ตอนที่หนึ่ง เหตุแห่งหายนะ 5
ไม่นานนักทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับด้วยเกรงว่าเมื่อพระโอรสทั้งสองตื่นมาแล้วจะทรงกันแสงหาพระมารดา อีกทั้งท้องฟ้ายามนี้ก็มืดมัวอย่างผิดสังเกต แต่ยังมิทันที่ทั้งสองพระองค์จะเสด็จพ้นทุ่งดอกไม้ก็เกิดเหตุวิปลาสขึ้นคือมีฝนหลงฤดูเทลงมาห่าใหญ่รินรดคบเพลิงที่จุดทั้งหมด เหล่าองครักษ์ต่างวิ่งกันวุ่นเพื่อที่จะรีบนำเสด็จไปที่รถม้าให้เร็วที่สุด แต่ห่าฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงโดยมิได้มีเค้าฝน กอปรกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มทำให้เกิดการพลัดหลงกันขึ้นยิ่งข้าหลวงวิ่งกันเสียเท่าไรก็ยิ่งทำให้สับสนอลหม่านมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเสียงฟ้าร้องคำรามแข่งกับเสียงผู้คนจนฟังไม่ได้ศัพท์
“ทุกคนไม่ต้องห่วงเรา กลับไปที่รถม้าก่อน” พระสุรเสียงที่เคยก้องกังวานบัดนี้ผ่านไปได้ไม่เกินหลาเสียงข้าหลวงตะโกนแข่งเสียงฝนดังเซ็งแซ่ที่กลบพระสุรเสียงของพระองค์ไปเสียหมด มีเพียงข้าหลวงที่ยืนอยู่ใกล้บริเวณเท่านั้นที่ได้ยิน รวมทั้งหนานหลวงด้วย ราชองครักษ์วิ่งตามเสด็จเพื่ออารักขาอย่างร้อนใจ ทั้งห่วงว่าฝนนี้จะกลายเป็นพายุทำให้ยิ่งเดินทางลำบาก ทั้งห่วงว่าศัตรูจักใช้โอกาสนี้เข้าลอบทำร้ายขบวนเสด็จ พวกเขาจึงตามคุ้มครององค์เจ้าหลวงอย่างใกล้ชิด
แล้วสิ่งที่หนานหลวงกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น เมื่อแสงฟ้าผ่าสว่างวาบขึ้นเขาก็เห็นกลุ่มทหารชุดดำเคลื่อนไหวอยู่ข้างขบวนรถม้า และเหมือนว่าเจ้าหลวงแสนสุริยะก็ทอดพระเนตรเห็นเช่นกัน เมื่อมีแสงวาบขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นภาพที่เหล่าทหารของเวียงเชียงรุ้งกำลังต่อสู้กับศัตรูที่เข้าประชิดอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ข้าศึกบุก ระวังให้ดีพวกมันใส่ชุดดำพรางตัว” หนานหลวงตะเบ็งเสียงสุดชีวิต
“หนานหลวง นั่นเจ้ารึ” พระสุรเสียงที่ตรัสอยู่ไม่ห่างกันนักกับหนานหลวง
“พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าคุ้มครองเจ้านางไว้ให้หลบที่พุ่มไม้นี้ เราจะไปช่วยสุริยวงษ์กับอินทรชิต”
“มิได้พระเจ้าค่ะ กระหม่อมมิอาจให้พระองค์ทรงเสี่ยง กระหม่อมมิอาจล่วงรู้ว่าข้าศึกจักมาเท่าไร และฝนปีศาจนี่จักหยุดตอนไหน กระหม่อมจักไปนำพระโอรสทั้งสองเสด็จออกมาหาพระองค์เองพระเจ้าค่ะ” เขากราบทูลแข่งกับสายฝน
