ตอนที่หนึ่ง เหตุแห่งหายนะ 2
อาณาจักรเวียงเชียงรุ้งเมื่อ ๒๕ ปีก่อน
อาณาจักรเวียงเชียงรุ้ง พุทธศักราช ๑๙๖๐
ก่อนให้กำเนิดทายาทแห่งเวียงเชียงรุ้งเจ้านางสร้อยสุดาจันทร์พระชายาทรงขอร้องให้เจ้าหลวงแสนสุริยะพาพระนางไปถวายเครื่องเซ่นไหว้แก่ผีบ้านผีเมืองที่ผาผีคุ้ม และเสาหลักเมืองอินทขีลเพื่อขอพระโอรส และหลังจากที่เจ้านางทรงมีพระประสูติกาลได้พระโอรสฝาแฝดคือเจ้าชายสุริยวงษ์และเจ้าชายอินทรชิตตามที่ได้บนบานไว้แล้วนั้นเมื่อพระนางทรงมีพระวรกายแข็งแรงแล้วก็ทรงปรารถนาที่จะเสด็จแก้บนในตอนแรกเจ้าหลวงแสนสุริยะไม่ทรงเห็นด้วยเพราะพระโอรสน้อยอินทรชิตยังไม่ทรงแข็งแรง หมอหลวงยังต้องถวายการรักษาอยู่ หากแต่เจ้านางสร้อยสุดาจันทร์นั้นทรงดื้อดึง และทรงมั่นพระทัยว่าอาการที่เจ้าชายอินทรชิตมีพระอาการประชวร เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะแต่แรกคลอดนั้นเป็นเพราะพระนางยังไม่ทรงแก้บน เจ้าหลวงแสนสุริยะทรงจนใจจะค้านจึงตามพระทัยองค์ชายาจัดขบวนยิ่งใหญ่เพื่อไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแห่งในคราเดียว แม้นว่าเสาอินทขีลและผาผีคุ้มนั้นจะอยู่กันคนละฝากฝั่งของเมือง
หลังจากเสร็จสิ้นการสักการะเสาหลักเมืองอินทขีลที่นับถือกราบไหว้กันมาแต่บรรพบุรุษ ขบวนรถม้าของเจ้าหลวงแสนสุริยะพลันมุ่งหน้าต่อไปยังผาผีคุ้มอันเป็นที่สถิตของผีบ้านผีเมืองที่ประชาชนนับถือ ใช้เวลาเดินทางล่วงสามวันขบวนเสด็จจึงไปถึงผาผีคุ้ม เมื่อเจ้านางสร้อยสุดาจันทร์ได้สักการะผาผีคุ้มดั่งที่ได้บนบานไว้ องค์ชายน้อยอินทรชิตก็ทรงหายจากพระอาการประชวรอย่างน่าประหลาดในฉับพลัน
เจ้าหลวงแสนสุริยะรับสั่งให้ทหารจัดสร้างพลับพลาริมแม่น้ำระมิงค์(แม่น้ำปิงในปัจจุบัน)เพื่อแปรพระราชฐานเป็นการชั่วคราวด้วยทรงเกรงว่าพระชายาและพระโอรสทั้งสองจะทนความยากลำบากในการเดินทางเป็นเวลานานไม่ไหวและทรงประสงค์ให้พระชายาได้พักผ่อนหย่อนใจนอกกำแพงวังบ้างหลังจากไม่ได้เสด็จประพาสต้นมาแรมปี ประกอบกับความเชื่อมั่นว่าผาผีคุ้มที่พระองค์และประชาชนเคารพสักการะนั้นจักช่วยปกป้องคุ้มภัยพระองค์จากภยันตรายทั้งปวง พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะอยู่นอกเขตกำแพงเมืองอันปลอดภัย
เจ้าหลวงแสนสุริยะทรงตระหนักดีว่าตำแหน่งผู้ปกครองเวียงเชียงรุ้ง เมืองที่เปรียบเสมือนทองคำแห่งล้านนาเหนือนั้นทำให้พระองค์ถูกปองร้ายอยู่ตลอดเวลา รัฐภายใต้การปกครองทั้งหลายล้วนอยากเป็นอิสระ อาณาจักรข้างเคียงล้วนอยากครอบครองอาณาจักรเวียงเชียงรุ้งของพระองค์เหลือแสน ว่ากันว่าเวียงเชียงรุ้งนั้นเป็นที่ปรารถนาของเจ้าเมืองทุกพระองค์ หากแต่ไม่เคยมีผู้ใดสามารถมีชัยชนะเหนือทัพของเจ้าหลวงแสนสุริยะแห่งเวียงเชียงรุ้งได้เลย