บทที่7. ทุรนทุราย
ร้อน...ทำไมร้อนอย่างนี้นะ ไปรยาดิ้นทุรนทุรายไม่ เธอไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง มันควบคุมไม่ได้ เธอพยายามถอนเสื้อผ้าของตัวเองออกแต่มือใหญ่มาดึงไว้ก่อน
“อย่าซิ ของแบบนี้มีแต่ผู้ชายเขาต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ”
ฟรานเชสโก้พูดติดตลกแต่ในใจเขาก็รุ่มร้อนไม่แพ้กัน รถติดไปแดงอีกแยกเดียวก็ถึงบ้านพัก เขามองนาฬิกาข้อมืออย่างช่างใจก่อนตัดสินใจโทรศัพท์หาตัวช่วย แต่การโทรศัพท์ก็แสนยากลำบากเพราะหญิงสาวที่นั่งเบาะข้างๆ ดิ้นไปมาพยายามจะถอดเสื้อตัวเองออก
“เออ...ฉันรู้ว่าดึกแต่กรณีมันจำเป็นจริงๆ”
ปลายสายทำเสียงหงุดหงิดแล้วส่งโทรศัพท์ให้หญิงสาวอีกคนพูดคุย ฟรานเชสโก้เล่าเพียงสั้นๆ ไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรนักทางปลายสายก็ตอบรับทันที
“ขอสามสิบนาทีนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีค่ะ แล้วจะรีบไปค่ะ”
ฟรานเชสโก้ปิดโทรศัพท์แล้วมองดูสัญญาณไฟที่เดินถอยหลังเหลืออีกแค่สิบวินาที แต่เพราะไม่ทันตั้งตัวเขาก็ถูกมือเล็กๆ ผลักเขาเพื่อจะเป็นอิสระ เขาหันกลับมามองอย่างหัวเสียไม่คิดว่าไอ้ยาบ้าๆ จะมีฤทธิ์มากขนาดนี้
“แบบนี้เดี๋ยวก็ไปไม่บ้านหรือไม่ก็รถคว่ำตายก่อน” เขาบ่นแล้วกระชากเนกไทออกมามัดข้อมือทั้งสองของไปรยาเข้าด้วยกัน “โอเคแบบนี้ค่อยขับรถได้หน่อย”
อีกราวห้านาทีต่อมารถยุโรปคันใหญ่ก็มาจอดในบ้านหลังหนึ่งซึ่งสร้างอย่างมีดีไซด์ และเหตุผลหนึ่งที่เขาอยากเปลี่ยนรถเพราะมันคันใหญ่เกินไปไม่คล่องตัวเมื่อใช้ในกรุงเทพฯ แบบนี้ ชายหนุ่มเปิดประตูรถแล้วก้มตัวหยิบกระเป๋าสะพายของเธอแล้วช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มพาเดินเข้ามาในบ้าน
“ปล่อย”
“รู้แล้วไม่ต้องมาสั่งหรอก”
ฟรานเชสโก้บ่นอย่างหงุดหงิดทั้งที่รู้ว่าเธอเองก็คงไม่ได้สตินักหรอก แต่เขาก็ไม่ชินกับการที่มีใครมาออกคำสั่ง
เขาวางเธอไว้บนโซฟาแล้วเดินไปหยิบผ้าขนเพื่อหนูชุบน้ำ เสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากกระเป๋าของเธอแต่เขาไม่สนใจ เมื่อเดินกลับมาอีกทีก็เห็นเธอนิ่งไป
“เฮ้ เป็นอะไรไป” เขาตบแก้มเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติ
แต่เธอกลับปรือตามองเขาและหอบหายใจแรง
“น้ำ...หิวน้ำ”
“ได้ๆ เดี๋ยวนะ” เขารีบลุกเดินไปหยิบขวดน้ำแล้วรินใส่แก้วป้อนให้เธอ แต่เธอกลับสำลักน้ำจนเขาต้องยกแก้วหนี
“น้ำ” เธอครางในลำคออย่างหงุดหงิด
