บทที่ 6
“คุณไปเรียนวิชาบาริสตามาจากไหน”
ชายหนุ่มถามหลังจากขับรถคันเก่าออกมาจากมหาวิทยาลัย รู้สึกได้ถึงช่วงล่างที่เริ่มมีเสียงนิดหน่อยแต่ก็ยังพอฝืนขับได้อยู่ หญิงสาวมองเสี้ยวหน้าคมสันของคนถาม ก่อนจะตอบตามจริงว่า
“ก็สนใจมานานตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนมหาวิทยาลัยมีชมรมอะไรก็ไปเข้า ไปเรียนเป็นคอร์ส จนกระทั่งเรียนจบก็เลยลองมาเปิดร้านเอง ณินเคยอยู่มาหลายร้านแล้วนะคะ ทำพาร์ตไทม์ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย รู้จักบาริสตาดังๆ หลายคนอยู่”
“ตัวจริงด้านกาแฟสินะ”
“ไม่ค่อยเท่าไรหรอกค่ะ แต่ณินชอบกลิ่น ชอบรส รู้สึกว่ามันมีอะไรให้น่าค้นหาดี ถ้าไม่ได้มาศึกษาด้านนี้ก็คงไม่รู้เลยว่ากาแฟมีเรื่องราวซ่อนอยู่มากมายแค่ไหน”
“ก็คงเหมือนคนแหละ ถ้าไม่ศึกษา ก็คงไม่รู้ว่าเขามีมุมกี่ด้านให้มอง”
“เข้าใจเปรียบ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของหล่อนทำให้จิตใจของเขารู้สึกชุ่มชื่น นึกดีใจที่ประสบความสำเร็จในการทำให้เพื่อนใหม่ของหล่อนอีกคนไม่ได้ติดตามมาด้วย น่าเสียดาย... แต่ก็ไม่ใช่เวลาของนายบาสคนนั้น
ชื่อจริงชื่ออะไรเขายังไม่อยากจะนึกจำ
“วันนี้จะกินขนมอะไรดี”
“ณินสั่งซีซอลต์บราวนีมา คุณลองกินดู รสชาติเบรกกับกาแฟได้ดีเหมือนกันนะคะ ขนมของบิวนั่นแหละ ป่านนี้คงอยากกลับบ้านแล้ว”
“คุณจ้างบิวทุกวันเสาร์อาทิตย์เหรอ”
“วันธรรมดาช่วงที่ณินมาเรียนด้วยค่ะ บิวจะมาดูแลและปิดร้านให้ ไว้ใจได้นะคะ เรื่องเงินก็ไม่มีปัญหา”
ท่าทางเด็กของหล่อนจะเป็นคนเรียบร้อย อายุอานามก็น้อยกว่าญาณินพอสมควร ไม่ค่อยชวนให้รู้สึกขัดตาในความคิดของเขานัก รุทรปล่อยผ่าน เปิดเพลงจากบลูทูทฟังเบาๆ ระหว่างขับรถอย่างอ้อยอิ่งไปตามท้องถนน
เขาชอบโซฟาที่ร้านของญาณิน เหมาะสำหรับการนั่งเล่นสบายๆ
“คุณซีร็อกซ์ชีตมาเผื่อผมแล้วใช่หรือเปล่า”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ณินซีร็อกซ์มาเผื่อหลายคนเลย” หล่อนบอกด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ความเอื้อเฟื้ออันเป็นเอกลักษณ์ทำให้คนมองพลอยรู้สึกดี
“ให้เขาหากันเองบ้างก็ได้ ใจดีตลอด”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณหาชีตเองเป็นคนแรกเลยแล้วกันนะคะ”
รุทรหัวเราะเบาๆ หล่อนไม่ใช่คนเรียบเรื่อยน่าจืดชืดในความรู้สึกของเขาเลย ตรงกันข้าม บางครั้งยังต่อปากต่อคำฉาดฉาน หรือแม้แต่กล้าแสดงความคิดเห็นในด้านตรงข้ามกับเขา
ในรามาดา นอกจากเรวัตรแล้วก็ไม่ค่อยมีใครกล้าแย้งเขาเท่าไรนัก น้องสาวคนเล็กก็ตามใจพี่ชายไปหมดทุกเรื่อง นานๆ ครั้งถึงจะค่อยมีอ้อมแอ้มกล้าเถียงจริงจัง
“คุณนี่เป็นผู้หญิงยียวนที่สุดเลย”
ญาณินยิ้มแป้นแล้น ดุจจะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองโดนกล่าวหาว่าเป็น... หล่อนเป็นคนมองโลกในแง่ดีและมีจิตใจโอบอ้อมต่อคนอื่น เขาสัมผัสได้อย่างนั้น ถึงได้มีเพื่อนมาติดพันขอความช่วยเหลือไม่ได้หยุดหย่อน
“คุณไม่เหนื่อยเหรอคะ ทำงานช่วงวันธรรมดา เรียนตอนเย็น แล้วก็มาเรียนวันเสาร์อาทิตย์ด้วย”
“ก็นิดหน่อย”
“แล้วไม่ยอมกลับไปพักผ่อน...” หล่อนว่า เหลือบตามองเขาคล้ายตำหนิ
คนถูกบ่นปรายตาเพียงนิด หน้าตึงขึ้นอีกหน่อย...
