ตอนที่3. มันคือพรหมลิขิต/3
“นายอย่าเป็นอะไรเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจชนนาย มันเป็นอุบัติเหตุ” เจ้าตัวพร่ำบอกคนไร้สติอยู่ซ้ำๆ
ไม่กี่นาที่ต่อมารถตำรวจกับรถพยาบาลก็มาถึง คนเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล คนชนก็ไปให้ปากคำที่โรงพัก กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนความก็กินเวลาเกือบเช้า ญาดาพาร่างอ่อนระโหยมาดูอาการคนเจ็บที่โรงพยาบาล เธอหิ้วกระเป๋าเป้ของเขามาด้วย ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ถูกตำรวจลากไปไว้ที่สถานีตำรวจ
“อาการคนเจ็บเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” ญาดาเอ่ยถามนายแพทย์ผู้รักษา
“คนเจ็บ มีอาการสมองบวมเล็กน้อย กับกระดูกแขนหักต้องใส่เฝือก แล้วรอดูอาการตอนฟื้นอีกที”
“เขาจะเป็นอะไรมากไหมคะหมอ” แววตาใสแป๋วของหญิงสาวเจือรอยหวาดหวั่น ทำให้นายแพทย์ยิ้มเอ็นดู
“ไม่ต้องห่วงครับ อาการไม่หนักถึงกับเสียชีวิตหรอกครับ”
ญาดาสีหน้าดีขึ้น เมื่อได้ยินแบบนี้ เธอไม่อยากเป็นฆาตกรขับรถชนคนตายโดยไม่เจตนา ถ้าคนเจ็บฟื้นขึ้นมาแล้วเรียกร้องค่าชดเชยเท่าไหร่ เธอยินดีจ่ายโดยไม่อิดออดสักคำขอเพียงให้เขาฟื้นเท่านั้นเป็นพอ
“กลับไปพักผ่อนก่อนนะครับ แล้วค่อยมาเยี่ยมช่วงบ่ายๆก็ได้” คุณหมอแนะนำ เมื่อเห็นหน้าซีดๆ กับท่าทางอิดโรยของหญิงสาว
“ค่ะ ฝากหมอช่วยดูแลเขาด้วยนะคะ ถ้าเขาฟื้นเมื่อไหร่ ช่วยโทรไปบอกดิฉันด้วยนะคะ”
ญาดาเดินออกมาจากโรงพยาบาล แล้วขับรถกับไปคอนโดที่เธอมักใช้เป็นที่พักยามเข้ามาทำธุระในเมืองหลวง หญิงสาวตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมคนเจ็บอีกครั้งในช่วงเย็น เธอคิดว่าเขาน่าจะฟื้นในช่วงนั้น จะได้จัดการค่ารักษากับค่าเสียหายให้เรียบร้อย ก่อนจะกลับไปบ้านสวนเพื่อทำงานต่ออย่างไร้ความกังวล
ที่โรงพยาบาล
คนเจ็บที่ถูกรถชนเมื่อวานฟื้นขึ้นมาในตอนเช้าวันนี้ ไม่ใช่เย็นวานอย่างที่คาด ญาดานอนเฝ้าดูอาการจนถึงเช้า พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงคนเจ็บร้องโอดโอย จึงรีบเรียกแพทย์มาดูอาการ หลังจากตรวจแล้วแพทย์ผู้รักษาก็รายงานอาการของคนเจ็บให้ทราบว่า
“คนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง ทำให้สมองบวมส่งผลให้มีอาการความจำเสื่อมชั่วคราว นอกจากแขนหักแล้วกับช้ำในแล้วอาการอย่างอื่นก็ไม่น่าห่วงครับ”
ญาดากุมหน้าผาก ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีที่ได้รู้อาการคู่กรณีของเธอ พระเจ้า... เขาความจำเสื่อม ไม่มีบัตรประชาชนไม่มีหลักฐานเอกสารว่าชื่ออะไร แถมยังได้รับบาดเจ็บหนักอีก
“แล้วเขาจะจำอะไรได้เมื่อไหร่คะหมอ”
“หมอบอกระยะเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้และการดูแลครับ”
ญาดาถอนหายใจหนักๆ ภาระกำลังหล่นโครมใส่หัวเธออย่างไม่ต้องสงสัย เธอคงไม่กล้าทิ้งเขาไว้ที่โรงพยาบาลด้วยสภาพน่าเวทนาแบบนี้แน่ มโนธรรมในจิตใจทำให้เจ้าของฟาร์มกล้วยไม้สาว ตัดสินใจจะพาตัวคนเจ็บไปดูแลเอง หากเขาความทรงจำฟื้นคืนมา เขาคงจะหาทางติดต่อกับญาติพี่น้องของเขาได้ เวลานี้เธอจำเป็นต้องดูแลเขาไปก่อน
“ขอบคุณค่ะหมอ ฉันขอเข้าไปดูเขาก่อนนะคะ” ญาดาพนมมือไหว้นายแพทย์ ก่อนจะเข้าไปในห้อง
ร่างบนเตียงนั่งอิงหมอนนุ่ม พยาบาลผู้ดูแลปรับเตียงให้เอนเพื่อให้คนเจ็บนั่งเอนหลังได้สบายขึ้น แขนข้างขวาของเขามีเฝือกหุ้มอยู่ ศีรษะแตกมีผ้าพันแผลพันไว้มองเห็นรอยเลือดซึมออกมาจากบาดแผล เนื้อตัวมีร่องรอยถลอกและบวมช้ำหลายแห่ง อาการสาหัสไม่น้อย ญาดาทอดสายตามองด้วยแววตาเวทนา
“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อญาดานะคะ”
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย ดวงตากลมใสจ้องมองใบหน้าเยินๆ ของเขาอย่างสงสาร ใบหน้าสวยเกินชายของเขาสะดุดตาคนมอง ดวงตากลมโตมีขนตาหนางอนสวยจนน่าอิจฉา จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วดกหนา ริมฝีปากรูปกระจับแดงสดเหมือนปากเด็กน่ามอง หน้าตาอ่อนใสแบบนี้คงจะอายุน้อยกว่าเธอหลายปี ญาดาเลยใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าพี่
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว มองหน้าคนมาเยี่ยม พยายามนึกว่าเธอเป็นใคร สมองของเขามันเปล่าโล่งไร้ข้อมูลไม่มีอะไรอยู่ในนั้นสักอย่าง พอตื่นขึ้นมาก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขามองคนที่เรียกแทนตัวเองว่าพี่ หน้าเธอไม่ถึงกับสวยจัด แต่น่ามองดวงตายาวเรียวไม่ถึงกับเล็กหยี แก้มนวลใสกับริมฝีปากบางสีกุหลาบนั่น ทำให้คนมองรู้สึกคอแห้งผาก วูบไหวขึ้นมาแปลกๆ ชายหนุ่มถอนสายตาจาใบหน้างามก้มมองดูมือข้างที่ถูกเฝือกครอบไว้ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกเอน็จอนาถกับสภาพของตัวเอง จำอะไรไม่ได้ไม่พอ ยังจะมาเป็นง่อยแขนหักอีก แบบนี้ไม่ต่างจากคนพิการเท่าไหร่เลย
“เรารู้จักกันด้วยเหรอ พี่รู้จักฉันใช่ไหม” เขาเงยหน้าขึ้นเอยถามเสียงแผ่ว ใช้มือข้างที่ยังปกติจับมือเธอไว้ จ้องหน้าเนียนใสไร้เครื่องสำอางอย่างคาดหวัง อีกฝ่ายกระชับมือตอบ ยิ้มให้กำลังใจ
“พี่เป็นคนขับรถชนน้องเมื่อคืนก่อน ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ระวังจนทำให้น้องบาดเจ็บ”
ญาดาเอ่ยขอโทษจากใจ รอยยิ้มเจื่อนลงเล็กน้อย เมื่อเห็นคนเจ็บนิ่วหน้าแล้วดึงมือเรียวยาวของเขาออก ท่าทางคงโกรธไม่น้อยที่เธอเป็นคนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ
