EPISODE 6 เรื่องที่ต้องรู้
ฉันนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงอันไม่คุ้นชินแทบนับครั้งไม่ถ้วน ความเงียบสงัดภายในห้องชวนให้จิตใจฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดี ฉันจึงผุดลุกขึ้นนั่งพลางยีหัวตัวเองจนผมเผ้าพันกันยุ่งเหยิง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อตอนกลางวัน ฉันเพิ่งบุ่มบ่ามไปประกาศกร้าวเรื่องท้องกลางคาเฟ่ พอตกกลางคืนฉันกลับมาอยู่ในอาณาเขตเดียวกันกับเขาซึ่งมีเพียงผนังห้องขั้นกลางระหว่างเรา
เห้อ...
ท้ายที่สุดฉันก็ตัดสินใจพาตัวเองออกจากเตียง เพื่อไปหาน้ำเย็น ๆ ดื่มหวังดับอาการปั่นป่วนในอก เผื่อว่ามันจะทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
แต่ทันทีที่เปิดประตูห้อง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ท้องของฉันส่งเสียงประท้วงออกมา ฉันจึงค่อย ๆ ปิดประตูอย่างแผ่วเบาแล้วเดินย่องมุ่งหน้าไปยังห้องครัว
ตอนนี้ฉันกำลังทำตัวราวกับโจรที่แอบขึ้นบ้านคนอื่น ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำอะไรให้น่าสงสัยแบบนี้ด้วย
ย่อง ๆ ~
ทันทีที่ฉันเข้ามาหยุดอยู่ในห้องครัวก็ถึงกับลอบพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ปัญหาอีกอย่างคือสวิตช์ไฟมันอยู่ตรงไหนนี่สิ เพราะก่อนหน้านี้ตอนเดินมาฉันอาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องนำทางเพียงริบหรี่
ฉันพยายามควานหาสวิตช์ไฟ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะพบจึงหมุนตัวกำลังจะหันหลังกลับ คิดว่าน่าจะอยู่ตรงผนังอีกฟากหนึ่ง แต่แล้ว…
กรี๊ด
“ถาเถร แม่แหก!”
ฉันชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่มันแข็ง ๆ ทำเอาหัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มพร้อมกับไฟที่ถูกเปิดจนสว่างเจิดจ้า
“อุทานได้น่าเกลียดมาก”
“คุณ! ฉันตกใจหมด นึกว่าผีหลอกตั้งแต่คืนแรกแล้ว”
“ผีเผออะไรกัน ที่นี่ไม่มีหรอก”
“ฉันหัวใจแทบวาย” ใช้มือลูบหน้าอกตัวเองเบา ๆ
“ตื่นมาป่านนี้แล้วหิวสินะ”
“ฉันยังไม่นอนต่างหากเล่า”
“หืม?”
“แต่เรื่องหิว ก็ใช่นั่นแหละ”
“นอนดึก แถมยังกินดึกแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน”
ฉันทำเป็นไม่ได้ยินคำบ่นอย่างกับตาแก่ของเขาแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังตู้เย็นก่อนจะเปิดออก
“มีแต่อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งทั้งนั้น พอดีผมไม่ค่อยได้ทำอาหารเอง”
“ฉันกินได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
“คุณมาอยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายได้เลย ขอแค่อย่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายในห้องนอนของผมก็พอ”
“เข้าใจค่ะ” ฉันยิ้มแหย ๆ ถึงเขาไม่บอกก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ ว่าห้องนอนเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวายเป็นอันขาด
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาไปหาซื้อวัตถุดิบมาไว้”
ฉันพยักหน้าแล้วหยิบข้าวต้มกุ้งออกมาอุ่นพลางรออย่างใจจดใจจ่อเพราะความหิว หลังจากนั้นจึงหันไปถามเขาพอเป็นพิธี
“คุณไม่หิวเหรอคะ”
“ผมไม่ชอบกินตอนดึก มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“เป็นคนดูแลสุขภาพดีจังเลยนะคะ”
“ถ้าดูแลไม่ดี ไม่ช้าไม่นานมันก็จะพัง”
ฉันหัวเราะเบา ๆ รู้สึกเหมือนถูกต่อว่าอยู่กลาย ๆ ยังไงก็ไม่รู้ แต่เขาคงไม่ได้หมายถึงแบบนั้นก็ได้นี่เนอะ
หลังจากนั้นไม่นาน ข้าวต้มกุ้งก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ยิ่งทำให้ฉันอดใจไม่ไหว รีบยกไปวางลงบนโต๊ะแล้วนั่งตักข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ดูท่าจะหิวจริง ๆ ” เขาพูดพลางยืนพิงเคาน์เตอร์มองมา
“ก็นิดหน่อยค่ะ”
“ไม่นิดหรอกมั้ง”
ฉันยิ้มแห้งแล้วกินต่อจนหมดถ้วยในเวลาเพียงไม่นาน ก่อนจะได้ยินเสียงเขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแก้วที่ถูกวางลงตรงหน้า
“ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอนจะได้หลับสบาย”
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ”
“แต่ตอนนี้คุณกำลังมีเด็กอยู่ในท้อง”
ฉันชะงักไปเล็กน้อย เม้มริมฝีปากเข้าหากันด้วยความรู้สึกหนักใจก่อนจะปริปากถาม
“นมอะไรเหรอคะ”
“นมวัวสิ หรือคุณแพ้?”
