บทที่ 5
ปกติพี่ชายของหล่อนไม่ใช่คนช่างหงุดหงิดง่าย รมิตาทราบดี คนที่บางครั้งอารมณ์ร้อนกว่ากลับกลายเป็นเรวัตร แต่ก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้จะเห็นความหงุดหงิดแฝงตัวเบาๆ ออกมาจากพี่ชายคนโต แม้จะไม่ออกหน้ามากนัก แต่ก็พอให้น้องสาวได้รู้สึกถึงความผิดปกติ
“ทำไมวันนี้พี่รุทรไม่ไปส่งแฟนกลับบ้านล่ะ”
“เขามีคนอื่นไปส่งละ... กลับบ้านทางเดียวกัน”
“อ้าว” หล่อนจับความได้แล้วอย่างหนึ่ง หันไปมองเรวัตรก็รู้กันว่าอีกฝ่ายเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ “อย่างนี้รถที่ซื้อมารับส่งก็ไม่ได้ใช้เลย”
“ก็เขาบอกกับคนโน้นไว้ก่อน”
“ใครคะ?”
“เพื่อนร่วมคลาส” น้ำเสียงแอบหงุดหงิดเมื่อพูดถึง
“โห... สงสัยมาจีบ”
คำพูดหล่อนเป็นบททดสอบที่ดีสำหรับการเร่งปฏิกิริยา เพราะพี่ชายวางช้อนลงบนจานแล้วหยิบไวน์ขึ้นมาจิบ ท่าทางหงุดหงิดเห็นได้ชัดจนไม่ต้องสังเกตอีกเลย
รมิตาลูบแขนพี่ชายเบาๆ ประจบ...
“สู้พี่รุทรไม่ได้หรอกค่ะ ทั้งหล่อ ทั้งรวย นิสัยดี มีความรับผิดชอบ แถมยังอบอุ่น เป็นที่พึ่งของน้องๆ ผู้หญิงคนไหนอยู่ใกล้ ก็ต้องหลงรักทั้งนั้น”
“ไม่เห็นเขาจะอยากอยู่ใกล้พี่เลย”
“ทำไมล่ะคะ” น้องสาวย้อนถาม ขณะรุทรยังคงไม่คลายโทสะ
“ก็เห็นอยากไปกับคนนั้น”
รมิตาหัวเราะ เริ่มรับรู้ได้ว่าพี่ชายกำลังอยู่ในภาวะ ‘ของจริง’ ที่หล่อนจะต้องติดตามไม่ปล่อยต่อไปแน่นอน
“เขาก็กลัวกวนพี่รุทร บ้านพี่อยู่คนละฟากโลกขนาดนั้น”
“พี่ไม่ได้เดือดร้อนที่จะไปส่งสักหน่อย”
“เอาน่า” หล่อนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “พรุ่งนี้พี่รุทรขับแลมโบไปรับเลย รับรองต้องขึ้นรถพี่คนเดียว ไม่ขึ้นรถคนอื่นอีกต่อไป”
เรวัตรหัวเราะ ในขณะที่รุทรหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอึกใหญ่ก่อนจะวาง บอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงทื่อๆ ไม่ยินดียินร้าย
“พี่ไม่ได้บอกเขาสักหน่อยว่ามีเงิน...”
