EPISODE 4 ถ้อยคำโกหก
HOT BAR ย่านสาทร
“น้ำลายไหลยืดแล้วนั่น”
เสียงของพี่พราวเรียกสติฉันให้กลับคืนมา ก่อนจะใช้หลังมือปาดมุมปากตามสัญชาตญาณ ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเลย
“ไม่เห็นจะมีน้ำลายสักหยด” ฉันพูดพลางคว้าแก้วน้ำแตงโมปั่นมาดูด
“ตอนแรกออกจะระริกระรี้ที่ได้มาเที่ยว แต่พอเอาเข้าจริง ทำไมมานั่งกินน้ำแตงโมปั่นกับถั่วทอดอยู่ล่ะ”
“น้องแค่อยากออกมาหาอาหารตาก็เท่านั้น”
“แล้วไม่คิดจะดื่มกับพี่หน่อยเหรอ”
พี่พราวถามหลังจากหนุ่ม ๆ ที่เราเรียกมาบริการกลับไปประจำที่ของตัวเองเพื่อเตรียมการแสดงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ให้สาวน้อยสาวใหญ่ชุ่มฉ่ำหัวใจ
“ไม่เอาหรอก”
“เห็นเมื่อก่อนชอบดื่มอย่างกับลำยอง ทำไมถึงเลิก? แปลก ๆ นะเราอะ มีเรื่องอะไรที่ปิดบังพี่ไว้หรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ฉันส่ายหน้าแล้วโยนถั่วทอดเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ
“หรือกลัวเมาแล้วโดนแม่ด่า เหมือนวันที่แกกลับบ้านเช้าอย่างตอนนั้น”
“พอได้แล้ว ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแหละ แค่ไม่อยากดื่มเฉย ๆ ”
ฉันรู้ดีว่าพี่พราวกำลังพูดถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนก่อน ที่ฉันไปเลี้ยงส่งเพื่อนที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ วันนั้นฉันกลับบ้านตอนฟ้าสางจนแม่แทบจะโทรแจ้งความตามหาคนหาย และเรื่องมันก็จบไปแล้ว ฉันไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาอีก
“พูดนิดเดียวทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย”
“น้องขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
ฉันรีบลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำแล้วเปิดน้ำล้างมือ พลางมองตัวเองในกระจก เครื่องสำอางที่แต่งแต้มไว้ด้วยความตั้งใจโดยฝีมือของพี่สาว บนใบหน้าของฉันกลับดูหม่นเศร้าในแสงไฟสลัว ฉันพ่นลมหายใจออกช้า ๆ ก่อนจะเดินกลับออกไปอีกครั้ง
แต่พอมาถึงโต๊ะ กลับไม่เห็นพี่พราวแล้ว ฉันจึงหยิบสมาร์ตโฟนออกมาดู ก็เดาได้ไม่ยาก พี่สาวฉันส่งข้อความมาว่าออกไปเที่ยวแถว ๆ นี้กับหนุ่มโฮสคนที่เธอถูกตาต้องใจก่อนหน้านี้
และแน่นอนว่า... ฉันโดนทิ้ง
ฉันจึงตัดสินใจเดินออกจากบาร์ แต่ทันทีที่ก้าวพ้นประตู ก็ชนเข้ากับคนที่ฉันไม่อยากเจอที่สุดในโลก
“คุณ!”
“พริม”
เสียงเรียกชื่อฉัน ทำเอาหัวใจกระตุกไปชั่วขณะ พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า นี่เราสนิทกันแล้วหรอกเหรอ
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉัน...” ฉันอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบยังไงดี สถานที่แบบนี้ ฉันคงไม่ได้มานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมแน่ ๆ
“มาเที่ยว?”
