บทที่ 10 เทศกาลหยวนเซียว (4)
บทที่ 10 เทศกาลหยวนเซียว (4)
ทว่าสายตาของพวกนางล้วนชะม้ายชายตาให้ผู้เป็นฮ่องเต้อย่างเอียงอาย จึงเหลือบมองคนที่ยิ้มอ่อนโยนอย่างหมั่นไส้ มีสนมในตำหนักกว่าครึ่งร้อยและยังมีรอต่อคิวของวันนี้อีกมากมาย สักวันคงได้ตายด้วยน้ำมือสตรี จิตใจของสตรีนั้นล้ำลึกจนยากจะคาดเดาหวังว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะรู้เท่าทันจิตใจสตรีหรอกนะ
“ก็ดี” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงเรียบ ทว่าทำให้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทางขวามือของลั่วเหยียนเจิ้งมองตามด้วยความสนพระทัย
ตำแหน่งฮองเฮายังว่าง ไทเฮาเองก็ไม่ชอบการบังคับบุตรชายได้แต่เพียงลอบสังเกตคนที่พระองค์โปรดปรานในเวลานี้เท่านั้น แม้จะเป็นบุรุษแต่นางเองก็ไม่ได้รู้สึกขัดแย้งเพราะองค์ชายห้าลู่เฟยก็ยังมีภรรยาเป็นบุรุษเช่นกันอีกทั้งความสามารถของจิวชงหยวนนั้นมากมายนัก แต่คนตรงข้ามพระนางเวลานี้จะช่วยสร้างผลประโยชน์แก่บุตรตนเองได้หรือไม่ยังมิอาจรู้ เพียงแต่รัศมีความงามและความเย็นชาของคนผู้นี้ช่างน่าสนพระทัยจริงๆ
“เจ้าโปรดพวกนางหรือไม่” คำถามนี้ทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองฮ่องเต้ที่จ้องมาอย่างเฝ้ารอคำตอบ มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มจนแทบมองไม่เห็นคล้ายคนมีแผนการภายในใจ
“มีบุรุษไหนเลยจะไม่โปรดอิสตรี หรือพระองค์จะมอบพวกนางให้กระหม่อม” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากมองตอบอย่างท้าทาย เสียงเพลงไพเราะดังไปทั่วทั่งท้องพระโรง เสียงตอบโต้ของเขาจึงพอได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น ใบหน้าคมคายบูดบึ้งเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
“เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือไง” คำตอบที่ไม่เกินจากที่คาดเดาทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจ หันไปมองสายตาทิ่มแทงของเหล่าสนมที่มองตามอย่างอิจฉาด้วยความเฉยเมย พวกนางไม่มีค่าให้ใส่ใจ
“คณะทูตจากแคว้นโจวเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่นั่งดื่มกินอย่างอารมณ์ดีก็มีขันทีหน้าประตูเข้ามารายงาน ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกมือไล่นางระบำออกไป เตรียมรับการเสด็จมาของแคว้นพันธมิตรที่จะมาผูกสัมพันธ์ไมตรี
หลิ่วเหวินอี้ยังคงนั่งนิ่งไม่ได้แตะอาหารตรงหน้าแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวสวยมองไปยังคณะทูตที่เดินเข้ามาเขาหรี่ตามองอย่างสนใจเพราะคนที่เดินเข้ามาเป็นคนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้ เมื่อครั้นไปสืบข่าวที่นั่น ไป๋หู่องค์ชายแปดของแคว้นโจว
ข้างหลังพระองค์หากคาดเดาไม่ผิดคงเป็นธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง แม้จะปกครองแว่นแคว้นของตนเองอย่างผาสุกแต่ก็ยังมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีเมืองใกล้เคียงไว้เผื่อเกิดสงครามขึ้น
ครั้งนี้ลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มบาง ก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่งทางตำแหน่งราชทูตและคณะที่แวะมาเยี่ยมเยืยน หลิ่วเหวินอี้มองดูเงียบๆ แคว้นลั่วหยางถือว่าเป็นแคว้นที่ใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นโจว หากสองแคว้นนี้ร่วมมือกันแคว้นอื่นคงไม่กล้าก่อสงคราม
หลังจากที่องค์ชายแปดไป๋หูทักทายกับฮ่องเต้ของแคว้นลั่วหยางจบก็เข้าไปทักทายจิวชงหยวนคล้ายกับรู้จักกันดี ก่อนที่จะเดินไปนั่งประจำตำแหน่งตนเองพร้อมสตรีที่ติดตามมาด้วย นางทอดสายตามองมายังลั่วเหยียนเจิ้งอย่างเหนียมอาย
“องค์ชายแปดไป๋หู่เดินทางมาเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีพร้อมด้วยองค์หญิงสิบสองหมู่ตานหมายจะให้นางมาเป็นสนมของข้าเจ้ามีความเห็นเป็นเช่นไร” น้ำเสียงรื่นเริงที่เอ่ยถามทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมอง ก่อนจะเบือนหน้าไปมองที่ประทับขององค์หญิงหมู่ตานแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จะคิดเห็นเช่นไรแล้วอย่างไรไม่เห็นเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย เขาแค่รับหน้าที่ช่วยจับกบฏเท่านั้น
“ก็เหมาะดี”
คำตอบเรียบง่ายโดยน้ำเสียงไม่มีอารมณ์อื่นแอบแฝงแม้แต่น้อยทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ สิ่งที่เขาลงทุนยอมตามใจทุกอย่างอีกทั้งพยายามชิดใกล้ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอ่อนไหว ไม่หึงหวงเขาบ้างหรืออย่างไร
“เรายินดีอย่างยิ่งที่จะรับไมตรีจากองค์ชายเก้า เราจะรับองค์หญิงสิบสองหมู่ตานมาเป็นพระสนมตำแหน่งกุ้ยเฟย มิทราบว่าองค์ชายแปดเห็นเช่นไร”