ฟรานเชสโก้มองมือสองข้างของเธอยังไม่เป็นอิสระและดวงตาหวานฉ่ำของเธอเรื่อยมาที่ริมฝีปากที่เผยอขึ้น เขาพยายามข่มใจไม่มองต่ำลงไปกว่าทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงอย่างแรงเพราะต้องการอากาศหายใจ ชายหนุ่มสบถหยาบหลายคำก่อนยกน้ำขึ้นจิบแล้วก้มลงประคองใบหน้าหวานให้เพื่อป้อนน้ำให้เธอ
ริมฝีปากอ่อนนุ่มและฉ่ำหวานทำให้ชายหนุ่มเผลอไผลกดจุมพิตร้อนๆ ปรนเปรอ หญิงสาวดูจะพอใจกับกับสิ่งที่ได้รับจนเผลอครางในลำคอ ขยับอกเบียดชิดแผงอกที่ก้มลงมาทับทาบสะโพกกลมกระสับกระส่ายไปมาตามสัญชาตญาณแม้ว่าเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนมือใหญ่ประคองใบหน้าเธอไว้เพื่อจะได้ประทับจุมพิตได้เนินนาน ความหวานฉ่ำที่ได้รับทำให้อารมณ์ของเขากระเจิดกระเจิง เขาลากริมฝีปากพรมจูบไปทั่วใบหน้าแล้วระเรื่อลงมาที่ลำคอพร้อมกับลากมือลงมาที่เนินอกคู่สวยที่ท้าทายสายตาของเขา เพียงสะกดนิดเดียวกระดุมก็หลุดออกพร้อมกับเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้น กลิ่นหอมเย้ายวนทำให้ก้มลงดื่มด่ำยอดอกอย่างรัญจวนใจ
มือของเขาเคลื่อนผ่านร่างกายที่บิดเร่าๆ ด้วยความปรารถนาจะถูกปลดปล่อย เขาตลบชายกระโปรงขึ้นเพื่อลูบไล้ต้นขาเนียนและนุ่มในขณะที่ปากของเขาก็ยังดื่มกินความหวานจากเธออย่างหลงใหล เสียงครางดังออกมาจากลำคอของหญิงสาวเมื่อเขาแทรกนิ้วผ่านเข้าไปแตะต้องสัมผัสกลีบดอกไม้อ่อนบาง ดอกไม้ในกายหญิงสาวไหวระริกและสะดุ้งตื่นกับสัมผัสที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาปลุกปลอบเธออย่างอ่อนโยนเมื่อแตะต้องถูกปราการบางอย่าง สัญชาตญาณของเขาทำให้เขาชะงักมือ เขาสบถพึมพำชิดเนินเนื้อที่อกก่อนถอนริมฝีปากออกมองใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้ม บางสิ่งในร่างกายกำลังปลุกเร้าให้เขาทำมากกว่าการจุมพิต แต่เขารู้ดีว่าถ้าเธอฟื้นคืนสติเธออาจจะรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
และคนอย่างฟรานเชสโก้ ซิวีลิอาโน่ก็ไม่จำเป็นต้องหลอกลวงผู้หญิงด้วยวิธีสกปรกแบบนี้
เสียงรถที่แล่นเข้ามาในบ้านทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่กอก เขาลุกขึ้นและจับเสื้อผ้าของหญิงสาวให้ดูเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วมองไปที่ประตูอย่างรอคอย
“ขอโทษที่มาช้าค่ะ จอร์จี้ดันตื่นมางอแงก็เลยวุ่นๆ อยู่นิดหนึ่งค่ะ” กีณรินยิ้มให้แล้วก็ทำหน้างงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายุ่ง
“รบกวนหน่อยครับ” ฟรานเชสโก้พยักเพยิดไปทางโซฟา
กีณรินเดินไปดูอาการพร้อมอ้าปากร้องอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้นคะ”
“เดี๋ยวผมเล่าไปแล้วคุณรินช่วยจัดการไปด้วยได้ไหม” เขาพูดเหนื่อยๆ
