บท
ตั้งค่า

EPISODE 2 ก็อ้วกไปเลยสิคะ

ทันทีที่มาถึงลานจอดรถ ฉันก็ถูกจับยัดเข้ามายังเบาะข้างคนขับของรถซูเปอร์คาร์สีดำด้าน ถึงแม้จะอยากแหกปากร้องโวยวายเพียงใด แต่คิดว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์

นอกจากจะบ้าบิ่นเปิดประตูแล้วพุ่งตัวออกไปนอกรถเพื่อหนี แต่ในความเร็วที่เขาขับคิดว่าน่าจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปบ้าน ฉันจึงต้องนั่งเกร็งอยู่ท่ามกลางความเงียบชวนอึดอัดพร้อมขบคิดถึงเรื่องที่ทำให้ฉันตัดสินใจทำเรื่องบ้าบอแบบนี้

ย้อนกลับไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อน

‘พี่จะทำอะไรน่ะ’ ทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องนอนของพี่พราว ก็เห็นร่างของเธอกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงซึ่งหันหน้ามาทางฉันอย่างหมิ่นเหม่ ใบหน้าสวยหวานเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเครื่องสำอางผสานหยาดน้ำตา

‘ฮือ พี่อยากตาย’

‘อย่าทำอะไรบ้า ๆ น่า’

‘พี่อยากตาย’ ยังคงพร่ำเพ้อแต่คำนั้น

‘จะตายได้ยังไงกัน บ้านเรามีแค่สองชั้นนะพี่ ตกลงไปก็แค่เจ็บ ไม่ก็พิการ แต่ถ้าพี่ลงมาคุยกับน้อง พี่ก็จะไม่ต้องเจ็บหรือพิการ’

‘ไม่’

‘งั้นก็แล้วแต่ น้องไปก่อนนะ อยากทำอะไรก็เชิญ ถ้าพี่เป็นอะไรขึ้นมาน้องจะไม่ดูแล!’

‘ฮือ~ ฟึ้ด’ แล้วก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้งพร้อมดึงคอเสื้อยืดมาสั่งน้ำมูก

‘แต่ถ้าพี่ลงมาแล้วบอกว่าเกิดอะไรขึ้น น้องก็จะเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่บอกแม่ด้วยว่าพี่คิดจะทำอะไรลงไป’

พี่พราวทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิด ฉันจึงอดที่จะเอ่ยกระแนะกระแหนไม่ได้

‘พี่ไม่ต้องทำเป็นคิด อันที่จริงพี่ก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก’

"ฮือ~ อีตานั่นมันบอกเลิกพี่ หาว่าพี่จอแบนแล้วยังไปควงยัยผู้หญิงนมทะลักอย่างกับแม่วัวมาเย้ยกันซึ่ง ๆ หน้าอีก" ว่าแล้วหันมามองหน้าอกอวบอัดของฉัน

ถึงแม้หน้าตาของเราสองคนจะคล้ายคลึงกันตามประสาพี่น้องและมีอายุห่างกันแค่ปีเดียว แต่พี่พราวชอบแต่งหน้า รักสวยรักงาม แตกต่างกับฉันโดยสิ้นเชิง ทว่าเรื่องทรวดทรงองค์เอวกลับเป็นฉันที่ดูสะดุดตามากกว่า

"หน็อย แบบนี้มันหยามกันชัด ๆ "

"เพราะฉะนั้น น้องต้องไปจัดการอีตานั่นให้พี่นะ ฮือ~ น้องต้องไปกู้ศักดิ์ศรีของพี่กลับมา"

"..."

"น้องต้องทำให้รู้ว่าความเสียใจมันเป็นยังไง มันเจ็บปวดแค่ไหน"

"แล้วพี่จะให้น้องช่วยอะไร"

"ก็แค่ทำให้มันหลงรักแล้วหักอกเหมือนที่มันทำกับพี่"

"หา!"

"หรือน้องจะไม่ช่วยพี่ ใช่สิ! น้องไม่ได้จอแบนอย่างพี่นี่"

"แต่น้องว่า..."

"ไม่มีตงมีแต่อะไรทั้งนั้นแหละ เพราะถ้าภารกิจนี้สำเร็จ พี่จะพาน้องไปคอนเสิร์ต ดีเจสโมค! เคมั้ย?"

"เค! พี่พูดแล้วห้ามคืนคำนะ" ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดครั้นถูกยกเรื่องนี้มาเป็นตัวล่อ

และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการทั้งหมด...

