บทที่ ๖ :: แผนการใหม่
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากแฟนสาว ดาร์เรลก็รู้ทันทีว่าคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้อลงกตได้เดินทางไปเมืองไทยโดยเร็วที่สุด ชายหนุ่มพลิกตัวไปมาแทบทั้งคืน แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ต้องโทรกลับไปหาโรซี่ เพราะอย่างน้อยๆก็ยังมีเธอเป็นเพื่อนคู่คิด
“ว่าไงคะพ่อจอมวางแผน คราวนี้คงเจอทางตันแล้วล่ะสิ” โรซี่รู้ทัน เพราะทันทีที่กดรับสายเธอ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาเป็นอันดับแรกเลยทีเดียว
“รู้ทันผมอีกแล้วนะ...เฮ้อ กลุ้มใจแทนเอดี้จริงๆเลย” ดาร์เรลยังบ่นไม่เลิก
“ฉันเองก็กำลังคิดหาทางอยู่เหมือนกันค่ะ ทีแรกว่าจะบอกคุณป้าว่าเอดี้มีงานด่วน และสำคัญมากจนเลื่อนไม่ได้ แต่คิดไปคิดมาก็รู้ว่ามันคงไม่ได้ผลแน่ๆ”
“ถูกเผงเลยที่รัก คุณป้าคงไม่เชื่อมุขตื้นๆแบบนั้นหรอก” ชายหนุ่มเห็นด้วย และคิดว่าต่อให้โรซี่กับอลงกตพยายามสักแค่ไหน ก็คงไม่สำเร็จ นอกจากคนนอกที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเขา จะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง แต่มันก็ติดตรงที่ยังคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรเท่านั้น
“แหม อย่างฉันก็คิดได้แค่นี้ล่ะค่ะ ใครจะเหมือนจอมวางแผนอย่างคุณล่ะคะ” โรซี่เย้าเสียงใส
“ตอนนี้ผมไม่ใช่จอมวางแผนแล้วล่ะโรส ถ้ารู้แบบนี้เมื่อตอนค่ำ ผมยุให้เอดี้หนีไปซะเลยคงดีกว่า”
“หนีเหรอคะ...” โรซี่ทวนคำชายหนุ่มอีกครั้ง และดูเหมือนความคิดบางอย่าง จะแล่นเข้ามาในสมองของเธอทันที
“จริงด้วยค่ะ! ทางเดียวที่จะช่วยให้พวกเราเดินทางไปเมืองไทยได้ ก็คือการหนียังไงล่ะคะ เราต้องพาเอดี้หนีออกจากบ้านนะแดน”
“พระเจ้า! นี่แฟนผมกลายเป็นจอมวางแผนไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย...ขอบคุณที่ชี้ทางสว่างนะโรส ผมคิดแล้วว่าถ้าโทรหาคุณจะต้องได้เรื่องแน่ๆ” ดาร์เรลเอ่ยอย่างตื่นเต้น ถึงแม้จะรู้ดีว่าหนทางนี้ มันอาจจะทำให้เข้าหน้าคุณมุกดาไม่ติดในภายหลัง แต่เขาก็จำเป็นต้องทำจริงๆ
สองหนุ่มกล่าวราตรีสวัสดิ์กันอีกครั้ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะรีบล้มตัวลงนอนต่อ โรซี่อยากจะโทรไปบอกแผนการใหม่ ให้อลงกตรับรู้เสียตอนนี้เลย แต่ก็เกรงว่าโทรศัพท์มือถือของเพื่อนสาว จะถูกคุณมุกดายึดเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ ไว้เป็นความลับตามเดิม และจะบอกกับอลงกต ก็ต่อเมื่อได้อยู่กันตามลำพังเท่านั้น
เช้าวันนี้คุณมุกดาตื่นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นางยังไม่ได้นอนเลยเสียด้วยซ้ำ เอาแต่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าควรทำอย่างไรกับหลานสาวดี เมื่อวานนี้นางพูดจาทำร้ายจิตใจอลงกตเอาไว้มาก อีกทั้งยังทำตัวเผด็จการอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนอีก
เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดจนถึงหน้าบ้าน ทำให้ผู้สูงวัยชะงักเล็กน้อย เมื่อเดินตรงไปที่หน้าต่างบานใหญ่ และแง้มผ้าม่านออกดูจึงพบว่าผู้มาเยือนคือดาร์เรล เช้านี้ชายหนุ่มไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่กลับพาสาวสวยรูปร่างเย้ายวนมาด้วยอีกคน
คุณมุกดารีบก้าวออกมาต้อนรับชายหนุ่มถึงหน้าบ้าน เพราะไม่อยากให้โรซี่ออกมาเห็นภาพบาดตาตรงหน้าเข้า ดาร์เรลเอ่ยทักทายเจ้าของบ้านอย่างสุภาพ ในขณะที่ผู้หญิงข้างกาย ทำแค่เพียงส่งยิ้มหวานให้เท่านั้น
“โรสอยู่มั้ยครับคุณป้า” ชายหนุ่มถาม พร้อมวาดมือขึ้นวางลงไหล่คนข้างกายอย่างสนิทสนม
“โรสยังไม่ออกจากห้องเลย ป้าคิดว่าคงยังจะไม่ตื่น” คุณมุกดาตอบคำถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ไม่คิดจะเชื้อเชิญแขกให้เข้าไปในบ้านเหมือนทุกครั้ง
“ผมขอเข้าไปรอข้างในได้มั้ยครับ วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับโรส” ดาร์เรลชี้แจง ก่อนจะหันมามองหน้า ‘เคธี่ ริซ’ เหมือนรักใคร่เสียเหลือเกิน
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นเชิญข้างในเถอะจ้ะ” คุณมุกดาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร จึงยอมเปิดทางให้ดาร์เรลพาเคธี่เข้ามาข้างในบ้าน ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องรับแขก และดูเหมือนดาร์เรลจะเอาใจสาวผมบรอนด์มากเป็นพิเศษ บางทีคงมากกว่าที่เคยทำกับโรซี่ด้วยซ้ำไป
“แน่ใจเหรอจ๊ะว่าอยากรอ บางทีโรสอาจจะตื่นสายก็ได้นะ ป้าว่า...” ยังไม่ทันที่คุณมุกดาจะได้เอ่ยจบประโยค ร่างบางระหงคุ้นตาก็เดินเข้ามาหาแฟนหนุ่ม ในห้องรับแขกเสียก่อน โรซี่ยิ้มหวานส่งให้ดาร์เรล แต่เมื่อเห็นสาวแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างๆ รอยยิ้มของเธอก็เลือนหายไปทันที
“คุณพาใครมาคะแดนนี่ ฉันคิดว่าไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนนะคะ” โรซี่ถามออกมาตามตรง ตอนนี้กำลังรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ เพราะเมื่อคืนเธอกับเขาไม่ได้ตกลงกันเอาไว้แบบนี้
“ผมต้องขอโทษด้วยนะโรส แต่เคทคือแฟนใหม่ของผม...ผมเสียใจที่ไม่ได้ทำอย่างที่เราคุยกันเอาไว้เมื่อคืนนี้” คำตอบของดาร์เรลทำให้โรซี่รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ขอบตาเธอร้อนผ่าว แต่มือไม้เย็นเฉียบราวกับถูกลากลงไปนอนอยู่ใต้มหาสมุทรน้ำแข็ง
“สำหรับเรื่องเมื่อคืนช่างมันเถอะค่ะ ฉันจะหาทางทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์มาบอกฉันถึงที่นี่...ฝากคุณป้าส่งแขกด้วยนะคะ หนูคงต้องขอตัวก่อน” พูดจบเธอก็ก้าวยาวๆ ออกจากห้องรับแขกไป เพราะรู้ดีว่าหากอยู่นานกว่านี้คงกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวแน่
“ฝากเคทด้วยนะครับคุณป้า คือ...ผมมีของต้องคืนให้โรสน่ะครับ” ดาร์เรลบอกกับคุณมุกดา แล้วรีบเดินกึ่งวิ่งตามหลังโรซี่ไปทันที ตอนแรกเคธี่ทำท่าจะลุกตามชายหนุ่มไปด้วย ทว่าเจ้าของบ้านกลับสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ว่าให้นั่งลงที่เดิม
เคธี่ ริซ ก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่นายจ้างสุดหล่อของเธอ คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด และสิ่งที่เธอจะต้องจัดการต่อจากนี้ ก็คือการทำให้คุณมุกดาหมดสติด้วยยานอนหลับที่เตรียมมา ส่วนจะใช้วิธีใดนั้น มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักต้มตุ๋มมืออาชีพอย่างเธอ เรื่องแค่นี้มันคุ้มเกินคุ้มกว่าค่าจ้าง 300 ปอนด์ที่ได้รับเลยด้วยซ้ำ
โรซี่กำลังจะดึงประตูห้องให้ปิดลง แต่ดาร์เรลใช้ท่อนแขนแข็งแรงดันเอาไว้ได้ทัน และถือโอกาสนั้นแทรกตัวเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
“ออกไปนะคะ! คุณมีสิทธิ์อะไรถึงกล้าเข้ามาในห้องของฉันแบบนี้” หญิงสาวออกปากไล่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ยังยืนเชิดหน้าตรึงเท้าอยู่ที่เดิม
ดาร์เรลถอนหายใจเสียงดัง รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้คนรักต้องเสียน้ำตาและเจ็บปวด แต่ว่ามันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาดันนึกแผนการนี้ขึ้นมาได้ในตอนเช้า อีกทั้งเหตุการณ์ยังฉุกละหุก เสียจนไม่มีเวลาโทรมาอธิบายให้โรซี่เข้าใจอีก
“ที่รัก...คุณกำลังเข้าใจผมผิดนะ” เขาพยายามจะบอกความจริงกับเธอ หากแต่อารมณ์ของอีกฝ่ายกำลังปั่นป่วน จนไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
“กรุณาอย่าเรียกฉันแบบนั้นนะคะ ฉันไม่อยากให้ได้ยินอีก!” โรซี่ตวาดเสียงดัง ก่อนจะหันหลังให้ชายหนุ่มเพื่อซ่อนน้ำตา
“นี่มันไปกันใหญ่แล้วนะโรส ผู้หญิงคนนั้นเป็น…”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนของคุณ!...ไม่ต้องย้ำนักหรอกนะคะ เมื่อกี้ฉันได้ยินชัดเจนพออยู่แล้ว” เธอแทรกขึ้นเองทั้งที่ยังไม่ยอมหันกลับมา ดาร์เรลชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะไม่รู้จะหาโอกาสพูดให้โรซี่เข้าใจได้อย่างไร และในเมื่อเธอยังคงเอาแต่คิดเองพูดเองอยู่อย่างนี้ เขาคงต้องรวบตัดตัดตอนเสียที
ดาร์เรลรั้งไหล่บางให้หันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงทาบทับริมฝีปากของตัวเองเข้ากับเรียวปากอิ่มสวย โรซี่เบิกตากว้างอย่างตกใจและคาดไม่ถึง เมื่อพอตั้งสติได้จึงยกมือขึ้นดันแผงอกกว้างเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังใช้มือทั้งสองข้างโอบรัดเอวเธอไว้แน่นจนดิ้นไม่หลุดอีก
ดาร์เรลรุกหนักเมื่อหญิงสาวขัดขืน และเริ่มอ่อนโยนลงเมื่อเธอกำลังคล้อยตาม การที่ทั้งสองคนไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกันบ่อยนัก ทำให้อารมณ์ปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ภายในค่อยๆแสดงตัวออกมา สัมผัสของชายหนุ่มกระชากความถูกต้องที่โรซี่ยึดถือมานานทิ้งไป มือเรียววาดขึ้นโอบรอบต้นคอเขาไว้แน่น เบียดกายเข้าหาอย่างลืมตัว