“ลูกข้า ข้าจะไปช่วยเอง”
“เจ้าพี่ โปรดช่วยลูกด้วยนะเพคะ” เสียงเจ้านางทรงสะอื้นไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ฝ่าบาทมิต้องทรงกังวลพระเจ้าค่ะ กระหม่อมและทหารจักไปคุ้มครองพระโอรสเอง ฝ่าบาททรงหลบที่พุ่มไม้นี่เถิดพระเจ้าค่ะ ข้าศึกจักมาทำร้ายพระองค์มิได้” เขานำเสด็จมาที่พุ่มไม้ขนาดใหญ่ที่มีหลุมดินลึกข้างใน แล้วรีบนำกำลังทหารบางส่วนไปคุ้มครององค์โอรสโดยมิฟังคำทัดทานใดๆ
“ข้าเป็นชายชาติทหารจักให้ข้าหลบข้าศึกอยู่ในหลุมได้เยี่ยงไร อีกทั้งลูกข้าก็อยู่กลางวงล้อมศัตรูเจ้าจักให้ข้านิ่งเฉยได้อย่างไร หนานหลวงเจ้ามันช่างน่าบั่นคอนัก”
“เขาคงเกรงว่าพระองค์จะทรงเป็นอันตราย” เจ้านางทรงแก้ต่างแทนหนานหลวงเสียเอง เพราะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
“เจ้าอยู่ตรงพุ่มไม้นี้ อย่าไปไหน ข้าจะไปช่วยลูกอีกแรง”
“เจ้าพี่” เจ้านางทรงคว้าแขนองค์เจ้าหลวงไว้ “ขอให้ผีฟ้าผีแถนจงคุ้มครองพระองค์และลูกของเรา”
“ใช่ เจ้าอย่าห่วงเลย ข้าขอเอาผาผีคุ้มและเสาอินทขีลเป็นเป็นพยาน หากข้าช่วยลูกไม่ได้ ข้าจะให้คนเลิกสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเสีย” เจ้านางทรงได้ยินก็แทบผวา ทรงรีบเอื้อมพระหัตถ์มาปิดพระโอษฐ์ของพระสวามีไว้
“อย่าตรัสเล่นเช่นนี้สิเพคะ ผีเมืองจักโกรธเคืองเอา”
“ข้าหาได้พูดเล่นไม่ ข้าจักเผาเสาอินทขีลทิ้งเสียหากลูกของข้าไม่ปลอดภัย” พระองค์ทรงประกาศกร้าวก่อนจะรับสั่งให้ทหารที่คุ้มครองอยู่สลับพระภูษากับพระองค์ เสร็จแล้วทรงวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ
เจ้านางทรงเฝ้ารอด้วยความกังวลพระทัย ทรงโทษพระองค์เองที่ทรงประสงค์จะเสด็จออกนอกวังหลวงทั้งที่รู้ว่าไม่ปลอดภัย พระนางได้แต่ทรงหวังว่าเหตุการณ์ร้ายๆ จักไม่เกิดขึ้น เวียงเชียงรุ้งจักไม่ต้องสูญเสียองค์เจ้าฟ้ามหากษัตริย์หรือแม้แต่พลทหารสักนาย มิเช่นนั้นพระนางคงจักทรงตายตามิหลับเพราะเหตุแห่งความสูญเสียนั้นเกิดจากพระองค์เอง
หนานหลวงต่อสู้กับทหารชุดดำ ทหารพวกนี้ฝีมืออยู่ในชั้นครู พวกศัตรูคงเตรียมการมาอย่างดี เขาเกรงเหลือเกินว่าทหารแห่งเวียงเชียงรุ้งที่ห่างสงครามมานานจะทัดทานพวกมันไว้ไม่ได้ เมื่อกำจัดคู่ต่อสู้ที่ขวางหน้าได้เขาก็มุ่งหน้าไปที่รถม้าที่พระโอรสประทับอยู่และมีทหารล้อมรอบมากกว่ารถม้าพระที่นั่งเสียอีกเขารู้ดีว่าพวกโจรต้องมุ่งหน้าไปทางนั้นเป็นแน่ เมื่อย้ายขบวนรถมาอยู่ใต้ร่มไม้ได้ คบเพลิงก็ถูกจุดให้ส่องสว่างอีกครั้งทำให้มองเห็นและต่อกรได้ถนัดขึ้น