“ใช่ค่ะ ฉันแพ้นมวัว แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ”
“ผมจะจำไว้ก็แล้วกัน แล้วมีอย่างอื่นที่แพ้อีกไหม อาจจะเพิ่งมาแพ้ตอนท้องก็ได้ ผมคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องรู้นะ”
“คิดว่าไม่น่าจะมีแล้วค่ะ”
“ไม่น่าจะมีแล้ว?”
“คือฉันเองก็เพิ่งจะท้องอ่อน ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนี้จะแพ้หรือไม่แพ้อะไร”
“เข้าใจแล้ว”
ฉันหลุบตามองถ้วยข้าวต้มที่หมดเกลี้ยงเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาซึ่งไม่รู้ว่ากำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาแบบไหน
“คุณอย่าเพิ่งนอนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเป็นกรดไหลย้อน”
“มีอะไรน่าสนใจให้ทำฆ่าเวลาบ้างคะ”
“ดูหนังสักเรื่องเป็นไง”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ ว่าแต่คุณยังไม่ง่วงเหรอ”
“ยังหรอก”
หลังจากนั้นเราทั้งสองคนจึงย้ายไปนั่งบนโซฟาบริเวณโถงกว้างของโซนนั่งเล่น หนังแนวแฟนตาซีเริ่มฉาย แต่เนื้อเรื่องกลับฟังดูซับซ้อนเกินไปสำหรับสมองง่วง ๆ ของฉัน
ไม่กี่นาที เปลือกตาของฉันก็เริ่มหนักอึ้ง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งรู้สึกว่ามีใครบางคนขยับตัวอยู่ข้าง ๆ ก่อนเสียงทุ้มอันคุ้นเคยจะดังขึ้นใกล้ๆ
“คุณ ตื่นได้แล้ว”
ฉันค่อย ๆ ลืมตา แล้วพบว่าตัวเองกำลังนั่งพิงไหล่ของเขาอยู่และมันใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ชวนให้รู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด
“ฉันหลับไปตั้งแต่ตอนไหนคะ”
“ตั้งแต่สิบนาทีแรกที่หนังเริ่มแล้วละ จนถึงตอนนี้หนังก็จบเรียบร้อยแล้ว”
“อย่างนั้นสินะคะ”
“ขึ้นไปนอนได้แล้ว ผมเมื่อยจะแย่”
“ขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณต้องลำบาก”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะถ้าขืนคุณเป็นกรดไหลย้อนขึ้นมา ผมอาจจะลำบากกว่านี้แน่”
ฉันหันไปเบะปากใส่เขาตรง ๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้ฉันหน้ามืดอีกครั้งและรู้สึกว่าช่วงนี้จะเป็นแบบนี้บ่อยเกินไปแล้ว หรือบางทีน้ำตาลอาจจะตกก็เป็นได้
พรุ่งนี้ฉันจะหาข้ออ้างเข้าข้างตัวเองแล้วกินของหวานทุกอย่างที่อยากกินเลยคอยดู
“ทีหลังอย่าหุนหันลุกแบบนี้อีกเข้าใจมั้ย” น้ำเสียงของเขาออกจะดุ อีกทั้งสีหน้ายังเต็มไปด้วยความจริงจัง
“เข้าใจแล้วค่า”
“เดินไหวหรือเปล่า”
“ไหวค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ผมไม่เชื่อหรอก ค่อย ๆ เดินก็แล้วกัน” ไม่พูดเปล่ายังพยุงให้เดินไปพร้อม ๆ กันด้วยความระมัดระวัง
ฉันคอยลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่เป็นระยะ การกระทำทุกอย่างที่เขาทำมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดจนไม่อยากให้อภัยตัวเอง และอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อวันที่ความลับถูกเปิดเผยมาถึง ชีวิตหลังจากนั้นของฉันจะเป็นอย่างไร