“คุณชื่ออะไรนะ”

จู่ ๆ เขาก็เป็นคนเรียกฉันออกมาจากภวังค์ความคิด

“พริม” ฉันตอบเสียงแผ่วโดยไม่หันไปมองคนข้างกาย

“ผมคงไม่ต้องบอกชื่อตัวเองใช่มั้ย”

“ค่ะ คุณครินทร์ ฉันจำชื่อของคุณได้ขึ้นใจ” ฉันตอบอย่างประชดประชัน เพราะเมื่อหลายวันก่อนได้อ่านข้อมูลคร่าว ๆ ของเขามาจนขึ้นใจ

ธุรกิจหลัก ๆ ของเขาคือคาเฟ่ที่กระจายอยู่หลายจังหวัดในประเทศไทย รวมถึงคาเฟ่ที่ฉันเพิ่งไปเยือนก่อนหน้านี้นั้นก็ด้วย

“อายุเท่าไหร่ล่ะ”

“ยี่สิบสาม”

“หางเสียงหายไปไหน ผมแก่กว่าคุณตั้งเจ็ดปี”

“ยี่สิบสามปีค่ะ”

“เรียนจบแล้วใช่มั้ย”

“เพิ่งจบไม่นานค่ะ”

“แต่ก็จบแล้ว”

“ค่ะ”

“แล้วที่บ้านว่ายังไงบ้าง”

“ก็ดีค่ะ”

“หมายถึงเรื่องที่ท้องสิ”

“เรียนจบปุ๊บ ท้องปั๊บ คงดีใจกันจนน้ำตาไหลเลยละคะ”

“ประชดเก่งนี่”

หลังจากประโยคนั้น ฉันก็นั่งนิ่งไปตลอดทางเพราะเริ่มคิดหาวิธีหนีไปจากเขา มาคิด ๆ ดูแล้ว ถ้าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลยังไงก็ไม่รอด

ฉันที่กำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเองหัวแทบทิ่มเมื่อเขาเหยียบเบรกอย่างแรง ดูเหมือนว่าการใช้รถบนถนนของเมืองหลวงจะเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ จนฉันรู้สึกเหมือนอาหารก่อนหน้านี้กำลังจะถูกขย้อนออกมา

“อึก”

“เป็นอะไร”

“ฉันอยาก…”

“อย่าอ้วกในรถนะเว้ย ห้ามเด็ดขาด”

“อึก”

“แม่งไม่มีที่จอด”

“อึก…”

“กลืนมันเข้าไป!”

“จะ โอ้ก”

แล้วฉันก็โก่งคออาเจียนลงที่วางเท้าด้านหน้าของตัวเอง ข้าวมันไก่ก่อนหน้าถูกขย้อนออกมากองอยู่บนพื้นพรมที่เคยสะอาดสะอ้าน

ดูเหมือนว่าวันนี้จะเคี้ยวอาหารไม่ค่อยละเอียดแฮะ ฉันที่กำลังเพ่งพินิศซากอาเจียนของตัวเองค่อย ๆ พึมพำออกมาด้วยความโล่ง

“ค่อยดีขึ้นหน่อย”

เอี๊ยด!

แต่เมื่อมองไปที่คนขับกลับเห็นว่าสีหน้าของเขาฉายชัดถึงความรังเกียจแล้วรีบหักเทียบทางเท้าอย่างแรงจนฉันแทบจะลงไปกองอยู่กับอ้วกของตัวเอง

“แม่งเอ้ย!”

ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยความไม่พอใจก่อนจะตะเบ็งเสียงใส่จนฉันสะดุ้งเฮือกสุดตัว

“ลงไป ลงไปเดี๋ยวนี้”

“…”

“บอกให้ลงไปไงว่ะ”

“ไม่ ไม่พาฉันไปโรงบาลแล้วเหรอ”

“ใครมันจะทนนั่งรถไปพร้อมกลิ่นอ้วกแบบนี้”

เขาพูดพร้อมเปิดประตูพาตัวเองออกไปจากรถ แล้วดึงสมาร์ตโฟนในกระเป๋าต่อสายหาใครบางคน จากนั้นจึงเดินมาที่ฉัน สีหน้ายังคงฉายชัดถึงความรังเกียจไม่แปรเปลี่ยน

“มีเบอร์ผมใช่มั้ย”

“คะ? อ๋อ ไม่มี คือพอดี…”

“ก็ไม่แปลก ผมไม่เคยให้เบอร์ใครอยู่แล้ว”

ฉันกำลังยืนงงเพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเขาพร้อมกับรับนามบัตรที่เขายื่นให้

“งั้นฉันกลับก่อนนะ”

“จะกลับยังไง”

“แท็กซี่ไงคะ”

“อย่าไปอ้วกบนรถคนอื่นอีกก็แล้วกัน”

“ขอโทษก็แล้วกันค่ะ ที่ทำรถหรูหราหมาเห่าของคุณแปดเปื้อน” แล้วฉันก็วิ่งออกจากตรงนั้นราวกับตัวเองเป็นนักวิ่งมาราธอนทั้ง ๆ ที่สวมรองเท้าส้นสูงทำเอาแทบล้มหน้าคะมำ

ครั้นพอเข้ามานั่งในรถแท็กซี่ก็เห็นคนที่ยืนอยู่กำลังมองมาทางฉันด้วยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย

แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ นอกจากคิดไว้แล้วว่า จะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับผู้ชายคนนั้นอีกเป็นอันขาด จึงทิ้งนามบัตรที่เขาให้มาบนแท็กซี่คันนั้นอย่างไม่ไยดี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel