บทที่ 1
“ตั้งแต่พ่อกับแม่ของเราเสียไป ก็มีแต่พี่รุทรที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ถ้ามิตาเรียนจบ มิตาก็คงจะช่วยพี่รุทรได้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้มิตาก็ขายรถได้เหมือนกันนะ เสี่ยเขาบอกว่ามิตาน่ารัก พูดเก่ง” หญิงสาวร่างบางวัยยี่สิบสองปี อยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายพูดขึ้นมาท่ามกลางพี่ชายอีกสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หลังจากการประชุมสามพี่น้องทายาทบริษัทรามาดาออโต ดีลเลอร์อันดับหนึ่งที่ครองส่วนแบ่งรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ในเมืองไทยมาช้านาน
บริษัทของพวกเขาทำมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ตั้งแต่รถรุ่นเก่าหายากที่ไม่มีขายแล้วในท้องตลาด จนกระทั่งถึงรถสมัยใหม่รุ่นล่าสุดที่ต้องสั่งจองล่วงหน้า คอนแท็กต์ทุกอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแม่ ส่งต่อมาให้ลูกทั้งสามคนอย่างรุทร เรวัตร และรมิตา
รุทรเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับโครงสร้างของรถสปอร์ต การออกแบบ การซ่อมแซม และการโมดิฟายสำหรับการแข่งขันในสนาม
“เรื่องซ่อมเรื่องโมดิฟาย มิตาก็พอทำได้ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่รุทร พี่เรย์ดีกว่า มิตามีหน้าที่แค่ถือผ้าเช็ดหน้าโบกๆ เวลารถเข้าเส้นชัย”
“เรียนให้จบเถอะเธอน่ะ” เรวัตรแทรกขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้ “อย่าเที่ยวไปมีแฟนแล้วเสียการเรียนเหมือนคนอื่นเขานะ พี่จะสมน้ำหน้าให้”
“โอ๊ย... คงจะมีใครกล้ามาจีบมิตาหรอก พี่เรย์ทำหน้าโหดใส่เขาขนาดนั้น อีกนิดมิตาก็จะขึ้นคานอยู่แล้ว คนล่าสุดจะเข้ามาจีบ พี่เรย์ก็ไปว่าเขา”
“เรย์เขาเป็นห่วงน่า” รุทรปราม โคลงศีรษะ “เราก็ตั้งใจเรียน จบแล้วจะได้มาช่วยงานพี่”
“มิตาได้เอทุกตัวอยู่นะ”
“เก่งมากๆ เลย”
พี่ชายคนโตชมพร้อมกับลูบศีรษะน้องสาวด้วยความเอ็นดู คนขี้อ้อนโอบกอดเอวอีกฝ่ายไว้จนพี่ชายคนรองที่ยืนมองอยู่เบ้หน้า หมั่นไส้น้องสาวคนเล็กที่เป็นที่เอ็นดูของทุกคน
“เด็กมหา’ลัยอะไรถือเบอร์กินไปเรียน”
คนเป็นน้องเหลือบตามองขึ้นมาจากอกพี่ชายคนโต... ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเชิด มั่น...
“ขายปอร์เช่ได้ก็ต้องหักหัวคิวเป็นธรรมดา เขาเรียกว่าค่าคอมมิชชัน”
“พี่รุทรควรจะงดค่าคอมมิชชัน... เอามาเข้ากองกลาง”
“แล้วมิตาจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าเทอม” น้องสาวโวยวาย
“ค่าเทอมเธอกี่แสน... แล้วกระเป๋าที่เธอซื้อเดือนละใบ ใบละกี่บาท คนละสเกล”
“พี่รุทร พี่เรย์ใจดำกับมิตา กระเป๋าใบสองใบก็ไม่ยอมให้มิตาซื้อเลย”
เรวัตรหัวเราะเสียงดัง ลอยหน้าใส่น้องสาวด้วยมาดของผู้ชนะ จนรุทรต้องคอยปรามระหว่างพี่ชายกับน้องสาวที่กัดกันตลอดเวลา
