บท
ตั้งค่า

บทที่ ๔ :: ค้างคา

หลายวันให้หลังภพตะวันเอาแต่ดื่มเหล้าเมามาย เพราะต่อให้พยายามตามหาไอลดาแค่ไหน ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบเสียที หากแต่ท่ามกลางความสิ้นหวังก็ยังพอมีหนทางอยู่ ด้วยอิทธิพลและความกว้างขวางของบิดา สามารถช่วยให้เขาตามหาหญิงสาวพบได้โดยไม่ยาก เพียงแต่ทิฐิที่ยังมีอยู่ ทำให้ชายหนุ่มไม่ยอมเอ่ยปากขอร้อง

ประธานบริษัทรัตนทรานนท์กรุ๊ป ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เมื่อเห็นสภาพภพตะวัน แต่เมื่อไม่อาจห้ามปรามอะไรได้ ก็ทำได้แค่เพียงคอยดูแลอยู่ห่างๆ และจัดการเรื่องไอลดาต่อไปอย่างเงียบๆเท่านั้น

เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทดังขึ้น คุณภาคภูมิจึงเดินกลับออกมาจากห้องนอนลูกชาย แล้วกดรับสายอย่างรวดเร็ว

“มีอะไรคืบหน้าบ้างหรือยัง” คุณภาคภูมิเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน เมื่อเห็นว่าปลายสายคือคนที่เขาสั่งให้ไปตามหาตัวไอลดา

“คุณไอลดาไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯแน่นอนครับท่านประธาน ตอนนี้ผมกำลังสั่งลูกน้องออกไปตามหาเธอแถวจังหวัดใกล้เคียงอยู่ครับ” วีระรายงาน

“อืม ยังไงก็เร่งมือหน่อยล่ะกันนะวีระ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันหมั้นหนูไอซ์กับตะวันแล้ว” คุณภาคภูมิย้ำอีกครั้ง และเมื่อปลายสายรับคำหนักแน่น เขาจึงกดวางสาย จากนั้นก็รีบออกจากบ้านเพื่อเข้าไปเคลียร์งานต่อที่บริษัททันที

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เรียกให้คุณมุกดาละสายตาจากหนังสือในมือ พร้อมกับวางมันลงข้างกาย ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปยกหูโทรศัพท์ขึ้น แล้วกรอกเสียงทักทายด้วยสำนวนภาษาอังกฤษชัดเจน

“สวัสดีค่ะ ต้องการเรียนสายกับใครคะ” คุณมุกดาถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะปกติแล้วน้อยครั้งนัก ที่โทรศัพท์บ้านจะมีคนติดต่อเข้ามา เนื่องจากส่วนใหญ่หลานสาวและเพื่อนสนิทของนาง มักจะโทรเข้ามือถืออยู่เป็นประจำ

“ผมธาดาเองครับ” เสียงน้องเขยทำให้คุณมุกดาคลี่ยิ้มกว้าง ไม่รอช้าที่จะไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบทันที

“เป็นไงบ้างธาดา สบายดีใช่มั้ย...แล้วมณีกับหลานๆล่ะ สบายดีกันหรือเปล่า”

“ผมสบายดีครับ แต่คุณมณีกับหลานสาวคนเล็กของคุณพี่ ไม่ค่อยสบายดีกันเท่าไหร่นัก” คุณธาดาเริ่มเปิดประเด็นสนทนาครั้งสำคัญขึ้นก่อน

“อ้าว มณีกลับไอซ์เป็นอะไรไปเหรอ”

“คือ...ยัยไอซ์หายตัวไปจากบ้านเป็นอาทิตย์แล้วครับ ผมกับเจ้านทีช่วยกันตามหายังไงก็ไม่พบเสียที คุณมณีเองก็เครียดจนล้มป่วย” เมื่อต้องตอบคำถามเพื่อให้ฟังดูน่าเห็นใจ คุณธาดาจึงเลือกที่จะโกหกบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ให้มันเกินความจริงมากมายนัก

“ตายจริง! ทำไมไอซ์ถึงทำแบบนั้นล่ะ ปกติว่าง่ายออกไม่ใช่เหรอธาดา” คนเป็นป้ายกมือข้างที่ว่างอยู่ขึ้นทาบอก ก่อนจะรีบถามหาสาเหตุ ที่ทำให้หลานสาวคนเล็กคิดหนีออกไปจากบ้าน

“เอ่อ คือยัยไอซ์มีเรื่องเข้าใจผิดกับว่าที่คู่หมั้นน่ะครับคุณพี่ สงสัยคงน้อยใจอะไรสักอย่างก็เลยประชดประชันกันแบบนี้”

“ว่าที่คู่หมั้นเหรอ?”