“ถวายการอารักขาด้วยชีวิต” เขาตะโกนก้องบอกเหล่าทหารที่กำลังฟาดฟันกับคู่ต่อสู้เพื่อเสริมกำลังใจ
จำนวนทหารแห่งเวียงเชียงรุ้งนั้นสูสีกับศัตรู และด้วยความจงรักภักดีเหล่าทหารเวียงเชียงรุ้งก็สู้สุดใจขาดดิ้นจนฟาดฟันศัตรูแดดิ้นไปมากโข หนานหลวงนั้นอยู่ไม่ห่างรถม้าที่ประทับของพระโอรส ขณะที่เหล่าโจรนั้นพยายามที่จะฝ่าวงล้อมของทหารของเขาที่คุ้มกันเข้าหารถพระที่นั่ง หากแต่เมื่อพระสุรเสียงทรงกันแสงแผดจ้าผสานกันระหว่างองค์โอรสทั้งสองดังขึ้นพวกโจรต่างก็ชะงักและมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“พระโอรสทรงไม่ได้อยู่ในรถพระที่นั่ง ตามเสียงไปแล้วเอาตัวมาให้ได้” พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายไปยังทิศทางของเสียง หนานหลวงควงดาบฟาดฟันศัตรูที่เข้ามาพร้อมกันหลายคนด้วยความหวาดหวั่น เกรงว่าบุคคลที่รักกว่าชีวิตจะทรงเป็นอันตราย ในตอนนี้มีทหารสองคนพุ่งมาที่เขาหลังจากที่เขาเพิ่งจะปลิดชีวิตทหารหลายคนที่มารุมล้อมเขาไปได้
“ฆ่ามันให้ได้” หนึ่งในสองบอกคนที่อยู่ข้างๆ ก่อนที่จะจ้วงดาบมาตรงหน้าหนานหลวง องครักษ์หลวงเกลียดชังมันยิ่งนัก เขานึกปรามาสในใจว่าให้มันรู้แจ้ง ณ ที่นี้เลยว่าคนดีกับคนชั่วใครจักต้องตายก่อนกัน
แม้ว่าจะต้องต่อกรกับทหารมากฝีมือทั้งสองคนพร้อมกันแต่หนานหลวงก็สามารถกำจัดมันไปได้แล้วคนหนึ่ง เหลืออีกหนึ่งที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ไม่สามารถเอาชนะหนานหลวงได้ ด้วยแรงโทสะของมันทำให้มันมีเรี่ยวแรงมหาศาลง้างดาบฟาดลงมาแต่ละครั้งเขาแทบรับไว้ไม่ไหว สู้กันอยู่นานเขาก็เพลี่ยงพล้ำหวิดจะไม่รอดไปหลายหนจนเมื่อเขาล้มลงและดาบหลุดมือ มันก็เงื้อมดาบสุดแขนจะปลิดชีวิตเขา หนานหลวงไร้เรี่ยวแรงจะถอยหนีเพราะร่างกายบอบช้ำมากรู้ตัวว่าต้องตายแน่
หากแต่คมดาบก็ไม่ถึงคอเขาเมื่อทหารคนนั้นถูกแทงทะลุหัวใจจากด้านหลังโดยทหารของเวียงเชียงรุ้งคนหนึ่ง เขามองเลยไปที่ทหารคนนั้นแล้วก็ต้องตกใจ
“ฝ่าบาท”เขาอุทานออกมา เจ้าหลวงแสนสุริยะทรงส่ายพระพักตร์เขาจึงนิ่งเงียบไว้ ด้วยความจงรักภักดีหนานหลวงกัดฟันลุกขึ้นคว้าดาบ ดึงเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นมาสู้รบกับทหารชุดดำที่ลดจำนวนไปมากอีกครั้ง
อย่างมากก็แค่ตาย เขายินดีถวายหัวของเขาเพื่อปกป้องบัลลังก์แห่งเวียงเชียงรุ้งไม่ให้สั่นคลอน
