บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

คลาสแรกเป็นแค่การแนะนำตัว เขาจดอะไรเพียงเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่จดยิกๆ เหมือนเด็กเรียน ท่าทางตั้งใจชวนให้นึกถึงสมัยยังเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ครั้นพอจบมาได้ก็ละวางลงเยอะแล้ว ต่างจากหล่อนที่ยังดูเหมือนมีไฟตลอดเวลา

“คุณนี่ขยันจัง จดอะไรเยอะแยะไปหมด”

“ก็รายละเอียดไว้สำหรับเวลาเรียนจะได้จำได้” ญาณินตอบด้วยท่าทางราวกับเป็นเรื่องธรรมดา มองนาฬิกาข้อมือยังเป็นเวลาบ่ายจัด วันนี้วันอาทิตย์ คลาสส่วนใหญ่จึงเริ่มในช่วงกลางวัน “คุณกลับบ้านอย่างไรคะ... ขับรถมาหรือเปล่า ณินจะกลับไปร้านต่อ”

“ผมเหรอ... เอ้อ... แล้วคุณกลับอย่างไรล่ะ”

“รถเมล์ค่ะ มีสายที่วิ่งผ่านหน้าร้านพอดี... ร้านอยู่ตรงสายสองนี่เอง ไม่ได้ไกลมาก” หล่อนบอก มองเขาด้วยสายตาสดใส “คุณนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาล่ะคะ”

รุทรกะพริบตา นึกถึงปอร์เช่ พานาเมร่า ของตัวเองที่จอดอยู่ในลานจอดรถของมหาวิทยาลัย ไม่มีความคล้ายใดกับกระป๋องสีแดงครีมที่วิ่งไปวิ่งมาบนท้องถนน

“เอ้อ ผมนั่งรถไฟฟ้ามา... แต่ว่าตอนเย็นผมว่าง นั่งรถเมล์ไปกินกาแฟร้านคุณก็ได้ ไม่ไกลไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ค่ะ หรือจะเรียกแท็กซี่ไป เดี๋ยวณินออกค่าแท็กซี่เอง”

“ผมพอมีเงินอยู่บ้าง ผมจ่ายค่าแท็กซี่ก็ได้ เดี๋ยวคุณค่อยเลี้ยงกาแฟ”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปรถเมล์กันก็ได้ค่ะ ประหยัดดี”

หญิงสาวสรุป เก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินออกมารอรถเมล์ที่ป้าย... ให้ชายหนุ่มร่างสูงเดินตามมารอรถเมล์ด้วยกันอย่างไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก สมัยเด็กเขาเดินทางด้วยรถรับส่งของที่บ้าน พอโตขึ้นสักนิดก็มีรถให้ขับตลอด

แต่รุทรก็เดินไปขึ้นรถเมล์ตามหญิงสาวอย่างเรียบง่าย ทิ้งพานาเมร่าเอาไว้ที่ลานจอดรถ บอกตัวเองว่าค่อยย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่งก็คงจะไม่เป็นไร

“อู่ของคุณเองเหรอคะ หรือว่าของเจ้านาย”

“ของเจ้านาย” เขาตอบโดยแทบไม่ต้องคิด... เจ้านายของเขามีสองคน คนแรกชื่อเรวัตร อีกคนชื่อรมิตา “ผมเป็นแค่ลูกจ้าง แล้วแต่เขาจะสั่ง”

“คุณซ่อมรถอะไรได้บ้างล่ะคะ”

“ก็ได้ทุกอย่างแหละ ผมโมรถแต่งเป็นด้วยนะ”

ญาณินเบ้ปาก ย่นจมูก

“ไม่เห็นชอบเลย รถแต่งแว้นๆ ตามถนน ชอบทำเสียงดังจะตาย ขับรถก็ไม่ค่อยมีมารยาท”

คำบอกนั้นทำให้คนฟังหน้าม้านไปนิด... นึกถึงรถแต่ละคันที่เขาโมดิฟาย ไม่ว่าจะเป็นแมคลาเรน แอสตันมาร์ติน เวลาเร่งเครื่องทีไรมีแต่พริตตี้สาวๆ หันมากรีดร้องเสียงหลงตาม เศรษฐีทุกคนจากแนวหน้าของเมืองไทยที่มีใจรักรถสปอร์ต ก็จะมารวมตัวกันอยู่แถวนั้น

ดูต่างจากขาแว้นตามท้องถนนโขอยู่...

แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายโดยละเอียด ยืนโหนรถเมล์ตามหญิงสาวเงียบๆ เหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไปในกรุงเทพมหานคร

“ป้ายหน้าก็ร้านณินแล้วละค่ะ... อุ๊ย...”

ญาณินร้องเบาๆ เมื่อรถเบรกเหวี่ยงจนหล่อนถลามาปะทะกับร่างสูงของคนข้างกาย ความนุ่มนิ่มของหญิงสาวเบียดไปกับอกกว้าง รุทรเผลอยกมือขึ้นโอบไว้โดยอัตโนมัติ

“ขอโทษด้วยนะคะ รถมันเหวี่ยง ณินไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรหรอก”

เขาบอกน้ำเสียงทุ้ม เมื่อหญิงสาวถอยเพียงนิดเพื่อให้ห่างจากตัวเขา ชายหนุ่มถอนใจหาย ไม่รู้ว่าทำไม ในใจลึกๆ รู้สึกเหมือนเสียดายความรู้สึกเมื่อสักครู่ก่อนเหลือเกิน

“คุณเป็นบาริสตาเหรอ”

“ใช่ค่ะ” หล่อนบอก “จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ระดับรางวัลอะไรหรอก แค่พอชงกาแฟเป็นแค่นั้นเอง คุณชอบกินกาแฟหรือเปล่า”

“แน่นอน ก็ต้องชอบกินอยู่แล้ว”

“คุณกินกาแฟสดไหมคะ”

รุทรกลอกตา... ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงซื่อๆ

“เคยกินเอสเปรสโซที่แถวอู่ขาย ก็อร่อยดีนะ แต่บางร้านก็ชงหวานไป ไม่ค่อยชอบ”

“เอสเปรสโซสูตรไทยสินะคะ ใส่นมด้วย”

น้ำเสียงบาริสตาเจือขัน เป็นเวลาเดียวกับที่รถเมล์มาถึงป้ายจุดหมาย เขาเดินตามหล่อนลงไปเหมือนต้องมนต์สะกด ลืมไปหมดแม้กระทั่งรถที่จอดไว้ที่มหาวิทยาลัย

ร้านของหล่อนเป็นร้านขนาดเล็กที่เช่าห้องไว้หนึ่งห้อง มีโซนให้นั่งอ่านหนังสือและพื้นที่วางขนมขายเล็กๆ น้อยๆ ให้รับประทาน กลิ่นกาแฟคั่วหอมจนชวนให้รู้สึกหิว ด้านในมีชายหนุ่มอีกคนที่ทำหน้าที่ทั้งหมดในร้าน

“บิว พี่กลับมาแล้ว นายไปพักได้แล้วแหละ เดี๋ยวพี่ดูร้านต่อเอง ขอบใจมาก”

“ขอบคุณครับ”

ดวงตาคู่คมเหลือบมองแขกที่มาพร้อมกับเจ้าของร้านเพราะความแปลกหน้าไม่รู้จักกันมาก่อน ภูผาเป็นนักชงกาแฟมือใหม่ที่มีหน้าที่ดูแลร้าน ระหว่างที่ญาณินไม่อยู่ ครั้นเมื่อเขากลับบ้านไป หล่อนก็เชิญให้แขกนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กที่วางอยู่แล้วถาม

“คุณรับกาแฟอะไรดีคะ”

