EPISODE 3 แม่ไม่ยอม
ฉันกลับมาถึงบ้านพร้อมความโล่งอก แต่พอเห็นพี่พราวกำลังนั่งดูทีวีท่าทางสบายใจก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าน้องสาวอย่างฉันต้องไปเผชิญกับอะไรมาบ้าง
“น้องจะบ้าตายอยู่แล้ว” ฉันเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาข้าง ๆ พี่พราวอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้วเริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยอีกฝ่ายไม่ต้องถาม
“หรือเราเอาเรื่องใหญ่เกินไปมาเล่น” ฉันเริ่มไม่ค่อยมั่นใจกับแผนการนั้น
“แต่นั่นมันเป็นความคิดของน้องนะ”
“ตอนแรกน้องก็คิดว่าถ้าโกหกเรื่องนี้ อาจจะทำให้เข้าถึงตัวเขาง่ายนี่นา”
"คนไร้ความรับผิดชอบแบบตานั่น คงไม่เชื่อใครง่าย ๆ หรอก"
"น้องเครียดจนไมเกรนจะกำเริบแล้ว"
“ที่พูดแบบนี้คือน้องอยากเลิกทำใช่มั้ย แต่พี่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้ายกเลิก สัญญาของเราก็ถือว่าเป็นโมฆะ ไม่ว่าคอนเสิร์ตหรือเงินที่ได้ตกลงกันไว้”
“น้องก็อยากช่วยพี่อยู่หรอก”
"ถ้าอยากช่วย ก็ทำตามแผนเดิมนั่นแหละ"
"น้องว่า..."
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจนจบประโยค จู่ ๆ หมอนอิงจากไหนไม่รู้ก็ลอยเข้ามาระหว่างการสนทนาของเราสองพี่น้องพร้อมเสียงอันคุ้นเคย
“ลูกสาวบ้านนี้มันสบายกันจังเลย งานการก็ไม่ต้องทำ วัน ๆ นั่งโชว์หัวหงอกกันสบายเชียว”
“หงอกอะไรกันล่ะแม่ ไม่วัยรุ่นเอาเสียเลย นี่มันผมสีเทาควันบุหรี่ต่างหาก”
พี่พราวหันไปค้อนขวับใส่คุณดาวนภาซึ่งก็คือมารดาของเราสองพี่น้องนั่นเอง
“ของลูกแค่ไฮไลท์ตรงกรอบหน้าเองนะแม่” ฉันพูดขึ้นมาบ้าง
“ฉันเห็นผมพวกแกแล้วก็อดคิดถึงยายไม่ได้จริง ๆ แล้วนี่เรียนจบมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะไปช่วยงานที่ร้านล่ะคุณพริม”
“แม่จ๋า ลูกเพิ่งจบมายังไม่ถึงปี แม่อย่าเพิ่งให้ลูกทำงานเลยนะ ลูกอยากพักผ่อนก่อน”
ฉันคิดหาเหตุผลเพราะยังไม่อยากเข้าไปดูแลร้านเครื่องประดับที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นโดยมีพี่พราวตามสมทบ
“ลูกก็เหมือนกันค่ะ”
“แกนะหยุดเลย ตั้งแต่เรียนจบมา แวะเข้าไปที่ร้านแทบนับครั้งได้ วัน ๆ เอาแต่ไปเที่ยวบ้าผู้ชาย ไงล่ะช่วงนี้ไม่เห็นออกไปไหน โดนเทแล้วงั้นสิ”
คำว่าโดนเททำเอาพี่พราวของฉันเริ่มเบะปากทำท่าจะร้องไห้ แม่จึงเริ่มหันมองหน้าของฉันกับพี่พราวสลับกัน
“แกโดนเทมาจริง ๆ เหรอ”
“เพราะแม่นั่นแหละ ไม่ยุติธรรมกับลูก”
“ไม่ยุติธรรมอะไรของแก ทุกวันนี้ก็สุขสบายเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องนี่”
“แต่แม่ไม่แบ่งความอึ๋มแบบแม่กับน้องมาที่ลูกเลย”
“ก็แล้วฉันให้เงินแกไปอัปไซซ์ก็ไม่เอา”
“ก็มันไม่ธรรมชาติ แม่ไม่เข้าใจหรอก”
“ถึงแกจะบ่น มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“เพราะแบบนี้ไง อีตานั่นมันถึงบอกเลิกหนู”
“แกเป็นฝ่ายโดนบอกเลิกจริง ๆ เหรอ” แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ
“ฮือ”
“มันเป็นใครถึงกล้าทำลูกสาวฉันแบบนี้”
โฮ~
"แม่ถามว่ามันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แม่จะไปจัดการมัน"
แม่พูดด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ พร้อมกับปรี่ตัวเข้าไปกอดพี่พราว ฉันเห็นอย่างนั้นจึงเข้าสวมกอดทั้งสองคนไว้อีกที
“ไม่ต้องร้องไห้ให้เปลืองน้ำตาหรอก เดี๋ยวคืนนี้แม่จะให้เงินแกไปเที่ยวโฮส เผื่ออารมณ์จะดีขึ้น”
“ลูกไปด้วย” ฉันโพล่งออกมาท่ามกลางเสียงร้องไห้กระซิก ๆ ของพี่สาวที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“แกนะ อยู่เฝ้าบ้านไปเลย”
แม่หันมาถลึงตาใส่ฉัน
“ก็ลูกอยากไปด้วยนี่นา" ฉันพยายามปั้นสีหน้าให้ดูน่าสงสารสุดความสามารถ
“เออ จะไปก็ไป แต่ถ้ากลับมาเช้าเหมือนวันนั้นอีก รอบนี้แม่จะไล่แกออกจากบ้าน จะได้ไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างที่แกต้องการตามสะพานลอย"
"แม่!"