“อ้าว”
“ถ้าเขารักเราที่เงินก็คงจะไม่มีประโยชน์... ก็อยากรู้เหมือนกันถ้าไม่ใช่รุทร เจ้าของรามาดา จะมีผู้หญิงคนไหนมองหรือเปล่า”
รมิตายักไหล่ หยิบอาหารใส่ปาก
“เรามีเงินเยอะขนาดนี้ ทำใจเถอะค่ะ ถ้าเขาจะรักเงินของเรา อย่างน้อยให้เขารักเราบ้างก็พอแล้ว พี่รุทรอย่าพยายามคิดมากเลย ผู้หญิงดีๆ เขาก็อาจจะต้องดูผู้ชายที่มีความรับผิดชอบพอที่จะดูแลเขาได้ และหนึ่งในสิ่งที่บ่งบอกถึงความรับผิดชอบ ก็คือเงินเก็บในบัญชี”
คนเป็นพี่เถียงไม่ออก แต่ก็ยอมรับในความคิดเห็นของน้องสาวตัวเอง เรวัตรกินอาหารในส่วนของตัวเอง ไม่ได้ออกความเห็นอะไรในกรณีของพี่ชาย
“ปลอมตัวเป็นเด็กอู่ซ่อมรถเหรอคะ... อู่รถสปอร์ตที่ทันสมัยสุดของประเทศไทยเลยนะ พี่รุทรนี่ ดีที่เขาเชื่อนะว่าช่างซ่อมรถจะมีเวลาไปลงเรียนเอ็มบีเอภาคค่ำค่าเทอมเป็นแสนน่ะ”
“ก็บอกเขาว่าอยากเรียนไว้เปิดอู่เป็นของตัวเอง ส่วนเขาก็อยากทำร้านกาแฟเป็นของตัวเอง”
“ก็ดีแล้วนี่ครับ เปิดอู่แล้วก็มีร้านกาแฟ” เรวัตรอดไม่ได้ที่จะแทรกความเห็น “เพอร์เฟกต์แมตช์”
“แต่ตอนนี้เขามีคนมาแข่งจีบอยู่ไง วุ้ย... พี่เรย์นี่ไม่เข้าใจเลย”
“ไม่เห็นต้องคิดมาก” น้องชายคนกลางโบกมือ ราวกับไม่เห็นว่าเป็นปัญหา “ร้อยทั้งร้อยก็รู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงเลือกพี่รุทร”
“ก็ถ้าพี่รุทรไม่มีเงิน เขาอาจจะไม่เลือกก็ได้”
คำพูดนั้นแทงใจดำคนฟังอยู่ไม่น้อย... สิ่งที่เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ก็คือเจ้าหล่อนเปลี่ยนใจมาเลือกเขาหลังจากที่ทราบว่าเขาเป็นใคร
“ผู้หญิงก็ไม่ได้มีแค่คนคนนี้คนเดียวหรอก ถ้าเขารักเงินมากกว่า พี่ก็ต้องขอลา”
รมิตากลอกตา ทำไมหนอ สังหรณ์ของหล่อนกลับบอกว่าพี่ชายไม่น่าจะทำได้อย่างที่พูดเลย
เจ้าของร่างสูงโปร่งคุ้นตายืนอยู่หน้าห้องเรียนแล้วเมื่อญาณินไปถึง หญิงสาวถือแก้วกาแฟมาด้วยสองใบอย่างที่ทำเป็นปกติทุกวัน แก้วหนึ่งกินเอง อีกแก้วเอามาฝากเพื่อนร่วมคลาส
“วันนี้คุณมาไวจัง... อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาเรียน”
“วันนี้ผมว่าง ไม่ต้องไปทำงานที่อู่” เขาตอบเสียงเรียบ เดินเข้าไปนั่งด้านในห้องเรียนแล้วจิบกาแฟเงียบๆ ดีที่วันนี้แฟนคลับขาประจำของหล่อนไม่โผล่มาตั้งแต่เช้า
ประเดี๋ยวก็คงมา... ท่าทางประจ๋อประแจ๋เหมือนอยากมานั่งแทนที่เขาเต็มแก่
“การบ้านของเมื่อวานคุณทำเสร็จหรือยังคะ” หล่อนยังมีใจเอื้อเฟื้อให้คนข้างตัว ในขณะที่เขาหยิบงานตัวเองขึ้นมาให้ดูแล้วตอบ
“เรียบร้อยแล้ว”
“โอ้โฮ เก่งจัง” ญาณินอ่านดูรายละเอียดผ่านตา ออกปากชม “คุณคิดได้ อย่างไรนี่ ณินก็ทำการบ้านมาแต่ไม่ได้ดีขนาดนี้เลยนะคะ ไม่น่าเชื่อ”
รุทรวางหน้าเฉย... รมิตาเป็นเด็กเรียนดีได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองอยู่แล้ว เขาไม่ต้องลำบากอะไรเลยในการใช้งานน้องสาวให้ช่วยคิดการบ้านในแต่ละวัน
ในความเป็นจริง ทุกคนในบ้านเขาก็ค่อนข้างหัวดี มีหัวก้าวหน้าทางธุรกิจกันหมดแม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมาก่อนก็ตาม บางสิ่งบางอย่างที่พ่อแม่สอนมาโดยใช้ประสบการณ์ มันก็คือสิ่งเดียวกับที่อาจารย์ในยุคปัจจุบันสอนทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ได้เก็บมาเป็นหัวข้อเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เท่านั้น
คนบริหารธุรกิจจนอยู่ชั้นแนวหน้าของประเทศไทยได้ จะตกวิชาบริหารอย่างไรได้...