“เอสเปรสโซหวานน้อยก็ได้” เขาตอบ ทำท่าทางเหมือนเข้าใจว่าเช่นนั้น หากบาริสตาสาวไม่ได้ว่าอะไรในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอสเปรสโซ หยิบเมล็ดกาแฟมาบด ไม่นานนักลาเต้สวยๆ ในแก้วก็ถูกหยิบมาเสิร์ฟให้เพื่อนร่วมคลาสคนใหม่

“ที่นี่เราไม่มีเอสเปรสโซหวานน้อย คุณกินลาเต้ไปก่อนแล้วกันนะคะ”

รุทรหยิบกาแฟถ้วยนั้นขึ้นมามอง กลิ่นที่หอมกรุ่นทำให้เขารู้สึกชื่นชม กลิ่นกาแฟในร้านของหล่อนแฝงไปด้วยกลิ่นดอกไม้ กลิ่นเปรี้ยวจางๆ ของเมล็ดและกลิ่นอโรมาที่หอมกรุ่นหลังจากเมล็ดสัมผัสความร้อน

“คุณใช้กาแฟอะไร”

“กาแฟไทยบ้านๆ จากบนดอยนี่แหละค่ะ ไว้วันไหนคุณสั่งเอสเปรสโซแบบไม่หวาน ค่อยชงกาแฟไทยตัวท็อปให้กิน”

“มีการแบ่งชนชั้นแม้กระทั่งเมล็ดกาแฟเหรอ”

“ก็คุณกินเอสเปรสโซหวานน้อยนี่คะ”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ โผล่หน้ามาจากหลังเครื่องชงกาแฟทันสมัย หยิบจานมาใส่ขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ให้เขารับประทาน

“คนเมื่อกี้แฟนคุณเหรอ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามเช่นนั้น ทั้งที่ไม่ควรเลย เพราะเป็นคนเพิ่งรู้จักกันโดยแท้

“น้องที่เรียนทำกาแฟมาด้วยกันน่ะค่ะ พอดีเปิดร้านเลยชวนมาช่วย แต่เขามาบางช่วง เหมือนตอนนี้วันไหนถ้าณินไปเรียนก็ให้น้องมาช่วยเฝ้าร้าน เขาชงกาแฟอร่อยนะ มีคนติดเยอะพอสมควร”

“ทำไมคุณถึงไปเรียนล่ะ ไม่มีคนเฝ้าร้านแบบนี้”

“ก็ณินคิดว่าอยากจะขยายกิจการถ้ามันพอไปได้ เราก็ควรจะมีความรู้ด้านการบริหารบ้าง อีกอย่างดีกรีมันก็จะช่วยเราด้วย ถ้าหากว่าวันหนึ่งทำกาแฟไม่รุ่ง ก็อาจจะใช้สมัครงานอื่นได้... คุณล่ะคะ ทำงานอู่ซ่อมรถ ทำไมถึงมาเรียนบริหาร”

“ก็...” เขาอึกอัก เกือบจะสำลักกาแฟก่อนจะตอบ “ก็เผื่อวันหนึ่งผมจะขยับขยายไปเป็นเจ้าของอู่บ้างไง ก็ต้องเรียนบริหารไว้ก่อนเหมือนคุณนั่นแหละ”

“ที่จริงบ้านณินทำบริษัทนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศด้วยนะคะ แต่ว่าตอนนี้กำลังมีปัญหาอยู่ ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปต่อได้หรือเปล่า ที่จริงเรียนนี่นอกจากจะทำกาแฟแล้ว ก็เผื่อว่าจะได้ช่วยเหลือปะป๊าด้วย สงสารแก ทำงานหนักตลอดเวลา”

“สมัยก่อนพ่อกับแม่ผมก็ทำงานหนัก ส่งเสียลูกให้เรียน”

“เหรอคะ ตอนนี้ท่านคงสบายใจแล้วที่คุณเรียนจบ มีงานมีการทำ”

“ท่านคงเห็นจากบนสวรรค์” รุทรบอก ยิ้มจางๆ บนใบหน้าเมื่อพูดถึงบุพการีของตัวเอง “พ่อกับแม่ผมเพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง เหลือผมดูแลน้องสองคน”

