EPISODE 5 อยู่ด้วยกัน
“แล้วคุณพักอยู่ที่ไหน”
“ปกติก็อยู่กับพ่อแม่ค่ะ” ฉันพยายามประคองน้ำเสียงให้มั่นคง ทั้งที่หัวใจเต้นรัวแรงแทบทะลุออกจากอก
“แสดงว่าตอนนี้ไม่ปกติสินะ”
“ค่ะ”
“เพราะเรื่องท้องใช่มั้ย”
ฉันพยักหน้าช้า ๆ ลมหายใจเริ่มติดขัด ไหน ๆ ก็พูดมาถึงตรงนี้แล้ว จะให้ถอยหลังกลับเห็นทีจะไม่ได้
“ฉันออกมาจากบ้านแล้วค่ะ”
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
“ฉันไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนค่ะ แต่เพิ่งออกมาเพราะเกรงใจ แล้วอีกอย่างเพื่อนก็อยู่กับแฟนด้วย ฉันเลยคิดว่าควรจะเอาเงินก้อนสุดท้ายที่มีไปเช่าห้องอยู่ก่อน”
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงโกหก สร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ ซึ่งเห็นว่าคิ้วเข้มของอีกฝ่ายเลิกขึ้นราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
อันที่จริงก็ไม่แปลกอะไรหรอก เพราะคำพูดประโยคไหนของฉันที่มันดูน่าเชื่อถือบ้างล่ะ
“อีกอย่าง ฉันก็ออกจากบ้านมาแต่ตัว คิดว่าไว้ค่อยไปตายเอาดาบหน้า”
“คุณเลยจะไปสมัครงานกลางคืนที่นั่น?”
“ใช่ค่ะ เงินน่าจะดีกว่างานทั่วไป แต่ดันไปผิดที่ แต่เดี๋ยวจะไปหาเอาใหม่ ยังไงชีวิตคนเราก็ขับเคลื่อนด้วยเงินนี่เนอะ” ฉันยิ้มขื่น ราวกับจะหัวเราะเยาะโชคชะตาปลอม ๆ ของตัวเอง
“ไม่ต้องไปทำงานแบบนั้นหรอก เพราะผมจะให้คุณมาอยู่ด้วยตั้งแต่ตอนนี้เลย”
“หา!” ฉันร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“จะตกใจอะไรขนาดนั้น ไหนบอกว่าไม่มีที่อยู่ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน”
“ก็...ก็ใช่ค่ะ” ตอบตะกุกตะกัก ไม่รู้ว่าเขาจะจับสังเกตคำพูดโกหกของฉันได้หรือเปล่า
“คนอย่างคุณต้องมาอยู่กับผมนี่แหละ”
"คนอย่างฉันมันทำไมเหรอคะ”
“ถ้าจะให้ผมเดานะ คุณน่าจะเป็นลูกคนมีฐานะพอสมควร เพราะแบบนั้นที่บ้านเลยรับไม่ได้ที่คุณดันท้องก่อนแต่ง”
“เพราะอะไรคุณถึงคิดว่าบ้านฉันมีฐานะล่ะคะ”
“ก็เสื้อผ้าที่คุณใส่ รองเท้าที่คุณสวม รวมถึงกระเป๋าที่คุณถือ ไม่ใช่ของที่คนหาเช้ากินค่ำจะใช้กันหรอก”
“คุณไม่คิดบ้างเหรอคะ ว่ามันอาจจะเป็นของลอกเลียนแบบเกรดพรีเมียม” ฉันย้อนกลับเสียงเรียบ ทั้งที่ในใจอยากจะตะโกนใส่หน้าว่าอย่ามาจับสังเกตรายละเอียดบนตัวของฉันขนาดนั้นสิ
“ผมเห็นของพวกนี้จนชินตาแล้วละ”
“ซื้อให้สาว ๆ บ่อยสินะคะ” ฉันถามพร้อมเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากอย่างประชด
“...”
“หรือไม่ก็เพราะมีสาวข้างกายไม่ซ้ำหน้า เลยดูของพวกนี้ออกโดยสัญชาตญาณ”
“ถ้าคุณคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็เอาเถอะ”
ฉันเบะปากเล็กน้อยอย่างหมั่นไส้ ใช่สิ เขามันทั้งหล่อเหลา ทั้งรวยโคตร ๆ สาว ๆ คนไหนก็อยากเข้าหา รวมถึงพี่พราวก็ด้วย แต่รับรองว่าไม่ใช่ฉันแล้วหนึ่ง
“เดี๋ยวผมจะจัดการทุกอย่างให้เอง คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ลุกขึ้นสิ เดี๋ยวพาไปดูห้องนอน”
ฉันลุกขึ้นอย่างว่าง่าย แต่พอลุกเร็วเกินไป ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือน ร่างเซเล็กน้อย โชคดีที่เขาคว้าเอวไว้ทัน
“ไหวหรือเปล่า ผมว่าไปพักก่อนดีกว่ามั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่หน้ามืดนิดหน่อย”
“แน่ใจนะ?”