“เดือนหน้าพี่จะเริ่มเรียนปริญญาโทแล้วนะ อาจจะต้องฝากเรย์ช่วยดูบริษัทด้วย เรียนภาคค่ำ ตอนเย็นต้องไปเข้าคลาส”
“พี่รุทรไม่ต้องห่วงหรอก ผมกับมิตาช่วยดูแลได้”
ท่าทางงัดข้อกันเมื่อสักครู่หายไปในพริบตา รมิตากลับมาอยู่ข้างเดียวกับพี่ชายคนรอง ยามบอกรุทรด้วยน้ำเสียงสดใส
“พี่รุทรไปเรียนได้เลย มิตาช่วยดูแลให้เอง รับรองไว้วางใจได้”
“เมื่อกี้ยังทะเลาะกันอยู่เลย ไหงกลับมาดีกันแล้ว”
เสียงหัวเราะประสานเหมือนเป็นสุข รุทรโคลงศีรษะ เก็บเอกสารรายงานที่เลขานุการนำมาเสนอแล้วถอนหายใจ เอนตัวลงพัก... ในวัยยี่สิบแปดปีเขาอาจจะดูแก่ไปสักนิดสำหรับคนเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจ แต่ก็ยังหนุ่มมากในแวดวงธุรกิจการค้ารถสปอร์ต โชคดีอยู่แต่ว่าพ่อกับแม่ของเขาปูพื้นฐานมาดี เมื่อจู่ๆ ทั้งสองคนต้องจากไปด้วยอุบัติเหตุ เขาก็รับช่วงต่อได้ไม่ยากเลย
“มิตาไม่เหลวไหลหรอกค่ะ มิตาไม่มีแฟนก็ได้ถ้าพี่เรย์ พี่รุทร ไม่ชอบ มิตาต้องตั้งใจขายรถให้ได้เยอะๆ ก่อน บริษัทของเราจะได้ดีขึ้นกว่าที่พ่อกับแม่เคยทำ พ่อกับแม่อยู่บนฟ้ามองลงมาจะได้ไม่เสียใจ”
“ถ้าเธอมีแฟน พี่คงจะสงสารแฟนของเธอ” เรวัตรบอก ยักไหล่ประหนึ่งปลง “เขาคงเป็นผู้ชายที่โชคร้ายมาก... ได้มิตาแล้วต้องทำห้องเก็บกระเป๋าแอร์เมสเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งห้อง”
“คงต้องรวยมากเลยแหละถึงจะซื้อแอร์เมสมาให้มิตาได้” พี่ชายคนโตเสริม ในขณะที่คนเป็นน้องค้าน
“ไม่จริงหรอกพี่รุทร... มิตาไม่ได้อยากได้คนรวย มิตามีเงินซื้ออยู่แล้ว คนเป็นแฟนกับมิตา แค่คุยกันรู้เรื่องก็พอแล้ว ไม่ต้องรวยก็ได้ ยิ่งรวยมากเดี๋ยวเขากดขี่เรา”
“หารวยกว่าเธอก็คงต้องเป็นเศรษฐีพันหรือหมื่นล้านแล้วละ ส่วนใหญ่ก็แก่ๆ หุ่นเสี่ยพุงพลุ้ย หล่อๆ แบบพี่ก็คงจะหายากหน่อย”
“อยู่เป็นโสดตายดีกว่า ถ้าต้องได้ผู้ชายแบบพี่เรย์เป็นแฟน ขี้บ่นจนหูชาขนาดนี้”
“ยายมิตา”
“ดีกันได้ไม่ถึงห้านาทีเลย” รุทรบ่น ระหว่างมองพี่กับน้องฮึ่มฮั่มใส่กันตามประสา
รมิตากับเรวัตรสนิทกันเพราะอายุใกล้เคียงกันมากกว่า หรือเพราะไม่ต้องรับภาระหนักหน่วงมากอย่างเขาที่ทำให้บางวันแทบไม่มีเวลาได้สนใจความเป็นอยู่ของน้อง ตรงกันข้ามกับอีกสองคนที่มักจะชวนกันออกไปหาอะไรทำสนุกสนานอยู่เสมอ
“พี่รุทรไปเรียนภาคค่ำก็อย่าลืมมองๆ เพื่อนสาวในคลาสบ้างนะคะ เผื่อได้ติดมาสักคน พี่ชายมิตาหล่อจะแย่ แถมยังนิสัยดี คราวนี้จะได้สละโสด”
คำอวยพรของน้องสาวทำให้พี่ชายคนโตวางสีหน้าไม่ค่อยถูกนัก รมิตายิ้มแป้นแล้น เป็นกำลังใจให้พี่ชายของตัวเองอย่างเต็มกำลัง
อันที่จริงเขาควรจะเรียนต่อปริญญาโทตั้งแต่จบปริญญาตรีแรกๆ แล้ว แต่เพราะต้องดูแลบริษัทและน้องอีกสองคนทำให้รุทรไม่สามารถไปไหนได้ โดยเฉพาะการจะไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างที่เคยคิดเอาไว้เมื่อสมัยอยู่มหาวิทยาลัย เมื่อเรวัตรเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ก็พอมีคนมาช่วยงานให้เขาได้มีเวลาว่างไปเรียนต่อไป
เรวัตรเป็นคนเก่ง สามารถดูแลบริษัทได้เป็นอย่างดีไม่แพ้เขาเลย ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนสนุกสนาน สบายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีความจริงจังมากกว่าพี่ชายเสียด้วยซ้ำไป
ตึกเรียนของเขาอยู่ในมหาวิทยาลัยเดิมที่ไม่ยากต่อการหานัก ร่างสูงเดินเข้ามาปะปนกับนักเรียนคนอื่นๆ ในคลาสของเขามีอยู่ประมาณสิบกว่าคนล้วนแต่เป็นคนที่ไม่รู้จักมาก่อน เพื่อนที่เคยคุ้นส่วนใหญ่ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ เรียนต่อและบุกเบิกงานของแต่ละตระกูล
“ขอโทษนะคะ ห้องนี้ใช่ห้องเจ็ดหนึ่งแปดหรือเปล่าคะ”
น้ำเสียงหวานใสของใครคนหนึ่งเอ่ยถาม เขาหันไปมอง เจ้าของดวงหน้าเรียวเล็กและรอยยิ้มกระจ่างใสทำให้คนมองรู้สึกกระตุกไปแว่บหนึ่ง ก่อนจะพยายามตั้งสติกับตัว ผายมือแล้วบอก
“ใช่ครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ ไม่เคยมาที่นี่เลยหาห้องเรียนไม่เจอ คุณมาเรียนเอ็มบีเอภาคค่ำเหมือนกันเหรอคะ”
“เอ้อ... ใช่ ผมมาเรียนคลาสนี้แหละ”
“อ๋อ เพื่อนร่วมคลาส ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฉันชื่อญาณินค่ะ เรียกว่าณินก็ได้ เพิ่งมาเรียนวันแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
หญิงสาวเดินนำเข้าไปในห้องเลกเชอร์ขนาดเล็ก นั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่แล้วผายมือเชิญให้เขานั่งลงตาม หยิบสมุดและปากกาขึ้นมาให้พร้อม แต่เมื่ออาจารย์ประจำรายวิชายังไม่มา เจ้าหล่อนก็ถือวิสาสะคุยกับเพื่อนคนใหม่ไปก่อน
“ณินทำร้านกาแฟค่ะ ตอนค่ำพอจะมีเวลาว่างก็เลยมาลงเรียน อยากเรียนให้จบจะได้เอาความรู้ไปบริหารจัดการร้าน ร้านณินเล็กๆ เองไม่ได้ใหญ่โตอะไร เก็บเงินสะสมแล้วเช่าที่เปิดแถวบ้าน คุณแวะไปกินก็ได้นะคะ ณินมีกาแฟหลายสายพันธุ์ เผื่อว่าคุณเป็นคอกาแฟ”
“น่าสนใจ” รุทรบอก ยิ้มให้เพื่อนใหม่ที่รู้สึกว่าหล่อนเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดความรู้สึกของเขาให้เข้าไปหา
“คุณทำงานอะไรคะ ทำไมมาเรียนภาคค่ำที่นี่”
“อ้อ... ผมทำงานอยู่ที่อู่ซ่อมรถ” เขาบอกความจริงไปกึ่งหนึ่ง ที่รามาดาออโตเป็นศูนย์รับซ่อมรับดูแล และที่สำคัญ รับแต่งรถสำหรับแข่งในสนาม...
“คุณเป็นช่างซ่อมรถเหรอคะ”
“ใช่” ถ้านับตามตรงเขาก็จบวิศวกรรมที่เกี่ยวกับยานยนต์มาโดยเฉพาะ “ผมรับซ่อมรถ แต่งรถก็ได้ด้วย”
“โอ้โฮ... ดีจังเลยค่ะ รถณินก็เก่าแล้วแต่ก็ดูแลไม่ค่อยเป็น ดีจังเลย มีเพื่อนเป็นช่าง เวลารถมีปัญหาจะได้ปรึกษาได้”
“ผู้หญิง” เขาทำปากจิ๊จ๊ะ “เป็นแต่ขับ ดูแลไม่ค่อยเป็น”
“อ้าว”
ครั้นหล่อนเผลอค้อนรุทรก็อมยิ้ม ท่าทางหล่อนเป็นธรรมชาติ เหมือนคนมองโลกในแง่ดีไปทุกเรื่อง อาจารย์ประจำคาบเดินเข้ามา ญาณินจึงละความสนใจจากคนข้างตัวมาเป็นเนื้อหาบนโปรเจกเตอร์แทน