“ตายจริง” สีหน้าหล่อนเปลี่ยนไปเมื่อรับรู้จากเขา “เสียใจด้วยนะคะ คุณคงจะเศร้ามากที่พ่อกับแม่จากไป”

“ก็ทำใจอยู่นานพอสมควร มันกะทันหันมาก และพวกเราทั้งสามคนก็ไม่ทันตั้งตัวเลย”

“คุณมีพี่น้องสามคนเหรอคะ”

“ผมเป็นลูกคนโต มีน้องชายกับน้องสาวอย่างละหนึ่ง ตอนที่พ่อกับแม่เสีย น้องๆ ผมยังเรียนอยู่เลย ผมต้องรอให้น้องชายคนกลางเรียนจบ ทำงานได้ก่อน ถึงค่อยมีเวลาให้ตัวเองมาเรียนปริญญาโท”

“คุณเก่งจังเลยนะคะ ทำงานส่งเสียน้องตั้งสองคนให้เรียนจนจบได้ ค่าเทอมแต่ละเทอมก็ไม่ใช่ถูกๆ คุณต้องทำงานหนักมากแน่เลย”

“ก็หนักอยู่นะ”

ถ้ามองในแง่ของความรับผิดชอบที่เขาต้องมาสานต่อกิจการของบิดาและมารดาที่ใหญ่โตคับฟ้าวงการรถสปอร์ตและซูเปอร์คาร์เมืองไทย ดีที่ว่าพ่อกับแม่สอนงานเขาตั้งแต่ยังเด็ก จนเมื่อจบมาแล้วก็ไม่ลำบากมากนัก คนในบริษัทก็อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกก่อตั้ง ทุกคนจึงให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี

และก็ดีที่เขาไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายของน้องทั้งสองคนเลย ต่อให้รมิตาจะแอบซื้อแอร์เมสมาเก็บไว้ไม่ให้เขาเห็นเดือนละใบก็ตาม

“คุณชงกาแฟอร่อยดีนะ” เขาชม รับรู้ได้ถึงความเป็นกาแฟที่ประณีตกว่ากาแฟตามร้านทั่วไป โดยเฉพาะเอสเปรสโซใส่นมที่มีขายเฉพาะในประเทศไทย

“ขอบคุณที่ชมนะคะ ลองกินขนมสิคะ ของร้านน้องบิวที่เพิ่งกลับไปเมื่อกี้ เขาทำเบเกอรีอร่อยมาก คุณลองชิมได้”

“ขอบใจ”

รสชาติขนมอร่อยอย่างที่เจ้าของร้านว่า แม้รสชาติจะไม่ดีเด่นอย่างร้านที่รมิตาชอบพาเขาไปกิน หรือพาทิสเซอรีเจ้าใหญ่ๆ ในฝรั่งเศส แต่มันก็เป็นขนมที่รสชาติค่อนข้างละมุน

รุทรใช้เวลาในร้านกาแฟแห่งนั้นอยู่อีกครู่ใหญ่จนตะวันตกดิน เสียงโทรศัพท์ประจำตัวดังขึ้นมาพร้อมกับน้องสาวคนเล็กที่เจื้อยแจ้วมาตามสาย

“พี่รุทรอยู่ไหนคะ มิตากับพี่เรย์จะออกไปหาอะไรกิน ไปด้วยกันไหม”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่อยู่บ้านเพื่อน กินแล้วล่ะ มิตากินกับเรย์ไปกินกันเลยก็ได้ เดี๋ยวค่อยกลับไปเจอกันที่บ้าน”

เขาวางสายเพื่อกลับมาพบกับสายตาสีนิลงามที่ทอดมองอยู่ก่อนหน้าแล้ว ญาณินเอียงคอ ก่อนจะบอกด้วยความเกรงใจ

“คุณต้องรีบกลับไปไหนหรือเปล่าคะ”

