ตอนที่2. มันคือพรหมลิขิต/2
“คืนนี้เราจะนอนที่ไหนล่ะเฮีย ไหมต้องทำงานนะ พรุ่งนี้เช้าต้องไปดูแลคนป่วยรายใหม่” เสียงของม่านไหมทำให้พี่ชายหลุดจากภวังค์ความคิด
ลายเมฆเคาะนิ้วไปมาบนเบาะรถ คิ้วดกหนาได้รูปขมวดชนกัน
“ไปขอพักที่บ้านยัยโอ่งมังกรเพื่อนแกก่อนดีไหม”
“เขาชื่อโอโม่ ไม่ใช่โอ่งมังกร” ม่านไหมหัวเราะคิก ขำชื่อที่พี่ชายตั้งให้เพื่อนชายใจหญิงของเธอ
โอโม่ หรือ โอฬาร กะเทยร่างยักษ์เพื่อนของม่านไหมเป็นเจ้าของบริษัททำความสะอาด เจ้าหล่อนมีบ้านหลังใหญ่และห้องชุดในคอนโดมิเนียมให้คนเช่า สองพี่น้องต้องแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากโอโม่อยู่หลายครั้ง จนเจ้าตัวค่อนขอดว่า หากจะมาขอให้ช่วยอีกจะยกตัวเองให้เป็นพี่สะใภ้ของม่านไหม ลายเมฆเลยไม่กล้าไปขอความช่วยเหลืออีก
“เฮียจะยอมเป็นผัวนังโอโม่แล้วเหรอ ถึงได้ไปขออาศัยมันอีก” ม่านไหมเอ่ยแซวพี่ชาย
ลายเมฆเบ้ปาก ทำหน้าสะอิดสะเอียน
“อย่าพูดสิวะ ฉันจะอ้วก แค่ยอมให้มันนัวเนีย แลกข้าวแลกที่พัก ฉันต้องกลั้นใจแทบตาย ขืนรับเป็นผัวมัน มีหวังกินข้าวไม่ลงว่ะ” ขนแขนลุกชัน เมื่อนึกถึงสภาพน่าอนาถนั้น
“ทำเป็นรังเกียจตุ๊ด ระวังเหอะ สวรรค์จะแกล้งให้เฮียกลายเป็นตุ๊ดสักวัน”
“ถ้าฉันจะเป็นตุ๊ด ก็เป็นตุ๊ดคุณภาพเว้ย” ลายเมฆประชดน้องสาวช่างแหย่ รู้ว่าเขาเกลียดตุ๊ดเกลียดกะเทย ยังมีหน้ามาล้อเลียนอีก ม่านไหมหัวเราะคิกคักอารมณ์ดีขึ้น
“ไหมว่าเราหาที่นอนก่อนดีไหม เมื่อกี้ไหมเห็นโรงแรมม่านรูดแถวนี้ที่หนึ่ง ราคาไม่แพง ไปเปิดห้องนอนสักคืนแก้ขัดไปก่อน”
ยามอับจนสองพี่น้องก็อาศัยโรงแรมม่านรูดเป็นที่พักชั่วคราว แม้ในสายตาผู้คนสถานที่แห่งนั้นเป็นที่อโคจรสำหรับคนดีๆ แต่ม่านไหมกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอกลับมองว่าเป็นที่พักแสนปลอดภัย แอร์เย็น เตียงนุ่ม บางห้องมีเตียงน้ำให้นอนเล่น แม้จะหนวกหูกับเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทางบ้าง แต่ก็แค่ใช้ที่ปิดหูปิดเอาก็ไม่ได้ยินแล้ว ปลอดภัยและนอนสบาย ที่สำคัญพวกเจ้าหนี้คงไม่คิดว่าเธอกับพี่ชายจะพากันหลบภัยมาอยู่ที่นี่แน่
“นี่ถ้ามีผู้ชายพาแกเข้าม่านรูด ฉันว่ามันคงไม่ชำนาญพื้นที่เท่าแกหรอก” ลายเมฆหัวเราะขำน้องสาว
ม่านไหมมองโรงแรมม่านรูดไม่ต่างจากบ้านพัก น้องสาวของเขาไร้ความเขินอายเมื่อต้องเข้าไปในที่แห่งนั้น หากจะมีใครมองน้องเขาเป็นผู้หญิงไม่ดี ชายหนุ่มก็ไม่โทษใครนอกจากโทษตัวเอง ที่ทำให้น้องต้องมาตกระกำลำบากไปด้วย
สองพี่น้องพากันขึ้นรถเตรียมเคลื่อนที่อีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งแล่นมาจอดข้างๆ ชายฉกรรจ์สี่คนเปิดประตูออกมาพร้อมอาวุธปืน ลายเมฆไม่ปล่อยให้ตัวเองตกตะลึงนาน เขารีบคว้าแขนน้องสาวให้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ รีบสตาร์ทรถเร่งเครื่องบึ่งหนีออกมาทันที จากที่คิดจะหลบภัยในโรงแรมม่านรูด ลายเมฆเปลี่ยนเป้าหมายขี่รถมุ่งตรงมายังบ้านของโอโม่ รถคันนั้นยังตามติดเป็นเงา ชายหนุ่มอาศัยความคล่องตัวของรถคันเล็กขี่ซิกแซก หลบเข้าซอยต่างๆ จนหลุดรอดจากการติดตาม เขาจอดรถที่หน้าบ้านของโอโม่