“ปะ เปล่าค่ะ”
“ใช่สิ ท้องอยู่นี่ จะมาเที่ยวที่แบบนี้ได้ยังไงกัน”
คำว่า ‘ท้อง’ จากปากเขาทำให้ฉันพูดไม่ออกทันที
“แต่ก็ดีที่เจอ พอดีผมไม่มีช่องทางติดต่อคุณเลย แล้วคุณเองก็ไม่ยอมติดต่อมา”
“พอดีฉันทำนามบัตรของคุณหายค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ คิดว่าคุณหลบหน้าผมเสียอีก”
ฉันนิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เพราะมันเป็นไปอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ
“สรุปคุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉัน ฉันจะมาสมัครงานค่ะ แต่พอเข้าไปก็รู้ว่ามันเป็นบาร์โฮส” โกหก ฉันโกหกอีกแล้ว หากคุณโกหกตั้งแต่ครั้งแรก ครั้งต่อมาก็จะเต็มไปด้วยถ้อยคำโกหก
“ลำบากมากสินะ” น้ำเสียงของเขาฟังดูเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก
ฉันจึงพยักหน้าเบา ๆ อย่างจำใจ
“ไปคุยกันข้างนอกเถอะ สถานที่แบบนี้ไม่ดีสำหรับคนท้อง”
เขาพูดพลางจับข้อมือฉันให้เดินตามออกมา ฉันเองก็ไม่ได้ขัดขืน เพราะในหัวเต็มไปด้วยความสับสน
“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”
ฉันมองหารถของเขา ไม่ใช่คันเดิม แต่เป็นรถสีแดงเพลิงราคาแพงระยับ รวยจริง ๆ นะ พ่อคุณ
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ” ฉันถามหลังจากเข้ามานั่งในรถของเขา
“เพนต์เฮาส์ของผม”
“คือฉัน...”
“ไหนคุณเคยบอกว่าเรามันคนเคย ๆ ยังจะกลัวอะไรอีก”
“ฉันไม่ได้กลัวสักหน่อย”
“ดี งั้นเราจะได้คุยกันเรื่องก่อนหน้านี้ให้ชัดเจน”
เขาขับรถต่อไปเงียบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอโทษเรื่องเมื่อกลางวันด้วยนะ ที่เผลอขึ้นเสียงใส่คุณ ผมลืมไปว่าคุณอาจจะแพ้ท้อง เลยอ้วกออกมาแบบนั้น”
“อีกอย่าง คุณควรเลิกใส่ส้นสูงได้แล้ว มันอันตราย แล้วก็อย่าวิ่งแบบนั้นอีก ถ้าหกล้มขึ้นมาจะไม่ดีต่อเด็ก”
ฉันเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรดี ความเป็นห่วงที่เขาเอ่ยออกมา ทำให้ฉันใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เหมือนที่พี่พราวเล่าให้ฟังเลย แต่คนเราน่ะ สวมหน้ากากเข้าหากันได้ทั้งนั้น อย่างที่ฉันกำลังทำอยู่นี่ไง
“ตอนนี้ยังเวียนหัวอยู่ไหม”
“ไม่แล้วค่ะ”
“ได้กินอะไรหรือยัง”
“กินแล้วค่ะ”
“กินของที่มีประโยชน์หรือเปล่า”
“ก็คงมีนะคะ”
“เช่น?”
“น้ำแตงโมปั่นค่ะ”
“ชอบน้ำแตงโมปั่นเหรอ”
“ไม่เชิงค่ะ แค่รู้สึกอยากกินเฉย ๆ ”
“ผมชอบมากเลยนะ แต่ต้องเอาเมล็ดสีดำ ๆ นั่นออกให้หมด”
“เหรอคะ”
“อืม”
หลังจากนั้น เราสองคนก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนกระทั่งถึงเพนต์เฮาส์ของเขา
ที่นั่นหรูหรากว่าที่คิด โทนสีขาวดำดูสะอาดและโมเดิร์นเข้ากันกับผู้เป็นเจ้าของ ฉันรู้สึกเกร็งนิดหน่อย แม้บ้านฉันเองก็ไม่ขัดสน แต่บรรยากาศแบบนี้มันแตกต่างกันเหลือเกิน
“นั่งก่อนสิ อยากกินอะไรไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันตอบพลางนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม
“งั้นเราเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
เขาหยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าที่วางอยู่ไม่ไกลพลางยื่นให้ ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ผมไปปรึกษาทนายมาแล้ว นี่เป็นสัญญาของเราสองคน”
“สัญญา?”
