บทที่ 7
คำพูดของบิดาไม่ผิดแม้แต่คำเดียว เธอมีสิทธิ์โดยชอบธรรมสำหรับการกลับไปบ้านปุณยนันท์
สิ่งแรกที่แอนนิต้าคิดขึ้นมาในหัวเลยก็คือว่า การกลับไปในคราวนี้จะพิสูจน์ให้ทุกคนที่นั่นยอมรับในตัวเธอและมารดาให้ได้ และจะทำให้พวกเขารู้ว่าการตัดสินคนจากเพียงแค่ชาติกำเนิด ทำให้ต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดเช่นมารดาของตนไป
“แล้วแอนนี่จะไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรคนเดียวคะ หนูไม่รู้จักใครเลยสักคน” ถ้าเธอยอมไปตามที่ทั้งสองขอแล้วจะมีความเป็นอยู่อย่างไร
“คุณยุทธจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองจ้ะ ตอนนี้เพียงแค่แอนนี่ยอมตกลงว่าจะกลับไปบ้านปุณยนันท์ ที่เหลือคุณยุทธจะเป็นคนจัดการทุกอย่าง”
นางอยากให้แอนนิต้าได้พบหน้าบิดาที่แท้จริงสักครั้ง เพราะเท่าที่ประเมินจากน้ำเสียงและคำบอกเล่าของคุณยุทธแล้วคิดว่าเอกภพคงสุขภาพไม่สู้ดีนัก
“คุณยุทธเหรอคะ” แอนนิต้าทวนชื่อนี้เบาๆ
หญิงสาวหวนนึกถึงชายหนุ่มที่ได้เจอเมื่อตอนกลางวันนี้ เธอจำได้ว่าเขาเอ่ยชื่อคุณยุทธออกมาจากปากเหมือนกัน
ท่าทางเต๊ะจุ๊ยของหมอนั่นทำให้แอนนิต้านึกหมั่นไส้ขึ้นมานิดๆ อยากรู้นักว่าถ้าหากว่านายจอมเก๊กรู้ว่าเธอเป็นใครแล้ว ชายหนุ่มจะทำหน้าอย่างไร
ท่าทีที่สงบนิ่งลงไปเหมือนคิดอะไรอยู่ของแอนนิต้า ทำให้สองสามีภรรยาต้องแอบลุ้นในใจกันเอง อรุณีต้องการให้เรื่องนี้จบลงอย่างสวยงามด้วยการที่ให้แอนนิต้าไปพบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตของหญิงสาวก็จะได้มีโอกาสได้พบหน้าพ่อบังเกิดเกล้าที่แท้จริงของตน ความกลัวที่จะสูญเสียลูกไปให้กับพวกปุณยนันท์หมดลงไปนับตั้งแต่ที่สามีปลอบใจด้วยเหตุผลที่สมควรว่า
‘แอนนี่โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจด้วยตนเองแล้ว ลูกมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริงทุกเรื่อง ถ้าเรามัวแต่ปิดบังเรื่องจริงเอาไว้แบบนี้ วันหนึ่งที่ความจริงปรากฎแอนนี่อาจจะรับไม่ได้จนเตลิดไปเลยก็ได้’
‘คุณคิดว่ายัยแอนนี่ จะรับเรื่องนี้ได้หรือคะ’ อรุณีถามสามีอย่างเป็นกังวล
‘ที่รัก ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แอนนี่ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้ผลักไสเขา แต่เรากำลังทำให้ชีวิตเขาสมบูรณ์ขึ้นต่างหาก’
“หนูต้องไปกี่วันคะ”
หญิงสาวตัดสินใจแล้วหากว่าการไปบ้านปุณยนันท์จะทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ถึงเวลานั้นเธอก็จะกลับมาใช้ชีวิตที่ไร่ต้นรักแห่งนี้กับบิดาและมารดาได้อย่างสบายใจ
“ยังไม่มีกำหนดจ้ะ เพราะว่าตอนนี้อาการของคุณเอกภพยังไม่แน่ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“หนูต้องอยู่จนกว่า เขา จะตายเหรอคะ”
“คงไม่ขนาดนั้นมั้ง แด๊ดว่าเราอย่าเพิ่งไปคิดอะไรที่ยังมาไม่ถึงดีกว่า สมัยนี้การสื่อสารสะดวกแค่แอนนี่ยกหูมาที่ไร่แล้วบอกคำเดียวว่าจะกลับ แด๊ดก็ให้คนไปรับหนูกลับมาได้แล้ว” แอนโทนี่ปลอบใจบุตรสาว
