดสิ้น เพียงไม่นานที่นี่ก็เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น

"ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือไม่"

"ขอรับ เราจะเดินทางไปเหลียนอู่เลยหรือไม่ขอรับ"

"ยังก่อน ข้าจะไปเยี่ยมพวกเขาก่อนแล้วค่อยไป"พวกเขาที่กล่าวถึงคือเนินเขากว้าง แผ่นดินนูนขึ้นเป็นคลื่นกระจายไปทั่ว ด้านหน้าเป็นทะเลกว้างใหญ่ติดกับหน้าผาชันด้านหลังคือภูเขาแข็งแกร่ง

"ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องรอง เหล่าพี่น้องทั้งหลาย ข้าเหวินหลงคนอกตัญญู มาเยี่ยมเยือนพวกท่านแล้ว วันหนึ่งข้าจะนำแผ่นป้ายชื่อพวกท่านมาปักเอาไว้ข้าขอสัญญา ยามนี้พวกท่านหลับใหลเช่นนี้ไปก่อนเถิด"เขารินเหล้าในไหใบใหม่ลงบนพื้นหญ้าต่อหน้าหลุมศพบิดามารดาและน้องชายของเขา ดวงตาแดงก่ำด้วยความเศร้าโศก ยังโชคดีที่มีคนภักดีต่อตระกูลเขานำศพของทุกคนซ่อนเอาไว้หลังจากถูกปั่นศีรษะ มิเช่นนั้นแม้แต่หลุมศพก็คงมิอาจจะสร้างขึ้นได้

"ไปเถอะขอรับนี่สายมากแล้ว"ปู้เฉินตาแดงไม่ต่างกัน ได้แต่ตัดใจบอกให้เขาจากมา