ตอนที่หนึ่ง เหตุแห่งหายนะ
อาณาจักรเวียงเชียงรุ้งกาลปัจจุบัน
อาณาจักรเวียงเชียงรุ้ง พุทธศักราช ๑๙๘๔
ณ ตำหนักแสงคำแห่งเจ้าฟ้าอินทรชิต เจ้าหลวงแสนสุริยะทรงยืนทอดพระเนตรหมอหลวงที่ตรวจรักษาพระอาการของพระโอรสผู้เป็นดั่งดวงหทัยด้วยความทุกข์โทมนัส เมื่อร่างที่เคยสูงใหญ่สง่าผ่าเผยบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ลมหายใจรวยระรินราวกับจะยุติได้ทุกขณะกษัตริย์แห่งเวียงเชียงรุ้งผู้ทรงเตรียมจะสละราชบัลลังก์ให้องค์รัชทายาทมีแววระทมทุกข์ฉายชัดผ่านแววพระเนตรเหตุเพราะอับจนหนทางที่จะให้องค์รัชทายาทที่เหลืออยู่เพียงพระองค์เดียวของเวียงเชียงรุ้งฟื้นขึ้นมาก่อนจะถึงฤกษ์สถาปนากษัตริย์องค์ใหม่ในอีกไม่กี่วัน
อีกทั้งยังทรงตระหนักว่าไพร่ฟ้าประชาชนที่ต่างตั้งตาคอยพิธีเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ในวาระแห่งการผลัดแผ่นดินนั้นจะรู้สึกเช่นไรหากได้ล่วงรู้ว่าเจ้าฟ้าผู้ทรงเพียบพร้อมนั้นหาได้มีกำลังวังชาจะลุกขึ้นมาโอภาปราศรัยกับผู้ใดได้ดังเก่าก่อนไม่ ขวัญและกำลังใจที่ลดถอยนับแต่บ้านเมืองเกิดความแห้งแล้งนานถึงสี่ปีนั้นคงจะยิ่งลดทอนเหือดหายดังสายน้ำที่เคยแห้งขอดจากเรือกสวนไร่นาหากพวกเขาเหล่านั้นรับรู้พระอาการขององค์เจ้าฟ้าผู้เป็นดั่งดวงใจของประชาราษฎร์ องค์เจ้าฟ้าอินทรชิตเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นความหวังแห่งการเปลี่ยนดวงชะตาเมืองที่เกิดอาเพศมานานปีให้กลับมาเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองดั่งทองคำดังเช่นอดีตดังที่โหรหลวงทำนายทายทัก หากแต่ความหวังนั้นกำลังจะมอดไหม้จนมืดมิดเหมือนเทียนที่กำลังใกล้ดับโดยที่พระราชบิดาผู้ให้กำเนิดช่วยเหลืออย่างใดมิได้เลย ทั้งที่เหตุที่เกิดขึ้นทั้งปวงล้วนสืบเนื่องมาจากองค์เจ้าหลวงแสนสุริยะเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เจ้าหลวงแสนสุริยะที่ทรงเคยทะนงตนว่าเหนือกว่าผู้ใด ทรงทอดถอนพระทัยด้วยความเหนื่อยหนัก ฤาว่าชะตาเมืองนั้นจะขาดสิ้นเหมือนลมหายใจที่รวยระรินรอวันดับขององค์โอรสหนอ หมอหลวงที่มีชื่อเสียงที่ถูกกล่าวขวัญกันว่าไม่มีผู้ใดมีฝีมือเทียบเทียมคนแล้วคนเล่าก็ยังไม่สามารถรักษาได้โอสถที่ว่าดีที่สุดจากทั่วทุกสารทิศไม่แม้แต่จะทำให้พระอาการขององค์เจ้าฟ้าชายกระเตื้องขึ้นเลยสักเล็กน้อย
“ยังไม่ดีขึ้นเลยพระเจ้าค่ะ” หมอหลวงจับชีพจรที่เต้นอ่อนแรงแล้วส่ายหน้า โอสถที่ถูกนำมาจากแดนไกลอย่างลับๆ สูตรที่ว่าแม้คนที่กำลังจะมรณะยังกลายเป็นอมตะ หากแต่เมื่อถวายแด่องค์เจ้าฟ้าแล้วพระอาการกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้เพียงนิด คนที่ถวายการรักษานั้นแสนจะจนใจ ทั้งเกรงจะถูกองค์ราชาผู้เด็ดเดี่ยวสั่งบั่นคอด้วยไม่สามารถถวายการรักษาพระโอรสได้ ทั้งเกรงว่าจะรั้งชีพของความหวังแห่งไพร่ฟ้าที่จะมาเปลี่ยนชะตาเมืองไม่ได้ งานถวายการรักษาครั้งนี้ถือเป็นงานที่แสนหนักหนาสาหัสอย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อนเลยในชีวิต หากแต่หมอหลวงกลับมิได้เห็นความพิโรธโกรธเกรี้ยวขององค์ราชาอย่างที่หวั่น นับว่าเป็นโชคดีที่ตนนั้นจะรอดชีวิตกลับไปพบเจอหน้าลูกเมียอีกหนึ่งวันแต่อนาคตนั้นไม่อาจรู้ หากพระอาการขององค์โอรสไม่กระเตื้อง แม้นจะจงรักภักดีเพียงใด เขาอาจจะถูกบั่นคอได้โดยง่ายดาย
“นี่เป็นโอสถถ้วยสุดท้ายจากกัมลานครแล้วหรือ” องค์ราชาตรัสถามหมอหลวง
“พระเจ้าค่ะ” หมอหลวงกราบทูล ดวงพระเนตรของเจ้าหลวงแสนสุริยะหมองลง หากแม้นว่ายาวิเศษแสนหายากจากเมืองมิตรนั้นได้ใช้จนหมดแล้วอาการของเจ้าฟ้าอินทรชิตก็ยังมิเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็มิต่างจากเป็นสัญญาณบอกแก่พระองค์ว่าหนทางรักษานั้นมืดมิดเสียแล้ว
“เจ้าออกไปก่อนเถิด”
เจ้าหลวงแสนสุริยะทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์ของพระโอรสอย่างแผ่วเบาราวกับจะส่งสัมผัสแห่งคำขอโทษที่มิอาจคืนวาจาที่เคยลั่นเอาไว้ได้ เพราะความเป็นกษัตริย์ขัตติยะเมื่อตรัสแล้วย่อมคืนคำมิได้ หากต้องให้พระองค์ทรงฝืนกลืนถ้อยคำที่เคยได้ออกโอษฐ์ไป พระองค์ทรงขอเลือกทำลายชีวิตของพระองค์เองเสียดีกว่า แม้ว่าวาจาที่ลั่นไปในครั้งนั้นจะเป็นสาเหตุให้เจ้าฟ้าอินทรชิตต้องทรงล้มป่วยลงอย่างไร้สาเหตุ และการตัดสินใจอย่างดื้อรั้นทะนงตน ไม่ฟังคำทัดทานของผู้ใดยังทำให้บ้านเมืองระส่ำระสายเกิดอาเพศมานานเกือบครึ่งทศวรรษ การตัดสินพระทัยของพระองค์นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอันเลวร้ายทำให้พระองค์ต้องทรงร้อนพระทัยตลอดมา ดวงพระเนตรที่ฝ้าฟางไปตามวัยทอดพระเนตรออกไปไกล เหตุแห่งหายนะในวันวานได้แทรกเข้ามาในมโนสำนึกของพระองค์ ภาพในวันนั้นยังคงแจ่มชัดทำให้รวดร้าวพระทัยอยู่เสมอ