“อ๋อ เปล่าหรอก น้องๆ ผมชวนกินข้าวน่ะ แต่ว่ากว่าผมจะไปถึงคงค่ำแล้ว ให้เขากินกันก่อนก็ได้”

“แต่นี่ก็ค่ำแล้วจริงๆ บ้านคุณอยู่ไกลไหมคะ”

“ก็... ไกลจากที่นี่พอสมควร” เขาบอกที่อยู่ของบ้านตัวเองที่สร้างอยู่ไกลออกมาจากตัวเมืองหน่อยเพื่อลดความแออัด ส่วนคอนโดมิเนียมกลางกรุง ทุกคนต่างมีของตัวเองกันคนละห้องเพื่อความสะดวกสบาย

“แล้วคุณกลับอย่างไรคะ... รถเมล์หรือว่าแท็กซี่”

“เอ้อ... แท็กซี่ก็ได้ ไม่รู้ว่ารถเมล์สายไหนผ่านบ้าง”

“แถวนี้ก็มีหลายสายอยู่นะคะ”

แต่ครั้งสุดท้ายที่เขาขึ้นรถเมล์จริงๆ ถ้าไม่นับวันนี้ก็คือเมื่อหลายปีก่อน... บางทีเขาอาจจะต้องนั่งแท็กซี่กลับไปเอารถที่มหาวิทยาลัยก่อนจะกลับไปที่บ้าน รุทรคิดในใจก่อนจะนึกออก รอจนหญิงสาวเข้าไปหลังร้านแล้วจึงโทรศัพท์หาคนขับรถของโชว์รูม

“ลุงฤทธิ์เหรอ ผมเอง ช่วยมารับผมที่ร้านกาแฟหน่อยได้ไหม... เอารถลุงมา ไม่ต้องเอารถบริษัทหรอก ผมจอดรถไว้ที่มหาวิทยาลัยเดี๋ยวค่อยกลับไปเอา”

ก่อนเขาจะวางสาย หยิบกาแฟที่เหลือขึ้นมาจิบเบาๆ ...พิศมองสภาพรอบร้านที่แต่งไว้อย่างเรียบง่าย หล่อนดูเป็นคนไม่ค่อยถือตัว สบายๆ และเป็นกันเองกับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งเขา

แต่รุทรก็ยังไม่อยากบอกว่าตัวเองเป็นใคร เพราะบ่อยครั้ง ผู้หญิงจะมองสมบัติพัสถานและทุกสิ่งอย่างที่ติดมากับตัวเขา แทนที่จะมองเขาอย่างที่เป็น

ใครๆ ก็รักเงิน... แม้กระทั่งคนที่มีเงินร่ำรวยล้นฟ้า ก็ยังต้องหาคนมีฐานะใกล้เคียงเพื่อเกื้อกูล

ญาณินเดินออกมาจากหลังร้านเป็นเวลาเดียวกับที่เขาวางแก้ว แตะทิชชู่ลงบนริมฝีปาก ก่อนจะบอกเจ้าของร้านด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า

“ประเดี๋ยวเพื่อนผมจะมารับ คงไม่ต้องเปลืองค่าแท็กซี่แล้ว”

“อ๋อ... ค่ะ เสียดายณินปิดร้านสี่ทุ่ม ไม่อย่างนั้นจะไปส่งให้ แต่รถณินเก่าหน่อย นั่งๆ อาจจะพังกลางทาง”

หล่อนบอกเสียงซื่อ คนฟังนึกอยากจะโทรศัพท์ไปยกเลิกคนขับรถแต่ก็ไม่ทันแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาอีกครั้ง หน้าจอโทรศัพท์เครื่องเก่าที่เจ้าตัวทำงานยุ่งจนไม่ได้เปลี่ยนมีรูปหญิงสาวสะสวยแสดงขึ้นมา ญาณินเห็นโดยไม่ตั้งใจ เหลือบมองใบหน้าคมสันของเพื่อนใหม่แล้วบอก

“แฟนคุณโทรศัพท์มาตามหรือเปล่าคะ”