เพราะเจ้าหลวงแสนสุริยะนั้นทรงมีพระปรีชาสามารถล้นเหลือ และมีวาสนาสูงส่ง อีกทั้งยังมีดวงเมืองช่วยค้ำจุนให้พระองค์ยิ่งทรงเรืองอำนาจด้วยบรรพบุรุษของพระองค์ทรงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทำพิธีเซ่นไหว้ผีบ้านผีเมืองอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนแปดของทุกปี ทำให้ดวงเมืองแข็งแกร่ง ผีบ้านผีเมืองคุ้มครองลูกหลานแห่งเวียงเชียงรุ้งให้สุขสงบเรื่อยมา และเมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา พระองค์ก็ทรงมีเจ้านางสร้อยสุดาจันทร์ พระชายาที่ทรงคอยดูแลเรื่องพระราชพิธี พระนางทรงยึดถือขนบธรรมเนียมตามวิถีแห่งศรัทธาที่ปฏิบัติกันเรื่อยมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง บ้านเมืองจึงเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นสืบมา
พลับพลาที่ประทับของเจ้าหลวงแสนสุริยะถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงามในไม่กี่เพลา แม้นว่าข้าราชบริพารจะพยายามทัดทานขอให้พระองค์เร่งเสด็จกลับเข้าวังหลวงเพราะเกรงว่าพระองค์จะถูกลอบปลงพระชนม์ตามข่าวลับที่ได้มาว่ารัฐจักรคำกำลังคิดการใหญ่โดยจะยุติการส่งเครื่องราชบรรณาการให้เวียงเชียงรุ้งแล้วหันไปฝักใฝ่เมืองรามัญแทน ตอนนี้เจ้าหลวงจักรคำผู้มักใหญ่ใฝ่สูงอาจจะทรงกำลังคิดลอบทำร้ายเจ้าหลวงแสนสุริยะอยู่ เหล่าข้าราชบริพารผู้ภักดีจึงอยากให้พระองค์ทรงระแวดระวังภัยที่อาจจะมาถึงโดยมิได้คาดหมาย หากเจ้าหลวงแสนสุริยะกลับตรัสกับผู้ติดตามทั้งหลายว่า
“อย่าห่วงเราให้มากนัก อันเวียงเชียงรุ้งนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผีแผนปกปักมิเคยห่าง อันตรายคงมิมาเยือนข้าได้โดยง่ายเยี่ยงที่พวกเจ้ากลัวหรอก”
ด้วยความเชื่อมั่นนี้ทำให้พระองค์ทรงแปรพระราชฐานยาวนานถึงหนึ่งเดือน ประชาชนที่รู้ข่าวว่าเจ้าหลวงแสนสุริยะเสด็จประพาสต้น ณ ริมแม่น้ำระมิงค์ต่างมาขอเข้าเฝ้าฯ และนำข้าวของมาถวายแด่พระองค์ จนเป็นที่รู้กันไปทั่วว่าพระองค์ทรงไม่ได้ประทับอยู่ในวังหลวงเมื่อข้าราชบริพารรบเร้าหนักเข้าให้พระองค์เสด็จกลับวังเสียที เจ้าหลวงแสนสุริยะจึงทรงเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่พระองค์จะทรงกลับไปปฏิบัติราชกิจ
เพลาบ่ายในวันเสด็จกลับเจ้าหลวงแสนสุริยะทรงสำราญพระราชอิริยาบถอยู่ที่ริมน้ำระมิงค์ แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลทอดยาวจากเขาเชียงดาวมีเจ้านางสร้อยสุดาจันทร์และนางกำนัลอุ้มพระโอรสน้อยทั้งสองตามเสด็จ แม้นจะเป็นเพลาบ่ายแต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มลงราวจะบอกเหตุร้ายแต่พระองค์ไม่ทรงตระหนักถึงลางนั้น ทรงยืนทอดพระเนตรมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยหล่อเลี้ยงเวียงเชียงรุ้งอย่างสำนึกบุญคุณแห่งพระแม่คงคาที่ให้น้ำกินน้ำใช้ไม่เคยขาดสาย เมื่อทอดพระเนตรสูงขึ้นไปก็ทรงเห็นผาผีคุ้มเด่นตระหง่าน เป็นเครื่องบ่งบอกว่าจักอยู่ปกปักษ์ลูกหลานแห่งเวียงเชียงรุ้งตลอดกาล