“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมไปกินกาแฟที่ร้านก็แล้วแต่นะ”
“คุณรุทร” ญาณินทำเสียงอ่อน ห่อไหล่ ไม่กล้าสบตา
“กับผมไล่ไปนอนตลอด... ทีกับอีกคนชวนเอาๆ”
“ขี้ใจน้อยจัง”
“เปล่าสักหน่อย”
คนปากแข็งก็ยังคงแสร้งทำเป็นขับรถหน้านิ่ง ถึงแม้คนข้างกายจะอดอมยิ้มไม่ได้กับความเรรวนของเขา ญาณินยอมปล่อยให้รุทรเข้าใจว่าตัวเองไม่ใช่คนใจน้อยต่อไป ดีกว่าจะเอาชนะ ที่สุดท้ายแล้วลึกๆ ในใจรู้ว่าไม่มีทางชนะอยู่ดี
เดือนกว่าแล้วที่รู้จักกันมา ยิ่งรู้จักเท่าไรก็รู้สึกว่าเขามีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าภาพที่มองเห็นด้านนอก อะไรหลายอย่างที่ดูขัดกับตัวตนอย่างประหลาดแต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้... เขาดูเงียบๆ นิ่งๆ เหมือนคนใจเย็น แต่สุดท้ายก็เป็นคนช่างใจน้อยและเรรวนได้ตลอดเวลา เขามีความมั่นใจ เหมือนคุ้นชินกับการตัดสินใจโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดให้นาน ไม่ค่อยเห็นอะไรเป็นอุปสรรค ตรงกันข้ามกับหล่อนที่ทำอะไรก็ต้องคิดแล้วคิดอีก
แต่รวมๆ การได้เรียนรู้ตัวตนของเขาก็กลับเหมือนเป็นบ่วงบางๆ ที่ผูกหล่อนเข้ามาใกล้ กลายเป็นความเคยชินที่จะมีใครบางคนถือวิสาสะมานั่งข้าง ทำหน้านิ่งๆ ขรึมๆ จนคนอื่นไม่กล้าเข้ามาคุยด้วย เวลาจะกลับบ้านเขาก็จะรอและขับเจ้ารถกระป๋องคันเก่าไปส่งจนถึงบ้าน บางวันหากมีเวลาก็นั่งกินโจ๊กเป็นเพื่อนที่หน้าปากซอย
“นี่ชีตของคุณ อ่านด้วยนะ สัปดาห์หน้าจะสอบมิดเทอมแล้ว”
หล่อนบอกพลางชงกาแฟแก้วใหม่ให้เขา แตกต่างไปจากลาเต้ที่หล่อนตั้งชื่อให้ว่าเอสเปรสโซใส่นมที่ชงให้เขากินทุกวัน รุทรเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟที่แยกชั้นสีขึ้นมา จิบทีละชั้นโดยไม่ต้องฟังหล่อนอธิบาย
“วันนี้อารมณ์ดีเหรอ ชงกาแฟแบบใหม่ให้ผม”
“คิดว่าคุณน่าจะเหมาะกับมัน... เดอร์ตี้แก้วนี้ได้เมล็ดมาจากบนดอยของไทย หอมดีนะคะ ไม่ค่อยแพงมาก เหมือนนำเข้าจากนอกด้วย”
“ใช้ได้เลย”
เขารู้สึกได้ถึงมิติของกาแฟแก้วใหม่ที่หล่อนชงให้ต่างไปจากทุกวัน บาริสตาสาวเอียงคอมอง สังเกตสีหน้าของคนดื่มกาแฟและจดจำไว้เงียบๆ ...ในการฝึกเป็นบาริสตา แน่นอนว่าหล่อนต้องเก็บรายละเอียดจุกจิกเหล่านี้ด้วยโดยอัตโนมัติ
รุทรหยิบชีตของตัวเองขึ้นมาอ่านระหว่างที่หญิงสาวกระวีกระวาดไปรับออร์เดอร์จากลูกค้าคนอื่นที่แวะเวียนเข้ามาในร้าน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นมาแตะปลายจมูก ค่อยช่วยให้ความอ่อนล้าผ่อนคลาย เมื่อมีสมาธิก็ค่อยเข้าใจสิ่งที่อาจารย์สอนในตอนกลางวัน