รุทรก้มลงมองหน้าจอ... แฟนที่ไหนกันเล่า ยายรมิตาน้องสาวจอมป่วนคนเดียวที่เหมือนกับเจ้ากรรมนายเวร จะทำอะไรเจ้าตัวเขาก็ต้องมาแจมด้วยไปทุกอย่างจนแทบไม่มีเวลาไปมองหาคนอื่น

“พี่รุทรไม่ตามมาจริงๆ เหรอ มิตาจะเริ่มกินคำแรกละนะ” เสียงเจื้อยแจ้วมาตามสายทำให้เขาโคลงศีรษะ ใจหนึ่งก็เอ็นดู

“กินเลย พี่อิ่มแล้ว... กินเผื่อด้วยแล้วกัน กินเยอะแล้วอย่ามาบ่นอีกละว่าอ้วน พี่จะไม่ฟังแล้ว”

“ไม่อ้วน”

รมิตาโวยวายก่อนที่รุทรจะวางสายไป บอกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“น้องสาวผมเองแหละ เขาขี้อ้อน จะกินข้าวก็ต้องมีพี่ชายกินด้วย”

“แล้วทำไมคุณไม่ไปกินข้าวกับน้องล่ะคะ”

“ก็มีน้องชายคนกลางไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก บ้านเราก็กินข้าวด้วยกันเกือบจะทุกวันถ้าไม่ติดอะไร” เพราะน้องสาวคนดีจะต้องลากทุกคนมากินด้วยกันตลอด “เขาโตแล้ว กินข้าวเองได้แล้ว”

“น้องๆ คงรักคุณมากนะคะ พี่ชายคนโต”

“มิตาก็เป็นอย่างนี้แหละ เขาเป็นลูกแหง่ พอแม่เสียเขาก็ไม่มีใครนอกจากพี่ชายสองคน เขาก็จะตามทุกคนให้ไปเล่นกับเขา”

ญาณินหัวเราะ ท่าทางการบ่นนั้นฟังดูเหมือนเอ็นดูมากกว่าจะถือโกรธจริงจัง เขาคงรักและเอ็นดูน้องสาวตัวเองมาก มิฉะนั้นก็คงไม่โทรศัพท์มาตามกินข้าวกันตลอดเวลาอย่างนี้

“เสียดายณินไม่มีพี่น้องเลย โตมาแบบเป็นลูกคนเดียวก็เลยไม่มีพี่ชายให้ตามไปกินข้าว”

“อยู่คนเดียวก็สบายตัวไปอีกแบบ”

“ก็จริงนะคะ”

รอยยิ้มพิมพ์ใจทำให้เขาไม่นึกอยากกลับบ้านเลยสักนิด เป็นครั้งแรกที่ไม่ใจอ่อนไปกับคำชวนของน้องสาว ถ้าไม่ได้ติดประชุมหรืออะไรจริงจัง

โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คนขับรถของเขานั่นเอง ขับรถเก๋งคันเก่ามาจอดอยู่หน้าร้าน รุทรถอนหายใจ ค่อยลุกขึ้นและบอกลาหญิงสาวที่ยังต้องดูแลลูกค้าในร้านอีกสองสามคนที่เหลือ

“วันจันทร์ค่อยเจอกันในคลาสนะ”

“เดินทางดีๆ นะคะ”

ญาณินยืนโบกมือให้จนไกลสุดสายตา เพื่อนใหม่ของหล่อนกลับไปแล้วพร้อมกับเพื่อนของเขาที่หล่อนไม่รู้ว่าคือคนขับรถส่วนตัวของเขา แปลกที่หล่อนเองรู้สึกประหลาดเมื่อยามที่เขาอยู่ใกล้ เหมือนเป็นอะไรที่ทำให้หัวใจลึกๆ เบิกบาน จนต้องเอ็ดตัวเอง

เขาก็แค่เพื่อนร่วมคลาสคนใหม่เท่านั้นเอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel