บทที่ 2 เมินเฉยต่อเธอ
บรรยากาศยามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวบนท้องฟ้าส่องแสงระยิบระยับเปล่งประกายงดงาม ในยามผู้คนต่างพากันหลับใหลเพื่อพักผ่อนสำหรับเช้าวันใหม่ แต่ไม่ใช่สำหรับแก้มหวานยังคงทำงานดึกดื่นที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง
ในทุกวันตอนเย็นหลังเลิกเรียนหญิงสาวจะมาล้างจานร้านเหล้าใกล้บ้านเป็นประจำ แม้จะเสี่ยงไปบ้างสำหรับสาวสวยอย่างเธอ แต่ต้นทุนชีวิตคนเราไม่เท่ากันฉะนั้นขอให้เป็นงานได้เงินและสุจริตเธอทำหมดโดยไม่เกี่ยงสักนิด อีกอย่างที่นี่ใกล้บ้านการเดินทางกลับบ้านค่อนข้างสะดวก
“เอานี่รอบสุดท้ายแล้ว”
“ค่ะ” แก้มหวานหันไปส่งยิ้มแก่พนักงานที่ยกจานมาให้ก่อนก้มหน้าก้มตาล้างภาชนะต่ออย่างไม่ปริปากบ่น กระทั่งเวลาล่วงเลยเกือบตีห้าครึ่ง งานทั้งหมดก็เรียบร้อย
“อื้อ ปวดหลังจัง” เธอบิดกายไปมาสองสามรอบ เพื่อสลัดอาการเมื่อยล้าออกจากร่างกาย
“นี่ค่าจ้างวันนี้”
“ขอบคุณค่ะ” แก้มหวานยื่นมือรับเงินจากผู้จัดการร้าน ค่าจ้างของเธอเป็นการทำแบบเหมารายวันและจ่ายทุกวันหลังจบงาน
“ความจริงหวานเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง สนใจออกไปทำงานหน้าร้านไหม รายได้ดีกว่าล้างจานแน่นอน” ผู้จัดการร้านเอ่ยขึ้นพลางกวาดสายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เธอค่อนข้างพึงพอใจในรูปร่างและหน้าตาของแก้มหวานมาก หากได้ออกไปรับแขกคาดว่าลูกค้าคงเยอะขึ้นกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นหวานขอตัวกลับก่อนนะคะ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเธอถูกทาบทามเรื่องนี้ ตั้งแต่ทำงานที่นี่สองเดือนผู้จัดการร้านมักเกลี้ยกล่อมเสมอ เธอไม่คิดจะทำย่อมทราบดีเป็นงานแบบไหน
หลังจากแก้มหวานออกจากร้านเหล้าสำเร็จ เธอย่างเท้ากลับบ้านทันใดเนื่องจากมีเวลานอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงต้องรีบตื่นไปเรียนต่อ เธอไม่รู้ตัวสักนิดขณะนี้มีแววตาคู่หนึ่งจ้องมองแผ่นหลังเล็กแบบไม่กะพริบ
“เหอะ คนดีของคุณแม่เพิ่งจะออกจากร้านเหล้าตอนตีห้า” ควินตันบังเอิญขับรถผ่านทางนี้พอดี ระหว่างกำลังมุ่งหน้ากลับคอนโดหลังจากผ่าตัดคนไข้ฉุกเฉินเรียบร้อย คาดไม่ถึงจะเจอแก้มหวานลูกสาวเพื่อนสนิทมารดาที่บอกว่าแสนดีนักหนา
ชายหนุ่มถึงขั้นส่ายหัวไปมาอย่างไม่ชอบใจ จากไม่ชอบหญิงสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกลายเป็นรังเกียจยิ่งขึ้น
“อย่าหวังว่าผู้หญิงอย่างเธอจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ฉันจะทำให้คุณแม่เปลี่ยนใจไม่บังคับฉันแต่งงานกับเธอแน่นอน” ว่าจบใส่เกียร์และออกรถทันที นับจากนี้เขาต้องหาวิธีกระชากหน้ากากผู้หญิงหน้าเงินให้ได้