“วันหลังไม่ให้คุณยืมชีตดีกว่า... คุณเก่งกว่าณินอีก จะต้องมาสอนณินแล้วแหละ”
“ผมสอนก็ได้ แต่คุณต้องเลี้ยงกาแฟผมก่อน” เขายื่นเงื่อนไข ดวงตาพราวระยับยามสบตากับหญิงสาวข้างกาย “วันนี้หลังเลิกเรียนไปอ่านหนังสือต่อที่ร้านกาแฟของคุณดีกว่า จะได้ทบทวนที่เรียนมาทั้งสัปดาห์”
“ได้ค่ะ เห็นคุณบาสก็บอกๆ ว่าอยากไปกินกาแฟที่ร้านเหมือนกัน ดีจัง มาเรียนแล้วได้ลูกค้าร้านกาแฟเพิ่ม”
คนฟัง ‘หน้าตึง’ ซ่อนอยู่ด้านในโดยอัตโนมัติ หางตามองเห็นคนที่หล่อนเอ่ยถึงกำลังเดินเข้ามาด้านใน เจ้าตัวจึงนั่งเฉย... วางหน้านิ่ง ไม่ทักทาย
หลังจากอาจารย์เข้าคลาสแล้วหล่อนก็หันมาสนใจการเรียนจนไม่ได้ใส่ใจอย่างอื่น... เขานั่งขวางปิดทางเข้าออกของคนที่จะมาทักทายโดยปริยายและหญิงสาวก็ไม่ทันได้สังเกต จนกระทั่งเลิกเรียน เขารอจนคนอื่นออกจากห้องเรียนจนหมดแล้วจึงค่อยเก็บชีตตัวเองลงกระเป๋าหนังเก่าๆ ที่ได้มาจากร้านข้างทาง ทิ้งกระเป๋าเอกสารแอร์เมสที่น้องสาวซื้อให้ไว้ในรถสปอร์ตที่จอดแน่นิ่งอยู่ในโรงจอดรถที่บ้านตัวเอง
“ผมจอดรถเอาไว้ตรงโน้น เดินไปด้วยกันไหม”
“ก็ได้ค่ะ”
ร่างบางเดินตามเจ้าของร่างสูงที่เดินนำไปก่อนต้อยๆ บุคลิกและท่วงท่าการเดินของเขาชวนมอง แม้จะเป็นรถเก่ากระป๋องมือสอง ก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูด้อยกว่าเดิมสักเท่าไรเลย...
มาดอบอุ่นที่แสดงออกเหมือนเปลือกที่เคลือบไว้ ในความเป็นจริงญาณินกลับรู้สึกว่าช่างซ่อมรถตรงหน้าค่อนข้างเอาแต่ใจไม่ใช่น้อย หรือหล่อนรู้สึกอยู่เพียงคนเดียว หากใต้ความเอาแต่ใจนั้น ก็มีความอ่อนละมุนที่แฝงอยู่กับภาวะของผู้นำ
“คุณนี่ขยันจดทุกวันเลย”
“ก็ณินหัวไม่ค่อยดีนี่คะ ต้องจดเยอะๆ เป็นธรรมดา บางคนสนใจเรียนบ้างไม่สนใจเรียนบ้างแต่ก็ได้คะแนนดี ส่วนณินไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไม่ขยันคะแนนก็ร่วง”
ตรงกันข้ามกับเขา ที่นั่งหลับบ้างตื่นบ้าง แต่ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าหล่อนหลายเท่าตัว หรือมันจะเป็นพรสวรรค์ ที่เห็นหลายคนไปเที่ยวเตร่สังสรรค์แต่ก็ยังทำคะแนนได้ท็อปทุกวิชา
คนเราอาจจะทำบุญมาไม่เท่ากันก็ได้
“วันก่อนเห็นคุณบาสบอกว่าอยากกินกาแฟ เราชวนเขาไปด้วยกันดีไหมคะ”
“เขากลับไปแล้วนี่” รุทรตอบเสียงเรียบ... เหลือบมองหญิงสาวด้วยหางตา “ไม่ทันแล้วละ ไว้ค่อยชวนวันหลัง”
“พรุ่งนี้ก็ได้”
นี่แหละที่หล่อนรู้สึกได้เองในบางครั้งว่าเขาดูจะหงุดหงิด ตึงๆ ง่าย ใต้ใบหน้าที่สุขุมนิ่งๆ นั้นทำให้จิตใต้สำนึกของหล่อนรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนไฟ
เขาช่างเข้าใจยากเหลือเกิน