“คุณสินธรรับอย่างเดิมนะคะ” เสียงบาริสตาสาวทักทายลูกค้าอย่างเป็นกันเอง หล่อนมีคุณสมบัติของบาริสตาที่ดีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ทั้งความช่างสังเกต ความใส่ใจ ความสะอาด เรียบร้อย
ลูกค้าติดเพียบเชียว... เอาใจเก่ง...
คนนั่งสังเกตการอดสังเกตไม่ได้ ลูกค้าแต่ละคนของร้านหล่อนเป็นคอกาแฟที่แท้จริง เสียงแว่วๆ ถามหาเมล็ดกาแฟจากฝั่งตะวันตกที่หายาก แต่ช่วงนี้เจ้าตัวไม่ค่อยได้สต็อกของ
น่าจะมีปัญหาการเงินอะไรสักอย่างที่หล่อนเคยบอกเอาไว้แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก รุทรจิบกาแฟของตัวเองดื่มเงียบๆ ในมุมหนึ่งของร้าน นาฬิการาคาแพงบนข้อมือเก็บไปหมดแล้ว รวมถึงเสื้อผ้าที่แอบไปซื้อมาใหม่ไม่ให้ดูแปลกแยกไปจากหล่อนมาก ความหรูความแพงที่น้องสาวช่วยประโคมให้หายไป เหลือแต่เพียงมาดหนุ่มวัยทำงานธรรมดาที่เดินไปมาตามถนนย่านธุรกิจกลางเมือง
เหลืออย่างเดียวที่เขาไม่สามารถทิ้งไปได้คือบุคลิกและท่วงท่า... แต่ก็ดีว่าญาณินไม่ได้สังเกตหรือตั้งใจจับผิด ผู้ร่วมคลาสของเขาแต่ละคนก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพราะเพื่อนที่มีไปเรียนต่อต่างประเทศกันหมดแล้ว ไม่มีใครติดภาระอยู่ที่เมืองไทยเหมือนเขา
เรวัตรกับรมิตาก็ต้องไปเรียนต่างประเทศเร็วๆ นี้ หลังจากที่เขากลับไปทำงาน และรมิตาเรียนจบปริญญาตรี ถึงแม้ทั้งสองคนจะดูงอแง ไม่ค่อยอยากไปไกลกันสักเท่าไรก็ตาม บ้านเขาพี่น้องสามคนตัวติดกันเหมือนตังเม ขาดใครสักคนไปก็คงเหงา
“คุณหิวข้าวหรือเปล่า ณินจะสั่งมาให้”
“ได้สิ... กินเหมือนคุณ อะไรก็ได้”
ญาณินจัดการเรื่องอาหารให้เขาจนเรียบร้อย ลูกค้าซาลงแล้วจึงมานั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อน เพื่อสรุปความรู้เก่าที่มีก่อนจะเตรียมตัวเข้าสอบมิดเทอมต่อไป รุทรนั่งหาวจนเจ้าของร้านทนไม่ไหว เดินไปชงกาแฟมาให้อีกหนึ่งแก้ว
“เดี๋ยวนี้เขาฮิตดริปกัน คุณไม่ดริปเหรอ”
“ดริปสิ... แต่คุณกินเอสเปรสโซใส่นม ณินไม่ดริปให้เสียของหรอก”
รุทรหัวเราะกับคำบ่นกระปอดกระแปดของบาริสตาสาว... คนไทยส่วนหนึ่งที่ไม่ใช่คอกาแฟมักสั่งเอสเปรสโซใส่นมกันจนเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ความเป็นจริงเอสเปรสโซคือกาแฟร้อนหนึ่งช็อตที่ไม่ใส่อะไรเพิ่มเติมทั้งนั้น
โอเค เขารับทราบในข้อนี้ แต่ทำหน้ามึนเฉยต่อไปถึงแม้ในใจอยากนึกลองปานามาเกอิชาที่ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์สีขาวมากเท่าใดก็ตาม
“ณินสั่งข้าวกะเพราทะเลมา ร้านนี้อร่อยมากเลยนะ ชิ้นใหญ่ด้วย ชอบมากเลย”