ดูเหมือนดาร์เรลจะลืมไปเสียสนิทเลย ว่าเขาจูบเธอเพียงเพราะต้องการหยุดความเข้าใจผิด ตอนนี้ร่างสูงโปร่งร้อนผ่าว ความเป็นชายผงาดขึ้นเรียกร้องหาการปลดปล่อยตามธรรมชาติ ดาร์เรลยอมถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง เมื่อสำนึกได้ว่าอีกฝ่ายคงต้องการเอาอากาศเข้าปอดบ้างแล้ว ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเขาเห็นเธอหอบหายใจแรงเพราะพิษจูบอันยาวนานเมื่อครู่ ซึ่งมันคือจูบแรกของโรซี่ และมันคือครั้งแรกที่เขาได้จูบเธอ
ชายหนุ่มดันร่างบางให้ถอยร่นไปทางเตียงนอน เขาไม่สนใจว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหนเพื่อที่จะได้สัมผัสเธออย่างถูกต้อง เพราะเวลานี้อารมณ์ดิบเถื่อนในตัวเขากำลังควบคุมได้ยากขึ้นทุกที แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือการที่หญิงสาวไม่ยอมขัดใจเขา
ดาร์เรลไล้ริมฝีปากไปบนพวงแก้มหญิงสาว ก่อนเลื่อนต่ำลงมาเพื่อฝากฝังปลายจมูกโด่งลงบนซอกคอหอมกรุ่น มือหนาสอดไปใต้เสื้อตัวสวยเพื่อสัมผัสกับทรวงนุ่ม โรซี่อยากห้ามเขา อยากบอกเขาว่าให้เลิกทรมานเธอเสียที แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้ปากหนักขนาดนี้
ชายหนุ่มถลกเสื้อยืดสวยเก๋ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าลงจูบเบาๆบนบริเวณเนินอกอวบ โรซี่ดูผอมบางเกินไปในสายตาเขา แต่ตอนนี้ไม่แล้ว...เธอซ่อนรูปอย่างร้ายกาจเลยทีเดียว
“คุณสวยมากที่รัก” โดยไม่รอให้หญิงสาวได้ทัดทาน ชายหนุ่มก็รีบดึงบราเซียสีหวานให้พ้นทางทันที
โรซี่ครางเสียงแผ่วเมื่อลิ้นอุ่นชื้นโลมเลียอยู่บนยอดอก มือเธอเลื่อนขึ้นเกาะกุมศีรษะเขาไว้อย่างอัตโนมัติ ดาร์เรลไม่ได้กระตุ้นเธอให้ดิ้นพล่านด้วยริมฝีปากของเขาเพียงอย่างเดียว เพราะตอนนี้ฝ่ามืออุ่นเริ่มไต่ลงไปยุ่มย่ามอยู่บริเวณเอวกางเกงผ้ายืดของเธอเข้าแล้ว
“พอเถอะค่ะ!” โรซี่แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะหักห้ามใจได้สำเร็จ “อย่าเลยนะคะแดน ฉันว่ามันคงไม่ถูกต้องนัก” น้ำเสียงของเธอฟังดูแหบแห้ง แต่มันก็ทำให้ดาร์เรลยอมละริมฝีปากออกห่างจากทรวงสวยของเธออย่างไม่เต็มใจนัก
“ผมขอโทษโรส อันที่จริงผมควรหยุดแค่จูบเท่านั้น” แม้คำพูดของชายหนุ่มจะฟังดูเหมือนรู้สึกผิด แต่สายตาคู่สวยกลับจ้องมองสรีระของหญิงสาวด้วยความโหยหา โรซี่มองเขาตาเขียว ก่อนจะรีบจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย และลุกขึ้นจากเตียงมายืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ผมจ้างผู้หญิงคนนั้นมาช่วยให้แผนการของเราราบรื่นขึ้น” ชายหนุ่มใช้โอกาสนี้บอกความจริง “เธอเป็นแค่นักต้นตุ๋นที่เพื่อนผมแนะนำให้เมื่อเช้า ผมตัดสินใจทุกอย่างเร็วมาก ก็เลยไม่ทันได้บอกคุณก่อน...ผมเสียใจที่ทำให้คุณร้องไห้นะโรส และผมก็ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมรักคุณคนเดียวเท่านั้น” ดาร์เรลจ้องลึกลงไปในดวงตาสีเทาสวยของหญิงสาว พยายามใช้สายตาบอกผ่านความรู้สึกที่เขามีให้เธอมาตลอด และแน่นอนว่าโรซี่สามารถสื่อถึงมันได้เป็นอย่างดี
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันน่าจะฟังคุณบ้าง” เธอบอกอย่างรู้สึกผิด