“ให้จัดการต่อหน้าคุณนะเหรอคะ” กีณรินหันมาหลิวตาให้เหมือนจะล้อเลียน
“ผมจะอุ้มเธอไปข้างบนก็แล้วกัน” เขาพูดพลางก้าวยาวๆ มาอุ้มร่างที่เริ่มสงบลง “ผมเจอผู้หญิงคนนี้ที่ผับถูกผู้ชายมอมยากำลังจะพาไปไหนสักแห่งแต่ดูท่าทางผู้หญิงไม่เต็มใจผมก็เลยช่วยออกมา แต่เธอไม่ได้สติอย่างที่เห็นก็เลยไม่รู้จะพาไปไหน”
“ใจดีจังเลยค่ะ” กีณรินพูดปนหัวเราะแล้วเปิดประตูห้องให้เขาพาร่างเล็กๆ ไปวางบนเตียง
“ถ้าคุณไม่ใช่น้องสะใภ้ผม...ผมอาจจะซัดหมัดใส่ไม่ให้พูดมากก็ได้” เขาขู่
“เชื่อค่ะ คุณยังเคยเอาปืนยิงฉันมาแล้วนี่” กีณรินหัวเราะคิกคักไม่ได้ใส่ใจกับคำขู่ “เดี๋ยวฉันจะเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผู้หญิงคนนี้ก่อนนะคะแล้วคุณช่วยไปรอข้างล่างด้วยค่ะ”
ฟรานเชสโก้พยักหน้ารับแล้วเดินลงมาที่ชั้นล่าง เขาเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์ขวดเล็กมานั่งดื่มคนเดียวบนโซฟา เสียงโทรศัพท์มือถือดังกวนใจจนเขาต้องลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าแต่เพราะไม่คุ้นกับการเปิดกระเป๋าผู้หญิง ข้าวของในกระเป๋าจึงร่วงลงมากองบนพื้น
“บ้าจริง”
เขาบ่นแล้วรวบของที่หล่นมาวางบนโต๊ะ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวขึ้นมาดูเห็นหน้าจอแสดงคำว่า ‘แม่’ เขาก็วางลงอย่างเดิม สมุดบันทึกขนาดเหมาะมือหล่นอยู่อีกเล่มและกางออก เขาจึงก้มหยิบขึ้นมาแล้วสายตาก็ไปสะดุดกับชื่อที่เขียนไว้ที่ปกด้านใน
“ไปรยา พรภวิษย์” ฟรานเชสโก้พึมพำเหมือนทวนความทรงจำแล้วก็ต้องหลับตาลงภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่เขาคิด
“โอ้ว...ไม่นะ” เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ของหญิงสาวมาเปิดออกแล้วหยิบบัตรประชาชนออกมาดูเพื่อความมั่นใจแต่ มันกลับยืนยันในสิ่งที่เขาไม่อยากให้มันเป็นจริง
“ค้นกระเป๋าผู้หญิงไม่ดีนะคะ” กีณรินเตือนแต่หัวเราะเบาๆ “เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วค่ะ แต่ตื่นมาคงตกใจยังไงคุณฟรานเชสโก้ก็ค่อยๆ พูดกับเธอนะคะ”
“ตอนนี้คงต้องพูดกับแม่ของผู้หญิงคนนี้ก่อน” ฟรานเชสโก้หยิบโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงร้องกวนใจส่งให้น้องสะใภ้ดู กีณรินรับโทรศัพท์มาแล้วถอนหายใจหนักๆ ตอนนี้เธอมีลูกชายน่ารักๆ อายุขวบเศษ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่ลูกสาวหายไปจากบ้านได้ดี เธอสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนกดโทรศัพท์รับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“นั่นใครคะ ไม่ใช่ลูกยานี่”
“เอ่อ น้องยาเผลอหลับไปนะคะ วันนี้เราติวหนังสือกันหนักไปหน่อย”