เมื่อแก้มหวานกลับมาถึงบ้านไม่รอช้าชำระร่างกายและล้มตัวลงบนเตียงขนาดกะทัดรัด
“อื้อ เหนื่อยจังวันนี้” เสียงหวานพึมพำพร้อมแหงนหน้ามองเพดานห้องสีขาวล้วน ทันทีที่ศีรษะถึงหมอนผล็อยหลับทันที
หลายวันต่อมา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้คนกำลังก้าวเดินออกจากลิฟต์หยิบขึ้นดูก่อนเห็นว่าเป็นใครไม่รอช้ากดรับสายอย่างไว
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
(หนูหวานทำอะไรอยู่เหรอ ช่วงบ่ายว่างไหม)
“หวานเพิ่งเรียนเสร็จค่ะ คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
(ดีเลยหนูหวาน งั้นหนูไปที่ร้าน Marilla Wedding)
“ไปทำไมคะ” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน
(หนูหวานลืมแล้วเหรอว่าป้าได้ฤกษ์แต่งงานหนูกับควินแล้ว หนูหวานต้องไปลองชุดสิถ้าหนูหวานกับควินไม่แต่งเดือนหน้า ปีนี้ก็ไม่มีฤกษ์แล้วโน้นแหละยาวไปถึงปลายปีหน้าเลย ป้ารอไม่ไหวหรอก)
“เอ่อ แล้ว…”
(หนูหวานไปที่นั่นก่อนเถอะ เดี๋ยวป้าส่งโลเคชั่นให้ส่วนพี่เขาจะตามไปทีหลัง) ขอบฟ้ารู้ว่าแก้มหวานจะพูดอะไรรีบแทรกขึ้นทันใด
“ค่ะ” หลังจบบทสนทนา เธอพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“โอเคไหมหวาน” โคลอี้เพื่อนสนิทแก้มหวานแตะไหล่มนของเพื่อนแผ่ว เธอยืนเงียบตั้งแต่ออกจากลิฟต์พร้อมแก้มหวานและได้ยินทุกการสนทนาระหว่างเพื่อนกับคนปลายสายชัดเจน
“หวานไม่เป็นไร” เผยยิ้มแก่เพื่อนตรงหน้า ไม่แปลกใจโคลอี้จะถามอย่างนี้เพราะเธอเล่าเรื่องตนเองคร่าว ๆ ให้เพื่อนฟังบ้าง
“ไม่แต่งไม่ได้เหรอกับลูกชายเพื่อนแม่คนนี้” โคลอี้บอกด้วยความเป็นห่วงเพื่อนสนิท เธอไม่อยากให้แก้มหวานแต่งงานกับคนที่ไม่รักเพียงเพราะอยากตอบแทนบุญคุณ
“หวานอยากปฏิเสธคุณป้าเหมือนกันแต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไรหวาน” มองเพื่อนเชิงสงสัย เธอรู้สึกเหมือนแก้มหวานมีบางอย่างปิดบัง
“ไม่มีอะไรหรอก หวานขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งดีไหม”
“ไม่เป็นไรหวานไปเองได้ ไว้เจอกันโคลอี้” เธอโบกมือลาเพื่อนสนิท จากนั้นวิ่งไปหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอรถแท็กซี่ไปร้านชุดแต่งงานตามที่ขอบฟ้าส่งมา
รถแท็กซี่แล่นจอดสถานที่มุ่งหมาย แก้มหวานยื่นธนบัตรค่าโดยสารที่บอกจำนวนเงินตรงมิเตอร์ก่อนเปิดประตูลงแล้วก้าวเข้าไปข้างในซึ่งมีพนักงานสองคนยืนต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ ใช่คุณแก้มหวานหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ” พนักงานสาวคนหนึ่งผายมือเชื้อเชิญเธอไปยังโซฟารับรองแขก
“คุณแก้มหวานนั่งรอก่อนนะคะ ดิฉันขอไปยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ”
“ค่ะ” พยักหน้ารับก่อนนั่งคอยอย่างใจเย็น