“สร้อยสุดาจันทร์ เจ้ามิขัดข้องใช่ไหมหากพี่จักสั่งให้กลับวังหลวง”องค์เจ้าหลวงทรงถามอย่างใส่พระทัยพระชายา
“หามิได้เพคะ ท่านพี่ เพียงท่านพี่ทรงพาน้องมาท่องเที่ยวด้วยก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วเพคะ หากจักเสด็จกลับเมื่อยามใดก็แล้วแต่พระทัยพระองค์เถิด”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พี่แค่เกรงว่าเจ้าจักยังไม่อยากกลับเท่านั้น”
“แม้นจักเป็นเช่นนั้นจริง หากเป็นพระประสงค์ของเสด็จพี่ น้องก็คงต้องยอมกลับเพคะ” เจ้านางแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยให้กับพระสวามี
เจ้านางสร้อยสุดาจันทร์ทรงรู้สึกผูกพันกับสายน้ำแห่งนี้มาก เมื่อครั้งเก่าก่อนพระสวามีของพระองค์ทรงเคยพาเสด็จแปรพระราชฐานที่ริมน้ำระมิงค์อยู่เป็นเนืองนิจ หากแต่ครานี้ที่หัวเมืองรายรอบเวียงเชียงรุ้งระส่ำระสาย รัฐน้อยใหญ่ล้วนต้องการขยายอำนาจปกครองเพื่อสร้างความมั่งคั่ง เวียงเชียงรุ้งที่สงบสุขและอุดมสมบูรณ์มานานก็เป็นสุดยอดปรารถนาของรามัญและเมืองอื่น เจ้าหลวงแสนสุริยะจึงต้องทรงระแวดระวังภัยมากขึ้น และออกจากกำแพงวังให้น้อยที่สุด
เมื่อทรงมีองค์โอรสน้อยที่นับวันจักเติบใหญ่ให้เป็นบ่วงแห่งความห่วงคล้องดวงพระทัยถึงสองดวง เจ้าหลวงแสนสุริยะก็ทรงตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพียงแค่เจ้านางทรงอยากออกมาสักการะเสาอินทขีล มาเซ่นไหว้ผาผีคุ้มริมน้ำระมิงค์ยังต้องทรงอ้อนวอนขออย่างแสนลำบาก หากพระสวามีไม่ทรงเกรงว่าจะเป็นการผิดผีเจ้า เจ้านางคงไม่ทรงมีโอกาสได้ออกมาแปรพระราชฐานง่ายๆ สงครามและความโลภของผู้คน สร้างความลำบากให้ชีวิตอันแสนสงบในเวียงเชียงรุ้งของเจ้านางเหลือเกิน เมื่อใดกันหนอจักถึงคราวสิ้นสุด
เจ้าหลวงแสนสุริยะทรงพิศพระพักตร์ของพระชายาแล้วก็ทรงรู้สึกเห็นพระทัยเจ้านางยิ่งนัก เจ้านางสร้อยสุดาจันทร์นั้นโปรดที่จะแปรพระราชฐานและออกประพาสป่าเป็นครั้งคราว หากแต่สถานการณ์เยี่ยงนี้สร้างความอึดอัดพระทัยให้เจ้านางไม่ใช่น้อยแต่เพื่อความปลอดภัยของคนที่พระองค์ทรงรัก และหน้าที่ที่จักต้องปกป้องบ้านเมืองให้ปลอดภัย เจ้าหลวงแสนสุริยะจึงต้องเลือกกิจเมืองมาเป็นหนึ่ง และกิจแห่งตนมาเป็นรอง แต่กระนั้นก็ยังอดเห็นพระทัยเจ้านางไม่ได้ พระองค์เองทรงมีศึกคุกคาม เจ้าหลวงมังนียอแห่งจักรคำเมืองประเทศราชกำลังสมคบคิดกับเจ้าหลวงตุมคำแห่งเมืองรามัญเพื่อตีเวียงเชียงรุ้ง และวางแผนลอบปลงพระชนม์ จึงต้องทรงใคร่ครวญทุกอย่างให้ถ้วนถี่ขึ้น