“คุณนี่เรื่องกินเรื่องใหญ่เหมือนกันนะ”
“นิดหนึ่ง”
ท่าทางกระตือรือร้นขะมักเขม้นแกะกล่องข้าว ทำให้เขารู้สึกอยากกินตามไปด้วย อาหารที่หล่อนเลือกมารสชาติค่อนข้างดี กินแล้วอิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งใจ
“อร่อยจังเลย อยากกินเพิ่มอีก”
“ตัวเล็กนิดเดียวทำไมกินจุ” ชายหนุ่มเปรยด้วยความฉงน มองปอยผมเล็กๆ ที่ขยับเคลื่อนไหวไปมา น่ารักเหมือนเจ้าของ หล่อนดูใสซื่อและบริสุทธิ์น่าทะนุถนอม
“คุณอิ่มหรือเปล่าคะ ในร้านมีขนมอีก ถ้าคุณอยากกินก็หยิบได้เลยนะ”
“คิดเงินด้วยละ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนกัน ไว้คุณค่อยเลี้ยงอาหารณินคืนวันหลังก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ณินเอาไปฝากคุณบาส คุณขวัญ ก็ไม่ได้คิดเงิน”
หน้าเขาแอบมุ่ยขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อไม่พึงประสงค์อีก แต่ค่อยดีขึ้นเมื่อได้กินขนมหวานที่เจ้าตัวเอามาเสิร์ฟ ซีซอลต์บราวนีตัดกับรสชาติกาแฟได้เป็นอย่างดีนัก
“คุณอ่านชีตจบแล้วเหรอคะ”
“ครึ่งเดียว”
“ณินอ่านด้วย อ่านคนเดียวสอบไม่ผ่านแย่เลย”
เขาขยับให้หล่อนนั่งข้างๆ อย่างยินดี ญาณินติวหนังสือสอบอย่างขะมักเขม้นแม้จะถูกขัดจังหวะด้วยลูกค้าที่มาในร้าน... กิจการของหล่อนเล็กมาก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นร้านทำมือด้วยซ้ำ กาแฟที่ทำแต่ละแก้วพิถีพิถัน อย่างที่เขาเห็นบาริสตาหลายคนที่มีชื่อเสียงทำ
“เหนื่อยไหม ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย”
“ณินทำกาแฟไม่เหนื่อยเท่าช่างซ่อมรถอย่างคุณหรอกค่ะ ร้อนก็ร้อน หมดวันคงแทบสลบแล้ว”
รุทรหัวเราะ... หมดวันเขาแทบสลบก็จริง แต่ครึ่งหนึ่งไม่ได้เป็นงานซ่อมรถเปื้อนน้ำมันเครื่องหน้าดำเลย แต่กลับเป็นงานเอกสารมากมายที่ล้นโต๊ะทำงานเสียมากกว่า
หล่อนละความสนใจจากเขา อ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น ในขณะที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยมีสมาธิอยู่บ่อยครั้ง หยิบกาแฟขึ้นมาดื่มเงียบๆ ค่อยๆ ไล่อ่านหนังสือไปทีละนิดอย่างไม่ได้ตั้งใจ เหลือบมองคนข้างกาย ไม่นานนักหล่อนก็เผลอผล็อยหลับบนโต๊ะ กลางหน้าชีตที่เปิดค้างไว้อย่างนั้น
ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยคงเหนื่อย... เขาคิดในใจ ขนาดเขาเองมีคนช่วยทำงานส่งอย่างรมิตาแล้วทั้งคนยังรู้สึกทวนบทเรียนไม่ค่อยทัน ญาณินทำร้านกาแฟไปด้วยและเรียนไปด้วยก็คงจะหนักพอตัว ร้านของหล่อนไม่ได้จ้างคนเพิ่ม ทำคนเดียวเล็กๆ แต่ก็จุกจิกไปทุกอย่าง