"ขึ้นเสียงใส่ฉันแบบนี้ คือไม่อยากไปแล้วใช่มั้ย"
"ขอโทษค่า คุณดาวนภาสุดที่รักของลูก" ฉันว่าแล้วหอมแก้มแม่ไปหนึ่งฟอด โดยไม่สนว่าแม่กำลังทำสีหน้าแบบไหนก่อนจะเลียบเคียงถาม
“ว่าแต่แม่ไม่อยากไปด้วยเหรอ”
“ไอ้อยากไปก็อยากอยู่หรอก"
"แม่ก็ไปด้วยสิ"
"แกก็ไปขอผัวให้ฉันสิ"
“ผัวแม่ แม่ก็ไปขอเองสิ บอกไปเลยว่าอยากเที่ยวโฮส อยากเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ”
"ผัวฉันก็พ่อแกนั่นแหละ นี่ฉันเลี้ยงลูกมายังไงกันนะ"
"ล้อเล่นหรอกน่า"
"เออ แล้วก็ห้ามบอกพ่อเรื่องที่ฉันให้เงินพวกแกไปเที่ยวละ"
“รูดซิปปากแน่นอนค่ะ” ฉันให้คำมั่นซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพอดี
“ทำอะไรกันน่ะสาว ๆ ”
“แล้วนั่นลูกร้องไห้ทำไม” หันไปถามลูกสาวคนโตพร้อมสีหน้าตกอกตกใจ
“พอดีฝุ่นมันเข้าตานะพ่อ”
"เหรอ คิดว่าร้องไห้เสียอีก"
"แล้วนั่นที่รักจะไปไหนคะ"
แม่หันไปถามพ่อเสียงหวาน ต่างกับตอนพูดกับลูกเป็นไหน ๆ
“พอดีพ่อจะไปที่ร้าน แม่ไปด้วยกันมั้ย”
“ไปสิคะ”
“ลูกสองคนก็อยู่เฝ้าบ้านแล้วกัน พ่อกับแม่น่าจะกลับมาดึก หรือบางทีก็อาจจะไม่กลับ เพราะคืนนี้พ่อจะพาแม่ไปดินเนอร์ ส่วนหลังจากนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เด็กไม่ควรรู้..."
พ่อหันมาบอกพวกเราพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่ทำเอาแม่เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเขิน แม้ท่านทั้งสองจะอายุเกือบห้าสิบปีกันแล้ว แต่ชีวิตคู่ยังคงเต็มไปด้วยความรักอันหอมหวานจนน่าอิจฉา
"รับทราบค่ะ" ฉันตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างโดยมีพี่พราวหยอกล้อเป็นการทิ้งท้าย
"เพลา ๆ หน่อยนะพ่อ หนูไม่อยากมีน้องเพิ่มแล้ว"
ติ๊ง! ไม่นาน เสียงแจ้งเตือนข้อความในเครื่องของเราสองพี่น้องก็ดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันก่อนที่แม่ซึ่งถือสมาร์ตโฟนไว้ในมือจะขยิบตาส่งให้ หลังจากนั้นท่านทั้งสองก็พากันเดินออกไปท่าทางกระหนุงกระหนิง
“ถ้ามีความรักแบบพ่อกับแม่ก็ดีเนอะ”
คนที่เพิ่งผิดหวังจากความรักลากฉันเข้าสู่โหมดดรามาอีกครั้ง
“ก็ใช่ แต่สมัยนี้หาแบบนั้นง่ายเสียที่ไหน”
“เพราะฉะนั้นเราอย่าไปรักใครอีกเลย ไปเที่ยวโฮสกันดีกว่า” พี่พราวสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด ราวกับเรียกพลังให้ตัวเอง
“ใช่”
“เดี๋ยวคืนนี้พี่จะจับน้องแปลงโฉมเอง เอาให้สวยสะบัดไปเลย”
“น้องไม่ใช่ตุ๊กตาบาร์บี้ของพี่นะ”
“แหม เปรียบเทียบเสียน่ารักเลยนะ อย่างน้องน่ะ ถ้าเป็นตุ๊กตาแอนนาเบลก็ว่าไปอย่าง”
"พี่พราวอะ!"
ฉันค้อนขวับใส่พี่สาวตัวดีไปอีกรอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก อาจเพราะฉันกำลังอารมณ์ดีที่คืนนี้จะได้ออกไปปลดปล่อยตัวเอง หลังจากต้องเผชิญกับเรื่องชวนปวดหัวก่อนหน้านี้