“คืนนี้แกนอนที่บ้านยัยโอ่งมังกรนะ”
“แล้วเฮียล่ะ” ม่านไหมก้าวลงจนรถ มองหน้าพี่ชายอย่างห่วงใย ลายเมฆยิ้มให้น้องสาว ตบบ่าเล็กๆนั้นแรงๆ
“ฉันจะไปหาที่นอนบ้านเพื่อน ไม่ต้องเป็นห่วงน่า พรุ่งนี้ฉันจะมารับแกไปส่งที่ทำงาน” ลายเมฆบอกให้น้องสาวคลายใจ ก่อนจะบิดคันเร่งขี่รถออกไป
ม่านไหมมองตามท้ายรถของพี่ชายด้วยสายตาห่วงใย แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านให้มาเปิดประตูรับ ร่างอ้วนพีของโอโม่เดินท่อมๆ ออกมาเปิดประตูให้
“ทำไมไม่โทรมาก่อนยะ นังไหม แล้วเฮียเมฆมาด้วยหรือเปล่า” โอโม่ชะโงกหน้ามองไปรอบๆกาย หวังเจอหน้าพ่อเทพบุตรสุดหล่อ แต่ต้องผิดหวังเมื่อเพื่อนสาวส่ายหน้าดุกดิก
“เฮียแค่มาส่งเฉยๆ อุ้ย! ตายแล้ว ฉันลืมเอากระเป๋าลงจากรถเฮีย” ม่านไหมอุทานลั่น เมื่อนึกได้ว่าเธอคล้องกระเป๋าเป้ไว้ที่แฮนด์รถมอเตอร์ไซค์ของพี่ชาย “คืนนี้ ฉันขอยืมชุดนอนแกก่อนได้ไหม นังโอโม่”
“เออ... จะยืมอะไรก็ยืม รีบเข้ามาไวไว ละครกำลังสนุก คืนนี้มีฉากที่พี่ณเดชน์ของฉันจะถอดเสื้อโชว์กล้ามด้วย”
หนุ่มใจสาวลากแขนเพื่อนตัวน้อยให้เข้ามา แล้วปิดประตูรั้วอย่างว่องไว ก่อนจะเดินบิดสะโพกใหญ่โตของตัวเองเดินนำเข้าไปในบ้าน
ลายเมฆขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากซอยบ้านของโอโม่ เส้นทางนั้นค่อนข้างเปลี่ยวและมืดพอควร ชายหนุ่มมองเห็นรถเก๋งสีดำ กำลังเลี้ยวเข้าซอยมา จำได้ว่าเป็นรถคันเดียวกับที่ตามเขากับน้องสาวอยู่ จึงเร่งเครื่องขี่รถหนีไปอีกซอยด้วยความเร็วสูง เหมือนรถคันนั้นจะเห็นเขา จึงแล่นตามหลังมา ลายเมฆบิดคันเร่งสุดความเร็ว นำรถแล่นลัดเลาะตามทางเล็กออกมาจนเห็นถนนใหญ่ รถมอเตอร์แล่นออกจากซอยมืดตรงออกไปตามทางทันที
เอี๊ยด !!! โครม !!!
รถกระบะคันหนึ่ง ขับตรงมาตามถนนไม่ทันเห็นรถที่แล่นออกมาจากซอย จึงชนเสยเข้ากลางลำ รถเล็กเสียหลักแฉลบพุ่งเข้าพงหญ้าข้างทาง ร่างของคนขี่กระเด็นกลิ้งเหมือนลูกขนุน ก่อนจะนอนแผ่สิ้นสติอยู่บนพื้น เลือดไหลนอง เจ้าของรถปิคอัพ รีบดับเครื่องเปิดประตูลงมาดูคนเจ็บ
“โอ๊ย... ทำไงดี เราขับรถชนคน ไม่รู้ตายหรือเปล่า” ญาดาค่อยก้มลงนั่งข้างๆ คนที่นองนิ่งอยู่บนพื้น เอื้อมมือมาแตะไหล่หนา ก่อนจะเขย่าเบาๆ “นี่คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า”
ร่างของผู้ชายที่นอนตัวงอเลือดท่วมไม่ไหวติง โชคดีที่เขาสวมหมวกกันน็อค จึงไม่เห็นเศษสมองไหลไปกองกับพื้น ดูจากอาการน่าจะบาดเจ็บหนักไม่น้อย ญาดาหยิบโทรศัพท์มากดโทรเรียกตำรวจและรถพยาบาล เธอไม่คิดหนีทั้งที่ทำได้ เพราะถนนช่วงนี้ค่อนข้างปลอดผู้คน แต่ด้วยนิสัยเป็นคนรักความยุติธรรมเหมือนบิดาที่เป็นนายตำรวจใหญ่ ทำให้ญาดาไม่อาจกระทำผิดได้ หญิงสาวไม่กล้าแตะร่างของคนเจ็บ เพราะตามที่เรียนมาไม่ให้เคลื่อนย้ายคนเจ็บโดยพละการโดยไม่มีแพทย์หรือพยาบาลช่วยเหลือ หากคนเจ็บกระดูกหักอาจเป็นอันตรายได้ ยิ่งหมดสติเลือดไหลนองแบบนี้ ยิ่งไม่ควรแตะต้อง