ดวงตาสีเข้มคู่คมทอดมองหญิงสาวด้วยประกายของความเอ็นดูโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตน อะไรบางอย่างที่อบอุ่นแผ่ขึ้นมาในจิตใจของเขาเงียบๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลย มันไม่เหมือนความรู้สึกยามที่เขาอยู่กับรมิตาหรือเรวัตร แต่มันเป็นความดึงดูดของอะไรบางอย่างที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้
แอร์เย็น เขาปรับจนเบาลง มองนาฬิกายังไม่ดึกเกินไปนักจึงอ่านหนังสือต่อไปอีกสักพัก หากคนข้างกายเจ้ากรรมก็เผลอเอียงตัววูบลงมาเบียด
สัมผัสแรกที่กายเขาแตะกับผิวของหล่อนมีความร้อนแผ่ซ่านไป ความรู้สึกของเขาตอบรับกับความใกล้ชิดอย่างรวดเร็วจนควบคุมไม่ได้ จะขยับหนี แต่ใจส่วนลึกก็รั้งไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้น
ถ้ารมิตารู้ก็คงจะบ่น ที่คนอย่างเขา รุทร รามาดา มานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ ไม่ใช่ร้านหรูหราอย่างที่ชอบไป ต้องปลอมตัวเป็นช่างซ่อมรถขับรถญี่ปุ่นเก่าๆ แต่งตัวขะมุกขมอม เพื่อทดสอบจิตใจผู้หญิงคนหนึ่งว่าคิดกับเขาอย่างไร มองตัวตนเขาแค่ข้างนอก หรือมองไปถึงด้านใน
คนหลายคนที่เข้ามาในชีวิตเขามอบความรักให้เขาและเรียกร้องสิ่งตอบแทนมากมาย ไม่ใช่ว่าจะตอบแทนให้ไม่ไหว หากเขาอยากเจอใครสักคนที่รักเขาในตัวตนที่เป็นเขาจริงๆ
ไม่ใช่รุทร รามาดา เจ้าของดีลเลอร์รถสปอร์ตพันล้านคนนั้น...
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้ายามเมื่อเขาทอดตามองหญิงสาว อยากยื่นมือไปแตะแก้มป่องๆ แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เพียงซึมซับความรู้สึกเป็นสุขอยู่เงียบๆ ตามเวลาที่หมุนผ่านไป
“คุณปล่อยให้ณินหลับ ไม่ปลุกณินเลย” คนเผลอหลับโวยวายเมื่อรู้สึกตัว เพราะนอกจากหล่อนจะเผลอหลับไปคากองชีตแล้ว ยังเผลอเอนไปซบเขาอีกด้วย
“ก็ดูคุณเหนื่อย เลยอยากให้พัก”
“คุณเมื่อยหรือเปล่า ณินขอโทษ... ไม่ได้ตั้งใจ”
“นิดหน่อย” รุทรตอบ... อมยิ้มอยู่ในหน้า
“ณินขอโทษ... หนังสือก็ไม่ได้อ่าน ยังมานอนหลับเบียดคุณอีก”
ท่าทางหล่อนรู้สึกผิดจนเขานึกขัน หยิบชีตที่อ่านจบแล้วมาเก็บใส่กระเป๋าพลางว่า
“วันนี้คุณกลับบ้านอย่างไร”
“ไม่ได้เอารถมา ว่าจะกลับแท็กซี่”
“แต่ดึกแล้วนะ ผมไปส่งดีกว่า กลับแท็กซี่อันตรายออก คุณเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว”
“ณินนั่งแท็กซี่บ่อยค่ะ ไม่เป็นไรหรอก” รีบปฏิเสธก่อนที่เขาจะทันทัก หญิงสาวหยิบชีตตัวเองมาเก็บแล้วเดินไปเก็บของบนเคาน์เตอร์ หยิบแก้วและอุปกรณ์ที่ใช้เสร็จแล้วมาล้าง โดยมีแขกคอยช่วยอย่างขมีขมัน
