บทที่6. วางยา
ไปรยาถอนหายใจอย่างเบื่อๆ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานต่างกระโดดโลดเต้นกลางฟอร์ลเต้นรำ วันนี้เป็นการทำงานวันสุดท้ายในงานมอเตอร์โชว์ ตลอดการทำงานสิบสองวันต้องเจอเสือสิงห์กระทิงแรด แต่ที่เหนื่อยใจมากกว่าคือต้องโกหกแม่เพื่อออกจากบ้าน เธอคงหมดมุขที่จะโกหกอีกนาน แต่เธอเองคงไม่ต้องทำงานพิเศษอีกหลายวันเพราะเงินที่ได้ครั้งนี้มากพอที่จะทำให้เธอมีเวลานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบที่บ้านได้สบายๆ ไปอีกหลายวัน
ใจจริงเธออยากล้างเครื่องสำอางแล้วนอนแผ่หราบนเตียงให้หายปวดน่อง บนชั้นวางรองเท้าไม่เคยมีรองเท้าส้นสูงแบบนี้หรอก เธอสวมแต่รองเท้าคัทชูหรือไม่ก็รองเท้าแตะธรรมดาๆ และเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่มหรือเที่ยวกลางคืนนี้แบบแต่ที่มาที่นี่ได้เพราะเพื่อนร่วมงานรวมหัวกันโกหกเธอ
“ไป๋ วันนี้เลิกงานแล้วไปกินข้าวกันนะ”
“ที่ไหนหรอคะ”
“ก็ตรงไหนมีข้าวกินก็ไปตรงนั้นแหละ”
เพื่อนรวมงานของเธอเอ่ยชวนก่อนที่จะพาเธอมาที่นี่ ซึ่งถ้าเธอรู้ก่อนว่าจะเป็นสถานที่แบบนี้เธอคงไม่มาเด็ดขาด ไปรยาแอบถอนหายใจอีกครั้งแล้วยกแก้วน้ำหวานผสมโซดาขึ้นดื่ม ก็จริงนะ เพราะร้านนี้มีอาหารให้สั่งกินได้มากกว่ากับแกล้ม แต่เธอนึกว่าจะเป็นร้านอาหารหรือไม่ก็ร้านข้ามต้มอะไรแบบนั้นมากกว่า แต่ปรากฏว่าเป็นผับเสียได้แล้วเธอก็นั่งรถมากับเพื่อนๆ จะเดินหนีก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำซะด้วยซิ
เธอไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิง จะว่าไปเธอไม่มีเลยก็ว่าได้ เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว แฟชั่นหรือข่าวแวดวงบันเทิง ชีวิตเธอมีแต่เรียนและงานพิเศษเท่านั้น ที่สนิทกับนริศก็เพราะน้าวรรณที่อยู่ร้านเสริมสวยรู้จักกับแม่ของเธอและเป็นคนหาบ้านเช่าให้แม่ด้วย ส่วนเจฟฟ์ก็เป็นเพื่อนสนิทกับนริศทำให้พวกเขาได้รู้จักันไปโดยปริยาย
เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยหาทางแวบๆ ออกไปก็ได้ ไปรยาบอกกับตัวเองแล้วใช้ช้อนส้อมจิ้มลูกชิ้นในจานส่งเข้าปากพลางคิดถึงเรื่องที่คุยกับผู้จัดการขณะที่ยื่นซองเงินค่าแรงให้เธอ
‘เธอทำงานได้ดีมาก ลูกค้าชมเธอเยอะมาก’
‘ขอบคุณค่ะ หนูก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นเองค่ะ’
‘ไม่สนใจทำงานด้านนี้เหรอ’
‘งานด้านนี้ หมายถึง’
‘อยู่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์’
‘แต่หนูไมได้เรียนด้านนี้มาจะทำงานให้ได้หรือคะ’
‘เท่าที่ฉันดูจากผลงานของเธอ ฉันก็คิดว่าเธอทำงานนี้ได้ของแบบนี้มันอยู่ที่ความมั่นใจด้วยลองเอาไปคิดดูก่อนละกัน’
‘ขอบคุณค่ะ’
“ลองไปปรึกษาแม่ดูก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะได้ทำงานเก็บเงินไว้เรียนต่อปอโท” ไปรยายิ้มให้กำลังตัวเองกำลังจะยกแก้วน้ำหวานขึ้นดื่มแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเพื่อนร่วมงานมาแตะไหล่เธอก่อน
“ยัยไป๋ มาผับทั้งทีทำหน้าสนุกหน่อยซิ” เพื่อนรวมงานหัวเราะร่าแต่ไปรยากลับทำหน้าแหย “ไปแดนซ์ให้กระจายไปเลย”
“ว๊าย” ไปรยาร้องเสียงหลงเมื่อถูกเพื่อนสาวดึงข้อมือให้ไปที่กลางฟลอร์เต้นรำรวมกับคนอื่น
การเคลื่อนไหวแบบเงอะๆ งะๆ ของหญิงสาวทำให้ฟรานเชสโก้หัวเราะในลำคอก่อนยกเบียร์ขึ้นจิบ คราแรกที่เขาขับรถตามหญิงสาวออกมาจากที่ทำงานของเธอเขาดูไม่แปลกใจนักถ้าเธอจะมาผ่อนคลายด้วยการเต้นรำในผับบาร์แต่เมื่อเขามองเห็นหน้าตายุ่งๆ ปนเลี่ยนๆ ของเธอแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ ยิ่งเห็นท่าเต้นเก้งๆ ก้างๆ แล้วยิ่งมั่นใจได้เลยว่าเธอคงไม่ชอบหรืออาจไม่เคยทำอะไรแบบนี้ก็ได้ ชายหนุ่มกระดกเบียร์จนหมดขวดแล้วเดินแหวกผู้คนเข้าไปที่กลางฟลอร์ สาวๆ ต่างส่งยิ้มเชิญชวนแต่เขากลับไม่สนใจ
ไปรยารู้สึกว่ามีใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังจึงหันไปดู แม้จะอยู่ในแสงสลัวแต่เธอก็จำได้ว่าเป็น ‘เขา’ บางสิ่งในดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้เธอถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวแต่เธอกลับไปชนคนด้านหลังที่กำลังเต้นรำอยู่จนเสียหลักจะล้มลงแต่กลับมีมือใหญ่มาคว้าไว้แล้วรั้งเธอเข้าไปปะทะกับแผงอกแข็งแกร่ง
ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ ไปรยายกมือขึ้นดันอกเขาอย่างอัตโนมัติแต่ก็ไม่สามารถกั้นระยะห่างจากเขาได้เลย หัวใจเธอเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ไออุ่นโอบล้อมในทันทีใบหน้าเธอแนบชิดกับอกอุ่นจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากโคโลจน์ผสมกลิ่นอายแห่งความเป็นบุรุษ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบเอ็ดปีเธอไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนไหนขนาดนี้มาก่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ฟรานเชสโกก้มหน้าลงถาม แววตาเขามีความเป็นห่วงฉายอยู่ สถานการณ์นี้อยู่นอกเหนือการคาดหมายของเขาด้วยเช่นกัน
ไปรยาแหงนหน้ามองเขา จากคนที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจกลับกลายเป็นอ่อนแอในพริบตา เธอเพิ่งรู้สึกว่าเขาสูงมากและก็เต็มไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งแต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวแต่สิ่งที่ทำให้เธออ่อนแอคือรัศมีความร้อนแรงของเขาที่มากระทบผิวกายเธอต่างหาก
“ปะ...ปะ...เปล่าค่ะ” กว่าเธอจะค้นเสียงตัวเองได้ก็หลายวินาที เขาช่วยเธอพยุงตัวให้ยืนก่อนถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง
“บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะครับ” ‘ถ้าพูดว่าตั้งใจตามมาจะได้ใจไปมั้ง’
“เหรอคะ” เธอยกมือขึ้นเสยผมอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี
“แต่ที่เดินมาตรงนี้ตั้งใจนะครับ”
ไปรยาชะงักมือแล้วจ้องมองเขา อาการเขินอายละลายหมดไปสิ้น “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันละคะ”
“ก็เห็นคุณเต้นสนุกดีก็เลยอยากสนุกด้วย”
ไปรยากัดฟันกรอดๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมยกหมัดขึ้นเหมือนจะชกเขาที่บังอาจมาล้อเธอเล่นแบบนี้ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มเยาะที่มุมปากแล้วมองหน้าเธอสลับกับกำปั้นน้อยๆ ของเธอทำให้หญิงสาวชะงักค้าง
“บ้า!...โรคจิต”
“หา...ขนาดนั้นเชียว” เขาหัวเราะสนุกรู้สึกดีที่ได้หยอกแม่สาวน้อยคนนี้เล่น “นึกว่าจะพูดขอบคุณกันบ้าง”
“ขอบคุณทำไมนายไม่ได้ทำอะไรให้ฉันต้องขอบคุณสักหน่อย”
ไปรยาตวาดแล้วหันหลังกลับแต่ไม่อาจก้าวเท้าออกไปได้เพราะร่างเธอถูกรวบจากด้านหลัง เธอขยับตัวอย่างร้อนร้นแต่กลับหยุดกึก! เมื่อลมหายใจร้อนๆ เป่ารดอยู่ริมหู ไปรยาลืมหายใจไปชั่วขณะก่อนตั้งสติยกเท้ากระทืบเท้าเขาอย่างแรงเป็นผลให้เขาปล่อยเธอเป็นอิสระ แต่แรงของเธอไม่มากนักหรอกแต่เขาก็แสร้งนิ่วหน้าให้หญิงสาวได้ใจ
กริยาของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของเพื่อนสาวที่พาไปรยามาที่นี่
“ไหนว่าเด็กเรียนทำไมไปยืนให้ผู้ชายกอดแบบนั้นล่ะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับไปรยาพูดด้วยความริษยา
“ดีแตกละซิ” อีกคนพูดเสริมแล้วเบ้ปากอย่างหมั้นไส้ก่อนจะหันไปทางเพื่อนชายที่ตามมาสบทบที่หลัง “จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเถอะ เกลียดขี้หน้ายัยเด็กเรียนนี่เต็มทีแล้ว”
ชายหนุ่มสองคนพยักหน้าให้แล้วยิ้มที่มุมปากก่อนหยิบซองเล็กๆ ที่บรรจุผงสีขาวเทใส่แก้วน้ำหวานของไปรยาแล้วแกว่งไปมาให้ยาละลาย เขารีบวางแก้วลงเมื่อเห็นไปรยาเดินตรงมาที่โต๊ะโดยไม่มีหนุ่มฝรั่งคนนั้นตามมาด้วย
“ไป๋ นี่เจมส์กับปิ๊กเพื่อนเราเอง”
“สวัสดีค่ะ” ไปรยาทักทายตามมารยาทแต่ออกจะไม่ชอบหน้านัก เธอเหลือบไปมองทางชายหนุ่มตัวโตคนนั้นก็เห็นเขาจ้องมองอยู่ เธอจึงรีบหันกลับแล้วคว้ำแก้วน้ำหวานของตัวเองมาดื่มแก้เขิน ไปรยาไม่ได้เห็นสีหน้าและแววตาของเพื่อนร่วมงานที่มองเธอแล้วยิ้มที่มุมปาก
“ไป๋อยู่เฝ้าโต๊ะนะ พวกเราจะไปแดนซ์” เพื่อนสาวลุกขึ้นแล้วเดินไปเต้นรำเหลือเพียงเพื่อนชายที่ชื่อเจมส์นั่งอยู่เป็นเพื่อน
“หน้ายังเด็กอยู่เลยนี่ อายุเท่าไหร่แล้วละ”
“จะยี่สิบสองแล้วล่ะ” เธอเอ่ยตอบแล้วพยายามขยับตัวออกห่างจากเจมส์ เธอกลับรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะเป็นไข้ มันร้อนวูบในอกไปหมด เธอยกแก้วขึ้นดูก็เห็นมันเป็นแก้วน้ำหวานของเธอไม่มีสีแปลกไปกว่าเดิม
“เป็นอะไรหรือเปล่ารู้สึกไม่สบายเหรอ” เจมส์ถามแล้วเอื้อมมือมาวางบนหน้าขาของไปรยา “ที่นี่ร้อนไปหาที่สบายๆ”
ไปรยาส่ายหน้าไปมาเร็วๆ แต่กลับยิ่งรู้สึกมึนศีรษะเข้าไปใหญ่ เธอตัดสินใจลุกขึ้นแต่ก็โซเซจนเกือบจะล้ม เจมส์รีบเข้าไปประคองทันทีแต่เธอรู้สึกว่าเขากำลังทำมากกว่าการประคอง เพราะใบหน้าของเขามาชิดแก้มเธอและมือของเขาก็พยายามจะลูบไล้เธอด้วย
“มา...เดี๋ยวไปส่ง”
ไปรยาได้แต่ส่ายหน้าแต่ไม่มีแรงจะขัดขืน เธอมองไปทางเพื่อนผู้หญิงที่มาด้วยกันเพื่อขอความช่วยเหลือแต่พวกนั้นกลับโบกมือไปมาเหลือร่ำลา
“บอกแล้วไงว่าจะไปส่ง จะส่งถึงประตูสวรรค์เลย”
เจมส์หัวเราะในลำคอ ถึงแม้ว่าไปรยาจะสวมเสื้อคอจีนกับกระโปรงยาวคลุมเข่าดูมิดชิดเกินไปที่จะมาเที่ยวผับในย่านอาร์ซีเอแบบนี้ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าภายในใต้เสื้อผ้านี้คือเรือนร่างสมส่วนและเนียนนุ่มแค่กลิ่นกายหอมกรุ่นก็ปลุกเร้าอารมณ์ชายอย่างเขาได้เต็มที่แล้ว เจมส์พาไปรยาออกมาด้านนอกเพื่อจะขึ้นรถของเขา แต่หญิงสาวก็พยายามขัดขืนแม้จะไร้เรี่ยวแรงจนชายหนุ่มรำคาญผลักเธอเข้าไปในรถอย่างแรงจนกระโปรงถลกขึ้นเห็นขาขาวเนียน
“ขาวได้ใจจริงๆ เลยวุ้ย” เจมส์แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองแล้วเผลอครางออกมา “สงสัยจะไปไม่ถึงโรงแรมแล้ว จัดการมันในรถสักรอบก่อนแล้วกัน”
“หะ...อย่า...อย่านะ”
ไปรยาพยามกระถดกายหนีมือใหญ่ที่ยื่นมาลูบหน้าขาของเธอ เธออยากยกเท้าถีบเข้าให้แต่ร่างกายไม่ยอมขยับตามที่ใจต้องการเลย เธอพยายามจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ได้แค่อ้าปากแต่ไร้เสียง เธอหลับตาปี๋แล้วเบี่ยงหน้าหลบใบหน้าที่กำลังยื่นมาใกล้ มือที่ว่างและพอจะมีแรงกอดตัวแน่นเพื่อไม่ให้คนชั่วดึงเสื้อผ้าเธอออกได้
“พอแค่นี้ดีกว่ามั้ง”
“อะไรวะ” เจมส์ชะงักมืออย่างหัวเสียที่ถูกขัดจังหวะ แต่ยังไม่ทันทำอะไรร่างของเขาก็ถูกกระชากจากด้านหลังอย่างแรงแล้วเหวี่ยงออกไปนอกรถ
“เฮ้ย...แม่งมายุ่งอะไรวะ” เจมส์ตวาดลั่นด้วยความโมโหแล้วยันตัวเองลุกขึ้นยืน “คนจะเอากันมาสอดอะไรวะไอ้ฝรั่ง”
“ฝรั่ง” ฟราสเชสโก้เลิกคิ้วแล้วส่ายหน้าไปมา ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนไทยเรียกชาวต่างชาติอย่างเขาว่า ‘ฝรั่ง’ ทั้งที่เขามั่นใจว่าตัวเองหน้าตาดีกว่าผลไม้ชนิดนั้นเป็นไหนๆ