เกือบสองชั่วโมงยังคงไร้ร่างว่าที่เจ้าบ่าว แก้มหวานแอบใจเสียเล็กน้อยที่เขาไม่ได้มาตามนัดแต่พยายามเข้าใจว่าอาจติดคนไข้ ก็เข้าเป็นหมอไม่แปลกจะยุ่งตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรนะหวาน รออีกหน่อยเถอะ” เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง เธอนั่งรอเขาจนแล้วจนรอดจนถึงสามชั่วโมงควินตันไม่โผล่หน้าสักที
“เอ่อ คุณแก้มหวานรับอะไรเพิ่มอีกไหม”
“ไม่แล้วค่ะ” หญิงสาวส่ายหัวไปมาพลางฉีกยิ้มกว้างแก่พนักงาน
“คุณแก้มหวานจะลองชุดก่อนไหมคะ” พนักงานเห็นว่าเธอนั่งรอตั้งนานแล้วจึงลองเสนอแนะ
“ก็ได้ค่ะ” เพราะอีกไม่นานใกล้ถึงเวลาเข้างาน ขืนเธอยังนั่งรออีกสักพักคงได้เข้างานสายแน่นอน สุดท้ายจำใจต้องเลือกชุดก่อนโดยไม่รอเจ้าบ่าว
“คุณแก้มหวานอยากได้ชุดแบบไหนดีคะ เดี๋ยวดิฉันช่วยแนะนำ”
“แบบไหนก็ได้ค่ะ หวานขอที่ราคาไม่แพง”
“เอ่อ แต่คุณขอบฟ้าอยากให้คุณแก้มหวานเลือกชุดที่ดีที่สุด ไม่ทราบว่า…”
“เอาแบบที่หวานบอกนั่นแหละค่ะ” งานแต่งไร้ความรักจากเจ้าบ่าว คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้นจำเป็นต้องใช้ของแพง ๆ อีกอย่างเงินซื้อชุดไม่ใช่เงินของตัวเอง เธอไม่อยากถูกเขาตำหนิเรื่องใช้เงินฟุ่มเฟือย
“ค่ะ งั้นเชิญทางนี้”
หลังจากแก้มหวานได้ชุดตามต้องการ เธอรีบเดินจ้ำอ้าวไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านและเตรียมตัวทำงานต่อช่วงเย็น ไม่ทันสังเกตขณะนี้มีรถหรูคันหนึ่งจอดอยู่หน้าร้านชุดแต่งงาน โดยคนในรถจ้องมองตามแผ่นหลังเล็กแบบไม่ละสายตา
“เหอะ! อยากแต่งงานกับฉันมากสินะ” แค่คิดว่าแก้มหวานเข้าหาครอบครัวตัวเองเพื่อเงินก็รู้สึกขยะแขยงเต็มที
ครืด!
“ครับคุณแม่” ควินตันกดรับสายเบอร์ที่โทรเข้ามา
(ควินลูกไม่ได้ไปลองชุดแต่งงานเหรอ)
“ลูกรักของคุณแม่คงโทรไปฟ้องใช่ไหม” เขายกยิ้มมุมปากขณะเดียวกันชำเลืองมองคนตัวเล็กตรงป้ายรถเมล์ด้วยสายตาชิงชัง
(หนูหวานไม่ได้เป็นคนโทรมาฟ้องอะไรทั้งนั้น เลิกทำเหมือนเกลียดหนูหวานสักที น้องไปทำอะไรให้ลูกนักหนา)
“ผมไม่ได้ทำเหมือนเกลียด แต่ผมเกลียดเธอจริง ๆ รังเกียจด้วยครับ เป็นไปได้อยากยกเลิกงานแต่งเลย”
(เอ๊ะควินอย่าพูดแบบนี้อีกถ้าหนูหวานได้ยินคงรู้สึกเสียใจแย่ แม่ไม่เข้าใจเลยทำไมลูกต้องอคติกับน้องขนาดนี้)
“ถ้าคุณแม่โทรมาแค่ด่า งั้นผมวางละกัน” ควินตันไม่มีอารมณ์สนทนากับมารดา เขาวางสายและโยนโทรศัพท์ไปเบาะหลังอย่างหัวเสีย
“คนอย่างเธอมีดีอะไรนักหนา แม่ฉันถึงรักเธอมากกว่าลูกอย่างฉัน” มือหนากำพวงมาลัยรถแน่นเผยให้เห็นเส้นเลือด
ตราบใดยังไม่ถึงวันแต่งงาน เขาต้องหาทางยกเลิกงานแต่งให้ได้เพราะเขาไม่มีทางใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงสำส่อนและหวังแค่สมบัติของครอบครัวเด็ดขาด