ฉันพยักหน้ายืนยัน หลังจากนั้นเขาจึงเดินนำไปยังห้องต่าง ๆ เพนต์เฮาส์หลังนี้มีสองห้องนอนขนาดใหญ่ติดกัน มีห้องน้ำในตัว ห้องครัว และโถงนั่งเล่นก็ออกจะกว้างขวาง แต่ฉันคิดว่าถ้าต้องอยู่คนเดียวมันก็อาจจะเหงาเกินไป
“คุณเคยพาผู้หญิงคนอื่นมาที่นี่หรือเปล่าคะ”
“เคย”
คำตอบสั้น ๆ ของเขาเหมือนกระสุนที่เฉียดเข้าหัวใจ นึกเห็นใจพี่สาว ฉันจึงยืนนิ่งไปชั่วครู่ ความเงียบระหว่างเรากลับหนักอึ้งขึ้นมาทันที หรือนี่คือธาตุแท้ของนายคนนี้กันนะ
“นี่คือห้องส่วนตัวของคุณ” เขาพูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เสื้อผ้ากับของใช้ เดี๋ยวผมจะจัดการให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง มีอะไรก็เรียกได้ ห้องผมอยู่ข้าง ๆ ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ดึกมากแล้ว อาบน้ำพักผ่อนเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแต่ยังคงฟังดูห่างเหิน ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไร
ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะปิดประตูห้อง แล้วปรี่ไปทิ้งตัวลงบนเตียงเต็มแรง ราวกับอยากจมหายไปกับผ้าห่มนุ่มนิ่ม ความรู้สึกหลากหลายวนเวียนอยู่เต็มอก
ฉันจึงรีบคว้าสมาร์ตโฟนขึ้นมากดหาพี่พราวทันที เสียงเธอดังขึ้นในสายอย่างสงบ ในขณะที่ฉันแทบจะร้องไห้ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
ส่วนพี่พราวก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องทางบ้าน เดี๋ยวจะจัดการให้เอง แค่ให้ฉันสวมบทบาทตรงนี้ให้ดีที่สุดก็พอ
ฉันถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แล้วถามซ้ำ ๆ ว่าที่ให้ฉันทำแบบนี้ หมายความว่า จะไม่เอาผู้ชายคนนี้แล้วจริง ๆ ใข่มั้ย เพราะฉันไม่อยากหน้าแตก แล้วต้องกลับไปกินอาหารหมาหรอกนะ
พี่พราวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับย้ำนักย้ำหนาว่า ห้ามฉันเผลอใจไปรักหรือมีความผูกพันกับเขาเด็ดขาด
ฉันจึงรับปาก ไหน ๆ มันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว จะให้ทำยังไงได้อีก ในเมื่อฉันดันเลือกจะ บินเข้ากองไฟด้วยตัวเอง
ฉันนอนนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ ล้างคราบความเหนื่อยล้าออกจากตัว น้ำอุ่นช่วยให้ใจสงบลงได้บ้าง แต่พอออกมาในชุดคลุมอาบน้ำ ฉันก็แทบกรี๊ดออกมาเสียงดัง เพราะลืมไปว่าไม่มีชุดนอน!
ฉันถอนหายใจแรงจนไหล่ตก ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่มั่นใจนัก แล้วกดกริ่งหน้าห้องของเขา
ไม่นานประตูก็เปิดออก เขายังอยู่ในชุดเดิม กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยมากระทบจมูกทันที
“ฉันไม่มีชุดนอนค่ะ” ฉันพูดเสียงเบาหวิว ไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ
“ผมกำลังจะเอาไปให้พอดี” เขาตอบนิ่ง ๆ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะถือชุดนอนที่คาดว่าน่าจะเป็นเสื้อกับกางเกงของเขามายื่นให้ฉัน
“ที่เป่าผมอยู่ในลิ้นชักนะ อย่าลืมเป่าผมให้แห้งละ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับชุดนอนมา แล้วหมุนตัวจะกลับห้อง แต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
คำพูดนั้นทำเอาหัวใจฉันหล่นวูบลงสู่ตาตุ่ม ความเครียดพวยพุ่งขึ้นสู่สมองในชั่วพริบตา
“ทำไมต้องไปคะ”
“ไปตรวจร่างกายให้ละเอียด ผมเดาว่าคุณยังไม่ได้ฝากครรภ์ใช่ไหม”
ฉันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
“ผมนัดหมอไว้แล้ว เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน”
“ค่ะ” ฉันพูดได้แค่นั้น ทั้งที่ในใจอยากจะกรีดร้องลั่นบ้าน หลังจากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องอย่างร่างไร้วิญญาณ
จะทำยังไงดีล่ะ หมอจะตรวจอะไรบ้างนะ อย่างน้อยต้องตรวจฉี่แน่ ๆ แล้วฉันจะทำยังไงดี ในเมื่อฉันไม่ได้ท้อง
ฉันนั่งลงข้างเตียง เอามือกุมขมับ ความคิดตีกันในหัวไม่หยุด เหมือนสมองจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ บางทีฉันก็อยากเอาหัวตัวเองโขกผนังให้จบ ๆ ไปเสียตอนนี้
สุดท้ายฉันก็ได้แต่นั่งนิ่ง พร้อมความสับสนที่จู่โจมเข้ามาอีกระลอก ว่านี่ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่!