“คุณไปนั่งพักเถอะ ไม่ต้องช่วยณินก็ได้ คุณเหนื่อยจะแย่ละ”
“ผมช่วยได้น่า”
ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้แน่ใจนัก งานเก็บกวาดล้างทุกอย่างปกติแม่บ้านของเขาจะจัดการให้ตลอด มีเพียงงานหยิบของไปวางที่อ่างล้างจานเท่านั้นที่แม่เขาเคยสอนให้ทำเมื่อตอนยังเด็ก
“คุณน่ะล้างก็ไม่สะอาด” เสียงบ่นมาทันทีเหมือนจะรู้ “คุณไม่เคยล้างจานเหรอคะ”
รุทรหัวเราะเบาๆ ถ้าตอบตามจริงหล่อนคงรู้ว่าเขาเป็นใคร... เลยได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ตอบ ยอมให้หญิงสาวแย่งจานในมือไปถูแต่โดยดี
“มันยังมีคราบติดตามซอกแบบนี้ ต้องขัดก่อน”
หล่อนหยิบแปรงมาทำให้ดูอย่างคล่องแคล่ว ล้างน้ำจนสะอาดไม่มีคราบฟองแล้ววางตาก
“ผู้ชายนี่นะ งานบ้านเขาทำไม่ค่อยเป็นหรอก”
“ผมถนัดแต่งานซ่อมรถนี่นา”
“ไม่แปลกใจหรอกค่ะ” ญาณินยิ้ม เช็ดขอบอ่างล้างจานเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะซักผ้าผืนเล็กแล้วบิดหมาดจนแห้ง ตากไว้ให้น้ำระเหยออกจนหมด
“กลับบ้านเถอะค่ะ ดึกแล้ว”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
ครั้นเห็นหล่อนดูละล้าละลังไปด้วยความเกรงใจเขาก็สำทับ
“เร็วสิ เก็บของ”
“ก็ได้”
บาริสตาสาวเก็บกระเป๋าจนเสร็จ ปิดไฟแล้วเดินออกมาขึ้นรถกระป๋องคันเก่าของเขาที่บ่ายหน้าออกจากร้านของหล่อนและตรงไปยังบ้านโดยไม่ต้องบอกทาง
รถคันเล็ก แอร์เย็น... เขาหรี่ให้อีกครั้งเมื่อเห็นว่าหล่อนดูหนาว ร่างบางนั่งเงียบๆ อยู่ข้างคนขับ มองท้องถนนที่รถไม่ได้พลุกพล่านแออัดแล้ว
“คุณขับรถนิ่มดีนะคะ”
“ขอบใจ”
ถึงแม้รถจะเก่ามากในความรู้สึกของเขาแต่หล่อนก็ไม่ได้บ่นอะไร ยังคงใช้มันเป็นพาหนะที่รับส่งหญิงสาวไปมาระหว่างมหาวิทยาลัย ร้านกาแฟ และบ้านได้เป็นอย่างดี บรรยากาศในรถคันเล็ก แต่กลับอบอุ่นไปด้วยความรู้สึกดียามที่มีใครอีกคนอยู่ใกล้ ไม่ได้รู้สึกเหว่ว้าเหมือนหลายครั้งที่เขาขับรถสปอร์ตคู่ใจวนรอบกรุงเทพมหานคร
“กลับเข้าบ้านดีๆ ละ” เขาบอก รอจนหล่อนลงจากรถแล้วเดินหายเข้าไปในบ้าน ญาณินหันมาโบกมือแทนคำบอกลา ตะโกนบอก
“คุณถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกด้วยนะ ณินจะได้ไม่ต้องกังวล”
“จ้ะ”
แสงไฟบนท้องถนนค่อนข้างมืดสลัว รุทรขับรถกลับไปตามท้องถนนอย่างเชี่ยวชาญ รถกระป๋องคันเล็กก็พาเขามาถึงที่หมายได้ไม่ต่างอะไรกับรถสปอร์ต ต่างแต่เพียงว่า คนที่นั่งข้างเขาในรถกระป๋องทุกวันนี้ มีความหมายกว่าคนอื่นๆ ที่เคยนั่งรถสปอร์ตหรูหราที่ผ่านมา
รอยยิ้มบางๆ ประดับแต้มบนใบหน้าคมสันโดยที่เขาไม่ทันรู้ตน