“ใช่ ลองอ่านดู”
ฉันจึงรับมาถือไว้พลางกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรบนนั้น
ข้อหนึ่ง เขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับตัวฉัน
ข้อสอง ฉันต้องย้ายมาอยู่กับเขาเพื่อให้เขาดูแลได้เต็มที่
ข้อสาม เขาจะดูแลฉันจนกว่าจะคลอด แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าเด็กคลอดออกมาแล้วไม่ใช่ลูกของเขา ฉันต้องชดใช้ค่าเสียหายห้าล้านบาท
“นี่มันอะไรกันคะ”
“คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีว่าเด็กเป็นลูกของใคร และถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง คุณไม่ต้องกลัวอะไรเลย”
"แล้วถ้าเด็กเป็นลูกของคุณจริง ๆ ล่ะคะ"
"เมื่อถึงตอนนั้น ผมจะทำในสิ่งที่ควรทำ"
"อย่างเช่นอะไรคะ"
"ไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อน แล้วคุณก็จะรู้เอง"
"..."
“ถ้าคุณไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากนี้ ก็เซ็นได้เลย”
ฉันนิ่งคิดอยู่นาน จะบอกความจริงทั้งหมด... หรือจะปล่อยให้เรื่องมันดำเนินต่อไปแบบนี้
“คุณอยากมีลูกไหมคะ” ฉันถามเบา ๆ
“ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน”
“แล้วถ้า...” ยังไม่ทันพูดจบ เสียงสมาร์ตโฟนฉันก็ดังขึ้น พี่พราวโทรมา
ฉันขอปลีกตัวออกมารับสายแล้วพยายามลดเสียงการสนทนาให้เบาที่สุด
“ว่าไงพี่”
(พี่เจออีตานั่นควงผู้หญิงเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน แถว ๆ บาร์ที่เราไปนั่นแหละ) เสียงของเธอสั่นเครือ
(มันไม่เคยสำนึกกับสิ่งที่ตัวเองทำกับพี่เลยจริง ๆ เพราะงั้น น้องต้องทำตามแผนของเราต่อนะ ทำให้มันรัก แล้วหักอกมันให้ได้ ไอ้คนเห็นแก่ตัว) สิ้นเสียงนั้น สายก็ถูกตัดพร้อมกับหัวใจของฉันที่เต้นแรงไม่เป็นส่ำเพราะความกดดัน
“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถามทันทีที่ฉันเดินกลับมานั่งลงที่เดิม
“เปล่าค่ะ” ฉันตอบเสียงเรียบ แล้วแสร้งถามสิ่งที่อยากรู้
“คุณไปที่บาร์นั้นนานหรือยังคะ”
“ถึงที่นั่นก็เจอคุณก่อนเลย"
"ก่อนหน้านี้ได้แวะที่ไหนมั้ยคะ"
"แวะไปธุระมาเหมือนกัน มีอะไรหรือเปล่า”
อาจจะแวะจู๋จี๋กับผู้หญิงที่พี่สาวฉันไปเห็นแน่ ๆ ฉันจึงไม่ได้สนใจคำถามของเขาแล้วยิงคำถามกลับไปอีกครั้ง
“แล้วคุณไปที่บาร์นั้นทำไมเหรอคะ”
“เพื่อนผมเป็นเจ้าของที่นั่น”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้าช้า ๆ มือที่ถือปากกาเริ่มสั่น แต่สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเซ็นชื่อลงไป ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนยังไงกันแน่
หลังจากนั้นเขาก็รับเอกสารไปจากมือของฉันพลางก้มอ่านชื่อฉันช้า ๆ ราวกับต้องการสลักไว้ในความทรงจำ ฉันคิดว่านั้นนะ
“พริม พริมา…สินะ”