“ผมไม่โกรธคุณหรอกที่รัก ดีเสียอีกที่มันทำให้ผมได้จูบคุณ แล้วก็...สัมผัสคุณ” คำพูดต่อมาทำให้หญิงสาวแก้มร้อนผ่าว และคิดว่ามันคงแดงเรื่อจนดาร์เรลสังเกตเห็นไปแล้ว
“ผมชอบเวลาคุณเขินจัง มันดูน่ารักจนผมอดใจแทบไม่ไหว”
“เอ่อ...เรารีบออกไปข้างนอกกันเถอะค่ะ” โรซี่รีบชวนเปลี่ยนเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นสายตาชายหนุ่มก็ยังดูแพรวพราวเสียจนเธอประหม่า
“เราคงต้องรออีกสักพักเพื่อให้เคททำตามแผนสำเร็จก่อน ตอนนี้ผมว่าคุณควรเก็บของได้แล้วนะ เดี๋ยวผมจะโทรบอกเอดี้เอง” ดาร์เรลบอกพร้อมพยายามละสายตาไปจากใบหน้าสวยของหญิงสาว เขาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง และต่อสายถึงอลงกต ทั้งสองคนสนทนากันอยู่เพียงครู่เดียว จากนั้นดาร์เรลก็เป็นฝ่ายกดวางสาย เพื่อให้เพื่อนสาวได้มีโอกาสจัดเก็บข้าวของ ส่วนตัวเขาเองก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง แล้วเฝ้าดูโรซี่จัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางอยู่เงียบๆ เพราะเธอปฏิเสธเสียงแข็งเลยทีเดียว เมื่อเขาเสนอว่าจะช่วย
เสียงเรียกของเคธี่ ริซ ดังขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปแล้วราวๆสิบห้านาที ดาร์เรลรีบเปิดประตูออกไปข้างนอก ก็พบเธอยืนเคว้งอยู่ระหว่างห้องทั้งสามห้อง คงเป็นเพราะไม่รู้นั่นเองว่าห้องไหนเป็นของใครนั่นเอง
“แหม ปล่อยให้ฉันเรียกตั้งนานนะคะมิสเตอร์ล็อควูด เคลียร์กับผู้หญิงของคุณเพลินไปหน่อยหรือเปล่าคะเนี่ย” เคธี่ทักด้วยประโยคที่ออกจะเหน็บแนมชัดเจน แต่ดาร์เรลไม่คิดจะสนใจ
“ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ยเคธี่ ถ้าไม่ก็อย่าหาว่าผมใจร้ายล่ะ”
“งานง่ายๆแบบนี้ไม่มีพลาดหรอกค่ะ เจ้าของบ้านหลับไปแล้ว คิดว่าอีกนานเลยกว่าจะตื่นขึ้นมา” เคธี่ยิ้มกว้าง
“หวังว่าคงไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งนะ” ชายหนุ่มอดถามไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าการไว้ใจนักต้มตุ๋นมืออาชีพนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก
“สบายใจได้เลยค่ะ ฉันให้ยาเธอแค่เล็กน้อย ไม่มีอันตรายแน่นอน แล้วข้าวของทุกอย่างบนตัวเธอหรือในบ้านหลังนี้ก็ยังอยู่ครบ ยกเว้นแค่สิ่งนี้ที่ฉันหยิบมาเผื่อคุณ คิดว่าบางทีมันอาจจะต้องใช้” นักต้มตุ๋นสาวอธิบายเสียงใส ก่อนจะชูพวกกุญแจในมือขึ้น
ก่อนที่จะรับปากทำงานให้กับดาร์เรล เคธี่จำเป็นต้องรู้ก่อนว่าเขาต้องการจะทำอะไร เพราะเธอไม่คิดจะรับงานที่ทำร้ายคนอื่นมากจนเกินไปนัก ที่พอช่วยได้ก็มีเพียงแค่ลักขโมยของเล็กน้อยๆเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองเคธี่จึงรู้ว่า สิ่งที่เขาต้องใช้ในการช่วยเหลือเพื่อนสาว ก็คือกุญแจที่คุณมุกดาเก็บไว้กับตัวพวงนี้
“ขอบคุณมากเคท” ดาร์เรลยื่นมือไปรับพวงกุญแจจากเธอ และกล่าวขอบคุณจากใจจริง
“เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะคะ คุณไม่ต้องไปส่งตามที่สัญญาหรอก ขอให้โชคดีล่ะกันค่ะ” เมื่อหมดหน้าที่แล้วเคธี่จึงเอ่ยลาทันที ร่างบางขยับไปใกล้ชายหนุ่มขึ้นอีกนิด ก่อนจะแตะริมฝีปากลงบนข้างแก้มเขาเบาๆ
“ไว้มีโอกาสหวังว่าฉันคงได้รับใช้หนุ่มหล่ออย่างคุณอีกนะคะ” ดาร์เรลพยักหน้ายิ้มๆ และโบกมือให้ เมื่ออีกฝ่ายหันหลังเดินจากไป
โรซี่ถือกระเป๋าเดินทางใบย่อมเดินออกมาจากห้อง และวางมันลงค่อนข้างเสียงดัง ใบหน้าสวยบูดบึ้ง เพราะอดหงุดหงิดไม่ได้ที่เห็นหญิงอื่น แสดงท่าทีชื่นชมแฟนหนุ่มของเธอจนออกนอกหน้า แต่ความจริงแล้วมันก็ไม่แปลกเลยสักนิด ในเมื่อดาร์เรลทั้งหล่อทั้งรวย แถมยังมีเสน่ห์มากอย่างร้ายกาจอีก
“ดูสิ หึงผมจนหน้าแดงก่ำเชียว แบบนี้ต้องง้อด้วยจูบอีกสักจูบใช่มั้ย” หนุ่มหล่อดวงตาสีฟ้าอมเขียวหันกลับมาเย้าแฟนสาวยิ้มๆ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาใกล้
“เลิกแกล้งฉันได้แล้วค่ะ คุณไปดูคุณป้าเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปหาเอยเอง” โรซี่รีบบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางไม่น่าไว้ใจ
“โอเคครับ” ชายหนุ่มตอบตกลงอย่างว่าง่าย พร้อมยื่นพวงกุญแจส่งให้หญิงสาวจนถึงมือ
หลังจากที่โรซี่เดินแยกไปหาอลงกตแล้ว ดาร์เรลก็รีบเดินกลับไปที่ห้องรับแขกทันที ภาพคุณมุกดานอนหมดสติอยู่บนโซฟาตัวยาว ทำให้รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นชายหนุ่มจึงจัดการพาร่างไร้สติของนาง เข้าไปพักในห้องนอนเพื่อให้สบายตัวขึ้น ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้จนถึงระดับอก และกลับออกมาสมทบกับสองสาว ที่ยืนรออยู่ข้างนอก
“ไม่อยากเข้าไปลาคุณป้าสักหน่อยเหรอ” ดาร์เรลถาม เมื่อเห็นอลงกตรีบเดินออกมาจากบ้าน โดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเลยสักนิด
“ไม่ล่ะแดนนี่ ถ้าฉันเข้าไปหาคุณป้า ความเข้มแข็งที่มีมันจะต้องหมดลงแน่” หญิงสาวให้คำตอบเพียงแค่นั้นก็รีบเปิดประตูรถออก แล้วขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังทันที
โรซี่กับดาร์เรลไม่อยากเซ้าซี้อะไรให้เพื่อนลำบากใจอีก จึงหันมาช่วยกันจัดการขนกระเป๋าเดินทาง ขึ้นไว้ที่ท้ายรถอย่างเร่งรีบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มสาวจึงก้าวขึ้นรถบ้าง หลังจากนั้นสารถีรูปหล่อก็ขับรถคู่ใจ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ( London Heathrow Airport ) ทันที
คืนนี้คุณธาดากับคุณมณี ตั้งใจว่าจะออกไปรับประทานอาหารค่ำข้างนอก นั่นก็เพราะความเหงาทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองรู้สึกหดหู่ จนแทบไม่อยากอยู่ที่บ้านเลยแม้แต่วินาทีเดียว นพนทีเองก็ไม่เคยอยู่ติดบ้าน เอาแต่ออกไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อน ตามประสาหนุ่มโสด ส่วนไอลดาก็ยังไม่ยอมติดต่อกลับมา ทั้งที่อีกเพียงแค่สามวัน ก็จะถึงวันหมั้นหมายของเธอกับภพตะวันแล้วแท้ๆ
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เมื่อคุณธาดากำลังจะก้าวออกจากบ้านไปพร้อมภรรยา ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าบางทีคนที่โทรมาอาจจะเป็นอลงกต ร่างสูงใหญ่ที่ดูแข็งแรงเกินวัย ก็รีบตรงไปรับโทรศัพท์ทันที
“บ้านวารีพิทักษ์ครับ” คุณธาดากรอกเสียงทักทายอย่างลุ้นระทึก และแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง เมื่อได้ยินเสียงหวานใสของบุตรสาว
“เอยเองนะคะพ่อ ตอนนี้เอยกำลังจะขึ้นเครื่องกลับไปเมืองไทยแล้วค่ะ”
“จริงเหรอลูก!...แล้วนี่อีกนานมั้ยกว่าจะมาถึง พ่อจะได้ไปรับที่สนามบิน” คนเป็นพ่ออดตื่นเต้นไม่ได้ แต่ทว่าอีกฝ่ายก็ยังให้คำตอบด้วยความเย็นชาเช่นทุกครั้ง
“กว่าจะถึงที่นั่นก็คงอีกประมาณสิบสามชั่วโมง แต่พ่อไม่ต้องมารับเอยหรอกค่ะ เดี๋ยวเอยจะกลับไปที่บ้านเอง” พูดจบอลงกตก็ชิงวางสายหนี ด้วยเพราะไม่อยากได้ยินคำคัดค้านจากบิดาอีก
คุณธาดาวางโทรศัพท์ลงที่เดิม พยายามบังคับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ เพื่อเลี่ยงคำถามของคุณมณี แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีข่าวนี้อาจจะทำให้คนเป็นแม่ชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาได้บ้าง คุณธาดาก็รีบออกไปหาภรรยาที่ยืนรออยู่ที่รถทันที
“ทำหน้าเหมือนถูกลอตเตอรี่เลยนะคะ” คุณมณีถามขึ้นตามที่อีกฝ่ายคาดไว้ไม่มีผิด
“ข่าวนี้มันเป็นข่าวดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่เสียอีกนะคุณมณี” คำตอบต่อมาทำให้หญิงสูงวัยขมวดคิ้วชนกัน คุณธาดาจึงช่วยชี้แจงให้นางหายข้องใจ
“ลูกสาวเรากำลังจะกลับบ้านแล้ว!” ถึงคุณธาดาจะไม่ได้บอกชัดเจน ว่าลูกสาวคนไหนกำลังจะกลับมาที่บ้าน แต่คุณมณีก็คิดว่าเป็นไอลดาอยู่แล้ว เพราะอลงกตคงไม่อาจกลับมาหานางได้ ถ้าหากสัญญาที่เคยทำไว้กับพี่สาวยังไม่สิ้นสุดลง
“จริงเหรอคะคุณ!...ฉันดีใจมากเลยนะคะ ทีแรกคิดว่าลูกไอซ์จะเบี้ยวงานหมั้นซะแล้ว” คุณมณียิ้มกว้างให้สามี น้ำใสๆคลอรื้นเต็มหน่วยตาด้วยความสุขใจ ก่อนจะทิ้งตัวร่วงเผาะ ลงมาตามพวงแก้มอวบอิ่ม
“คราวนี้คุณก็เลิกกังวลเรื่องลูกได้แล้วนะ ผมบอกแล้วว่ายัย...ยัยไอซ์รู้หน้าที่ของตัวเองดี” คุณธาดาชะงักเล็กน้อย เมื่อเอ่ยถึงบุตรสาว แต่เมื่อทุกอย่างดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็จำเป็นต้องโกหกต่อไปจนกว่ามันจะจบสิ้น
ตอนนี้คุณธาดาทำได้แค่เพียงภาวนา ขอให้อลงกตไม่เปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน และหวังว่ากาลเวลาที่ผ่านไปนานกว่าสิบสามปี จะทำให้คุณมณีแยกอลงกตกับไอลดาไม่ออกก็พอแล้ว แต่ถ้าหากว่านางจำลูกสาวได้จริงๆ คนที่ต้องถูกต่อว่าอย่างหนักก็คงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนต้นคิดอย่างคุณธาดา และแน่นอนว่าเขาจะโยนความผิดครึ่งหนึ่ง ไปให้เจ้าลูกชายตัวดีที่แนะนำแผนนี้มาด้วยเช่นกัน...
..................................................................................................................................................................