“ไม่ต้องทำเป็นโง่เลย” เจมส์พุ่งเข้าใส่หมายจะชกหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายแต่ปรากฏว่าร่างเขาต้องลอยละลิ่วกลับไปนอนหงายซ้ำที่เดิมอีกครั้งเพราะฟรานเชสโก้ใช้เท้าถีบเข้าให้ก่อน
“ใครโง่กันแน่” ฟรานเชสโก้โคลงศีรษะแล้วหันไปสนใจร่างที่ขดตัวอย่างหวาดกลัวในรถ เขาขมวดคิ้วยุ่งท่าทางเธอตอนนี้ผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ เขาก้มตัวเข้าไปเพื่ออุ้มเธอออกมาแต่หญิงสาวพยายามปัดมือของเขาออกทั้งที่เธอแทบไม่มีแรงจะยกแขนด้วยซ้ำ
“ผมมาช่วย คุณปลอดภัยแล้ว” เขาพูดอย่างปลอบโยนแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ ถอดเสื้อสูทตัวนอกออกคลุมร่างที่สั่นระริกเพราะความหวาดกลัวและเมื่อเห็นว่าเธอไม่ขัดขืนเขาก็อุ้มเธอออกมา
“ทำแบบนี้ได้ไงวะ กูลงทุนซื้อยามามอมนังนี้แล้วนะเว้ย”
“มอมยา”
ฟรานเชสโก้ทวนคำขณะที่เขาอุ้มไปรยาไว้แนบอก เขาอาจจะเอาใจผู้หญิงด้วยการซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้แต่ไม่เคยใช้ยาเพื่อได้ตัวผู้หญิงคนนั้นมา เจมส์รู้ตัวว่าพลั้งปากไปแล้วก็หน้าเสียแต่เขาไม่มีโอกาสจะคิดทำอะไรต่อได้อีกเพราะถูกเท้าของฟราสเชกโก้เตะปลายคางเข้าไปเต็มๆ จนสลบเหมือดไปแล้ว ชายหนุ่มอุ้มไปรยามาที่รถของเขาให้เธอนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับแต่เมื่อเห็นว่าเธอสลึมสลือไม่ได้สตินักก็ช่วยรัดเข็มขัดนิรภัยให้ เสียงหายใจผ่านลำคอแหมือนเสียงครางทำให้เขาหงุดหงิดและกลิ่นหอมละมุนจากเรือนกายของหญิงสาวก็ทำให้เขารุ่มร้อน
“บ้านอยู่ไหนผมจะไปส่ง”
เขาถามแต่ไม่ได้คำตอบเพราะดูท่าทางหญิงสาวจะทรมานเพราะพิษยา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปบ้านพักของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่คนเดียวแต่ก็ชอบพักที่บ้านมากกว่าอยู่คอนโดหรืออพาร์ทเม้นท์
“ร้อน” ไปรยาหอบหายใจแรงมือไม้พยายามแกะเสื้อที่คลุมตัวเองออกเธอรู้สึกร้อนรุ่มไปหมดเหมือนเนื้อตัวจะกลายเป็นไฟให้ได้ “ทรมาน”
“อดทนหน่อย” เขาบอกแล้วเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก “เดี๋ยวผมจะทำให้คุณสบาย”
ฟรานเชสโก้เอื้อมมือไปวางบนหน้าผากของหญิงสาว แต่เธอกลับดึงมือเขามากอดราวกับเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวก่อนที่สติของเธอจะหลุดกระเจิง เสียงหอบหายใจแรงของหญิงสาวทำให้เขาเองก็พลอยร้อนรุ่มไปด้วย สมาธิและความมั่นคงที่มีกำลังถูกท้าทายและเริ่มสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาไม่เคยเสียความควบคุมตัวเองอย่างนี้บ่อยนัก แต่ถึงจะยังไงเขาไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวผู้หญิงคนนี้
เพราะว่าคนอย่าง ‘ฟรานเชสโก้ ซิวีลิอาโน่’ ไม่เคยขืนใจใคร.