“เหรอจ๊ะ คงจะเครียดเรื่องสอบปริญญาโท” เสียงคนเป็นแม่พึมพำ “ถ้าลูกยาตื่นแล้วให้โทรหาแม่ด้วยนะจ๊ะ”
“จะให้หนูไปปลุกไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ”
“นี่ก็ดึกแล้วให้น้องยาค้างคืนกับหนูได้ไหมคะ กลับบ้านดึกๆ อันตราย”
“จะไม่รบกวนไปหรือจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราอยู่กันแต่ผู้หญิงๆ อยู่กันหลายคนก็สนุกดี” กีณรินหันไปมองผู้ชายที่นั่งจิบเบียร์อยู่บนโซฟา
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนหน่อยนะจ๊ะ”
“ได้ค่ะคุณแม่”
กีณรินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อปลายทางวางสายโทรศัพท์ เธอหันมาแล้วางโทรศัพท์ที่โต๊ะตรงหน้าชายหนุ่ม “รินนึกว่าเด็กมัธยมด้วยซ้ำไป นี่เรียนจบปอตรีแล้วเหรอเนี่ย หน้าตาเด็กมากเลย”
ฟรานเชสโก้ยักไหล่ “ขอบใจนะ คนขับรถรออยู่ใช่ไหม”
“เสร็จงานก็ไล่เชียวนะคะ” กีณรินหัวเราะคิกคัก
“เปล่า ผมแค่ไม่อยากฟังเจ้าราฟาเอลบ่นก็เท่านั้น”
“ค่ะ รินก็ต้องกลับไปดูแลลูกเหมือนกัน” กีณรินยิ้มเพื่อกล่าวลา
ฟรานเชสโก้เดินไปส่งที่หน้าบ้าน เขายืนส่งจนเห็นรถของกีณรินเลื่อนออกไปแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในครัวแล้วเปิดเบียร์นั่งดื่มดื่มสงบสติอารมณ์ เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาตอนนี้ แต่กระนั้นเขาก็อดเหลือบมองไปที่ห้องชั้นบนไม่ได้จนเขาพาตัวเองไปที่ห้องนอนของตัว
บ้านนี้ก็มีห้องนอนหลายห้องทำไมเขาพาเธอไปนอนห้องนอนของเขาก็ไม่รู้
ร่างบอบบางอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่ซึ่งมันเป็นของเขา ส่วนเสื้อผ้าของเธอนั้นถูกพับวางไว้อย่างเรียบร้อยที่ปลายเตียง เขาหยิบมันไปวางไว้บนโต๊ะไม่ไกลนักแล้วเดินกลับมาดูหญิงสาวบนเตียงนอนอีกครั้ง ใบหน้าหวานหลับสนิทราวกับไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เขานั่งลงข้างๆ ใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมบนใบหน้าหญิงสาวแล้วถอนหายใจ
“เธอเองเหรอ ไปรยา พรภวิษย์”
ฟรานเชสโก้ทำได้เพียงถอนหายใจหนักๆ เขาหันไปกระดกเบียร์จนหมดขวดแล้วค่อยๆ แทรกตัวลงไปนอนข้างๆ หญิงสาวที่ยังหลับใหล คืนนี้มีเรื่องวุ่นวายมากเกินไป เขาอยากอาบน้ำแต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะลุกไปทำอะไรตอนนี้ ร่างเล็กพลิกตัวนอนตะแคงแล้วเอื้อมมือมากอดเขาอย่างไม่รู้ตัวแต่ยิ่งทำให้ชายหนุ่มต้องระบายลมหายใจเบาๆ
“ไปรยา เราเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจเอาเสียเลยและฉันคงต้องทบทวนข้อเสนอของลุงโทนี่ใหม่แล้วละมั้ง”.