เขาไม่อยากให้เธอวิตกเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แอนนิต้าเป็นเด็กฉลาดเรื่องจะอยู่ถึงเมื่อไรนั้น ตัวเธอจะเป็นคนตัดสินใจเองได้
“หนูแค่ไปเยี่ยม เขา เท่านั้นใช่ไหมคะ จากนั้นแล้วหนูก็กลับมาที่ไร่ได้เหมือนเดิมใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“จ้ะ แค่ไปเยี่ยมและดูแลคุณเอกภพบ้าง การไปเยี่ยมของหนูไม่แน่ว่าอาจะทำให้สุขภาพของคุณเอกภพดีขึ้นก็ได้นะลูก” นางเองก็หวังว่าจะแค่นั้น แค่ให้ลูกได้เห็นหน้าพ่อสักครั้ง
“หนูต้องไปเมื่อไรคะ” หญิงสาวพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้ต้องมีชีวิตแบบนี้คงทำได้แค่ยอมรับกับมันเท่านั้นเอง
มาคียะขับรถมาจอดที่หน้าเรือนไม้หลังใหญ่ท้ายไร่ต้นรักอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เมื่อวานมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ชายหนุ่มก็ขับรถกลับออกไปแล้วติดต่อไปหาบิดาเพื่อถามหาที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้รู้ชัด
คุณยุทธทราบจากบุตรชายว่าอรุณีเป็นลมหมดสติเพราะได้ยินคำพูดที่ถือสารไปบอก เขาจึงให้มาคียะขับรถจากไร่ต้นรักมาหา เพื่อสะดวกสำหรับการที่จะไปทำงานต่อให้ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อลูกพบหน้ากันก็ถามสารทุกข์สุขดิบกันพอควรแล้ว มาคียะจึงเปิดฉากถามบิดาเป็นคำถามแรกให้หายข้องใจ
‘พ่อให้ผมไปรับใครครับ กว่าผมจะได้พบกับคุณอรุณีของพ่อนี่ลำบากมาก ต้องผ่านด่านสิบแปดอรหันต์ของวัดเส้าหลินเลยนะครับ’ มาคียะเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
‘ด่านอะไรของแก’
‘ก็ด่านจากคนงานชาวไร่ ไหนจะคนงานจากประเทศท้องถิ่นอีก’ เขานึกถึงคนงานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มผมแดงคนนั้น
‘เป็นธรรมดา จู่ๆ ไปขอพบเจ้าของไร่เขาก็ต้องถามก่อนอยู่แล้ว ว่าแต่มาร์กได้พบหนูแอนนิต้าไหม’ คุณยุทธสนใจเรื่องคนมากกว่า เขาอยากรู้เหลือเกินว่าเด็กสาวที่เขากำลังตามหาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
‘แอนนิต้าไหน ครับพ่อ ไม่เห็นมีเลย ที่นั่นไม่มีคนชื่อแอนนิต้า มีแต่คนงานประเทศท้องถิ่นที่พาผมไปเจอคุณอรุณี’ เขากำลังคิดถึงแม่คนงานผมแดงที่ทำท่าราวกับจะเอาเรื่องเขาตอนที่คุณอรุณีเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตา พรุ่งนี้ถ้างานเสร็จคงต้องหาของกำนัลไปขอบคุณเธอซะแล้ว
‘ว่าแต่คนที่พ่อจะให้ผมไปรับเป็นใครเหรอครับ พ่อยังไม่บอกเลย’ ชายหนุ่มหันมาสนใจเรื่องงานต่อ
‘ลูกสาวคุณเอกภพ หลานสาวคุณหญิงทิพย์น่ะ’ คุณยุทธอธิบายแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดย่อๆ ให้บุตรชายฟัง
‘แล้วตอนนี้ให้มาตามหาตัวทำไมล่ะครับ ก็ในเมื่อตอนนี้คุณเอกภพก็แต่งงานกับคุณพรรณีไปเรียบร้อยแล้ว’ ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
‘เพราะคุณเอกภพอยากเจอหน้าลูกก่อนจะเป็นอะไรไปน่ะซิ คุณหญิงทิพย์ก็แก่มากแล้วย่อมต้องคิดถึงอยากเห็นหน้าหลานเป็นธรรมดา’
‘แล้วทำไมไม่มาหาตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้วล่ะครับ ทำไมถึงเพิ่งคิดจะมาหา’ ชายหนุ่มสงสัยอีกแล้ว
‘ไม่ใช่เพิ่งมาหาแต่หามาตลอดแล้วก็หาไม่เจอ พ่อเคยไปตามเจอครั้งสุดท้ายได้เบาะแสว่าแต่งงานไปอยู่เมืองนอกกับฝรั่ง พอเผลอแป๊ปเดียวเรื่องนี้ก็ผ่านไปเกือบยี่สิบปี จนวันหนึ่งพ่อไปทำธุระแถวราชบุรีได้พบกับลูกความเก่าคนหนึ่ง เขาบอกว่ามีฝรั่งมาจากเมืองนอกคิดจะมาทำไร่ปลูกผักปลอดสารพิษ พ่อก็เลยถามที่มาที่ไปว่าเป็นใครมาจากไหน พอได้เค้าก็ให้คนไปสืบว่าใช่อรุณีคนเดียวกับที่หายไปจากบ้านเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนไหม ปรากฎว่าเป็นคนเดียวกัน ก็เลยสืบมาเรื่อยๆ จนรู้ว่าเด็กคนนั้นชื่ออรุณี เคยมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯและพักที่บ้านคุณหญิงทิพย์ แต่ต่อมาจับผลัดจับพลูได้สามีเป็นคนต่างชาติก็เลยไปอยู่เมืองนอก เพิ่งจะกลับมาไม่กี่ปีนี้เอง’ คุณยุทธเท้าความโดยละเอียด
‘แล้วพ่อแน่ใจได้ไง ว่าเป็นหลานคุณหญิงลูกคุณเอกภพจริง ไม่ใช่ว่าเขาแต่งงานใหม่แล้วมีลูกใหม่เหรอครับ’ บุตรชายแย้งบิดา
‘แกคิดว่าพ่อแกจนเลอะเลือนหรือไงเจ้ามาร์ก พ่อให้คนตามสืบไปเรื่อยๆ สืบไปถึงอังกฤษที่เกิดของเด็กคนนั้นเกิด เพราะใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่อรุณีหายไปอย่างไร้เบาะแส พ่อค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กคนนั้นคือลูกของคุณเอกภพกับอรุณีแน่นอน อีกอย่างเท่าที่พ่อสืบมาได้อรุณีไม่มีลูกอีกเลยนับตั้งแต่คลอดหนูแอนนิต้าออกมา’ คุณยุทธมั่นใจในหลักฐานที่มีอยู่ในมือตน
เมื่อได้ทุกอย่างครบแล้วจึงแจ้งเบาะแสไปให้บ้านปุณยนันท์ทราบ ซึ่งในเวลานั้นคุณเอกภพก็อาการทรุดหนักและอยากจะได้พบหน้าลูกเป็นความหวังสุดท้ายพอดี
‘แล้วทำไมพ่อต้องให้เด็กคนนั้นไปอยู่บ้านเราก่อนล่ะครับ ทำไมไม่รับแล้วพาไปส่งที่บ้านปุณยนันท์เลย’
‘หนูแอนนิต้าไปเติบโตมาจากเมืองนอกถูกเลี้ยงมาแบบเด็กหัวนอก คุณพรรณีเลยขอร้องให้พ่อหาทางอบรมนิสัยใจคอให้มีความเป็นไทยขึ้นมามากกว่านี้หน่อย อีกสามเดือนจะเปิดพินัยกรรมที่คุณเอกภพเขียนไว้แล้ว ถึงตอนนั้นคุณพรรณีอยากให้ทุกคนยอมรับในตัวหนูแอนนิต้าอย่างไม่มีที่ติ’
คนที่แอนนิต้าสมควรจะทำให้ยอมรับได้มากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหนคุณหญิงทิพย์นั่นเอง ชายหนุ่มถึงบางอ้อแล้ว มิน่าเล่า เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง เขาเข้าใจในสิ่งที่บิดาบอกทุกประการแล้ว
“ผมมารับคุณแอนนิต้าครับ”
มาคียะยกมือไหว้สองสามีภรรยาที่พบเมื่อวาน ท่าทางของอรุณีดูดีขึ้นมากสีหน้าและท่าทางดูจะลดความกังวลลงไปบ้างแล้ว
“แอนนิต้ากำลังเตรียมตัวอยู่ คุณรอสักครู่ก่อน” แอนโทนี่ตอบแล้วเชิญให้ชายหนุ่มเข้าไปนั่งในบ้าน ก่อนจะสอบถามประวัติของชายหนุ่มเล็กน้อย