“ผมคงยังไม่ได้บอกสินะครับ...ว่าไอซ์กำลังจะหมั้นหมายกับทายาทคนเดียวของตระกูลรัตนทรานนท์” คุณธาดาอธิบาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายทวนซ้ำเหมือนไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน

“เธอคงไม่ได้โทรมาเชิญพี่ไปงานหมั้นหลานหรอกใช่มั้ยธาดา”

พอลองประติดประต่อเรื่องราวดูด้วยตัวเองบ้างแล้ว คุณมุกดาก็เริ่มเห็นความผิดปกติบางอย่าง เพราะนับตั้งแต่ที่คุณธาดากับคุณมณียกอลงกตให้กับนาง ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันเอาไว้แล้วว่า ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง และถ้าหากยังไม่ถึงเวลาที่ตกลงกันไว้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ควรได้พบหน้ากัน

“พี่คิดว่าครั้งนี้เธอคงไม่ได้โทรมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพี่กับเอยเหมือนทุกครั้งแน่ ต้องการอะไรก็รีบเข้าเรื่องเถอะธาดา พี่รอฟังอยู่”

“คือ...ผมอยากให้เอยมาอยู่ในงานหมั้นแทนน้องครับคุณพี่ เพราะถ้าเกิดไอซ์มาไม่ทันเวลา ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับหลายฝ่ายเลยนะครับ” เมื่ออีกฝ่ายเร่งเร้าให้บอกความต้องการออกมาตรงๆ คุณธาดาก็ไม่รีรออะไรอีก

“นี่เธอหมายความว่าจะให้เอยไปหมั้นแทนไอซ์งั้นเหรอ!...มันเป็นไปไม่ได้หรอกธาดา เธอคงไม่ลืมที่เราตกลงกันไว้หรอกนะ” คุณมุกดาขึ้นเสียง แม้จะพยายามสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน หากแต่มันก็ยังส่งผ่านออกมาทางน้ำเสียงจนอีกฝ่ายรับรู้ได้อยู่ดี

“ผมอับจนหนทางแล้วนะครับคุณพี่ อย่างน้อยๆคุณพี่ก็น่าจะเห็นแก่คุณมณีบ้างนะครับ”

“พี่จะถือเสียว่าวันนี้เราไม่ได้คุยกันนะธาดา อีกอย่างพี่อยากให้เธอหยิบใบสัญญาที่เราร่างขึ้นด้วยกันขึ้นมาอ่านอีกสักครั้งนะ...เผื่อว่าเธอจะรู้ว่าเรื่องที่ขอกับพี่มันมากเกินไป” พูดจบคุณมณีก็ชิงวางสายทันที หากแต่ก่อนจะเดินจากไปก็ไม่ลืมหันกลับมายกหูโทรศัพท์ออก ด้วยรู้ดีว่าคุณธาดาจะต้องติดต่อกลับมาอีกแน่

หญิงสาวร่างโปร่งระหงที่ยืนฟังทุกอย่างอยู่หน้าห้องรับแขก นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวและชาวาบไปทั่วตัวอย่างห้ามไม่ได้ หากแต่เมื่อน้ำตาเริ่มรินไหลออกมา เธอก็รีบยกมือขึ้นปาดมันออกไปจากแก้มทันที

‘นี่เธอหมายความว่าจะให้เอยไปหมั้นแทนไอซ์งั้นเหรอ!...มันเป็นไปไม่ได้หรอกธาดา เธอคงไม่ลืมที่เราตกลงกันไว้หรอกนะ’

‘พี่จะถือเสียว่าวันนี้เราไม่ได้คุยกันนะธาดา อีกอย่างพี่อยากให้เธอหยิบใบสัญญาที่เราร่างขึ้นด้วยกันขึ้นมาอ่านอีกสักครั้งนะ...เผื่อว่าเธอจะรู้ว่าเรื่องที่ขอกับพี่มันมากเกินไป’

อลงกตเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งที่ประโยคเหล่านี้ยังวนเวียนอยู่ในสมอง ไม่เข้าใจเลยว่าทุกอย่างที่เพิ่งได้ยินมานั้นหมายถึงอะไรกันแน่ ทั้งเรื่องหมั้น ทั้งเรื่องสัญญาบางอย่างที่ป้าและบิดาของเธอทำขึ้นร่วมกัน และแน่นอนว่าคนอย่างอลงกต ย่อมไม่ปล่อยให้ความสงสัยกัดกินหัวใจต่อไปอีกนานนักหรอก เธอจะต้องหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้ให้ได้ เพียงแต่คงต้องรอโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น...

วันนี้ดาร์เรลขอมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านคุณมุกดา เพราะไม่อยากชวนโรซี่กับอลงกตออกไปด้วยกันบ่อยนัก ด้วยเกรงว่าคนสูงวัยกว่าจะเหงากับการที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ซึ่งเจ้าบ้านก็ตอบรับอย่างยินดี ถึงแม้สีหน้าจะดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจค้างคาอยู่บ้างก็ตาม

“คุณป้าเป็นอะไรไปเหรอเอย ทำไมวันนี้ดูหน้าตาไม่สดชื่นเลยล่ะ” โรซี่ถามเพื่อนสาวขณะกำลังช่วยกันเตรียมเครื่องดื่มอยู่ในห้องครัว

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” อลงกตตอบปัดทั้งที่รู้ดีว่าอะไรคือสาเหตุ ที่ทำให้คุณมุกดาหน้าเครียดมาตลอดทั้งวัน

“บางทีท่านอาจจะไม่สบายก็ได้นะ เอยจะไม่พาไปพบคุณหมอหน่อยเหรอ”

“ฉันคิดว่าคุณป้าสบายดีโรส ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ ป่านนี้แดนนี่คงมองหาเธอจนปวดตาแล้วล่ะ” เมื่อได้ยินอลงกตพูดอย่างนั้น โรซี่จึงยกถาดน้ำผลไม้ออกไปที่ห้องอาหารโดยไม่เซ้าซี้อะไรอีก ส่วนอลงกตก็จัดการยกขนมคุกกี้ที่คุณมุกดาทำไว้ตามออกมา

“โอ้โห วันนี้มีคุกกี้ด้วยเหรอครับ รู้อย่างนี้ผมทานมื้อเย็นน้อยหน่อยดีกว่า จะได้เก็บท้องไว้ใส่ขนมแสนอร่อยของคุณป้าให้เต็มที่ไปเลย” ดาร์เรลทำตาโตเมื่อเห็นขนมสุดโปรด ซึ่งอาการน่ารักเหมือนเด็กๆนั้น ก็ทำให้คุณมุกดาอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ป้าทำไว้เยอะเลยลูก เดี๋ยวป้าห่อใส่กล่องให้นะ แดนนี่จะได้เอากลับไปทานที่บ้านต่อได้อีก”

“จริงเหรอครับ! ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอบคุณป้ามากๆเลยนะครับ” หนุ่มหล่อนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวยิ้มร่า พร้อมเอ่ยขอบคุณจากใจจริง

ทันทีที่คุณมุกดาเดินหายเข้าไปในครัว เพื่อจัดการเตรียมขนมคุกกี้ให้เพื่อนสนิทของหลานสาว อลงกตก็รีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินตรงไปหยิบหูโทรศัพท์บ้านวางลงบนแป้นตามเดิม ดาร์เรลกับโรซี่หันมาสบตากันอย่างไม่เข้าใจ และไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถามทันที

“มีอะไรหรือเปล่าเอดี้ ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนคนคิดจะขโมยของแบบนั้นด้วย” ดาร์เรลถามขึ้น

“เรื่องมันยาวน่ะแดน ฉันว่าพวกเธอไม่รู้คงจะดีกว่า” อลงกตยังคงตั้งใจจะปิดบังเรื่องที่ตัวเองสงสัยต่อไป

ดาร์เรลส่ายหน้าน้อยๆ กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล ด้วยสีหน้าคล้ายกำลังประเมินบางอย่าง

“ยังเห็นพวกเราเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า” เมื่อคำพูดเพียงประโยคเดียวของเพื่อนสนิทหนุ่มดังขึ้น อลงกตก็รู้ทันที ว่าไม่ควรปิดบังสิ่งที่เพิ่งได้รู้มาอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง เรื่องที่เธอได้ยินจากการสนทนาผ่านทางโทรศัพท์ ระหว่างคุณมุกดากับบิดาจึงถูกเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังทุกอย่างจนจบแล้ว ดาร์เรลกับโรซี่ต่างก็คิดเช่นเดียวกับอลงกต เพราะจากคำพูดของคุณมุกดานั้น มีสิ่งที่น่าสงสัยอยู่หลายอย่าง และถ้าหากอลงกตต้องการหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ สองหนุ่มสาวก็ยินดีพร้อมใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่เลยทีเดียว

“ฉันคิดว่าเธอควรถามเรื่องนี้กับคุณพ่อด้วยตัวเองเลยดีกว่านะ” โรซี่เสนอ

“จริงด้วย ถ้าถามคุณพ่อตรงๆมันจะดีกว่านะเอดี้” ดาร์เรลเองก็รีบสนับสนุนขึ้นทันที

“ฉันก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันนะ แต่พวกเธอก็รู้ว่าคุณป้าคงไม่ยอมแน่ๆ” อลงกตชี้แจงก่อนจะถอนหายใจเสียงดังอย่างกลัดกลุ้ม และยังไม่ทันได้มีใครเสนอความเห็น หรือพูดอะไรออกมาอีก คุณมุกดาก็เดินกลับออกมาจากห้องครัวเสียก่อน

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ” ผู้สูงวัยร้องบอกขณะยื่นกล่องคุกกี้ส่งให้จนถึงมือ ดาร์เรลกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ และส่งยิ้มอ่อนโยนให้คุณมุกดา ทว่าจู่ๆดวงตาสีสวยก็ทอประกายประหลาด ก่อนจะถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนเข้าใจทันที

“แย่แล้ว! ลืมเรื่องสำคัญไปซะสนิทเลย” ดาร์เรลอุทานลั่นจนสองสาวทำหน้างง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอแดนนี่ ร้องเสียงดังจนป้าตกใจหมดเลย” คุณมุกดาถามขึ้นเป็นคนแรก และเมื่อได้ยินคำตอบจากดาร์เรล อลงกตกับโรซี่ก็พอจะเดาได้ทันทีว่าเขาแค่กำลังแสดงละครเท่านั้น

“คือ...วันนี้วันเกิดคุณแม่ของผมน่ะครับ แต่ผมยังไม่ได้เลือกของขวัญให้ท่านเลย”

“ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ว่าแต่นึกขึ้นได้ตอนนี้ก็ยังทันไม่ใช่เหรอจ้ะ” คุณมุกดาถามยิ้มๆ

“มันยังทันอยู่ก็จริงนะครับ เพียงแต่ผมไม่รู้จะเลือกอะไรเป็นของขวัญให้คุณแม่ดี...วันนี้สองสาวก็มีงานกะทันหันด้วย ผมคงไม่มีใครช่วยเลือกของแน่เลย” ดาร์เรลโกหกคำโต ทำให้สาวสวยสองคนจำต้องเออออตามไปด้วย

“จริงด้วยเอย วันนี้ฉันก็มีงานด่วนเหมือนเธอเลย เดี๋ยวค่อยออกไปพร้อมกันเนอะ” โรซี่พูดขึ้นบ้าง แต่อลงกตไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าน้อยๆ

“แย่แน่ๆเลยครับคุณป้า คุณแม่ผมจะไปฉลองวันเกิดกับคุณพ่อที่ญี่ปุ่นด้วย ขืนชักช้าคงเอาของขวัญไปให้ท่านไม่ทันแน่ๆ” น้ำเสียงเศร้าสร้อยของดาร์เรลทำให้คุณมุกดาเริ่มเห็นใจหนักขึ้น และสุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาวางแผนเอาไว้

“อย่าเพิ่งคิดมากสิแดนนี่ ป้าเองก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน เดี๋ยวป้าจะไปช่วยเธอเลือกของขวัญที่เหมาะกับคุณแม่ให้ก็แล้วกันจ้ะ”

“จริงเหรอครับ! ขอบคุณมากเลยนะครับคุณป้า ผมคิดว่าของขวัญวันเกิดปีนี้คุณแม่คงชอบมากแน่ๆเลย”

“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆเถอะจ้ะ...ถ้ายังไงเดี๋ยวป้าขอเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าสักสิบนาทีนะลูก” พูดจบคุณมุกดาก็เดินหายเข้าไปในห้องส่วนตัว ทิ้งให้จอมวางแผนกับผู้สมรู้ร่วมคิดโดยไม่ตั้งใจ นั่งมองตากันอยู่ที่เดิม

“ร้ายกาจมากเลยนะแดนนี่ ไปหลอกคุณป้าแบบนั้นได้ยังไง” โรซี่ต่อว่าเบาๆ แต่สีหน้าไม่ได้จริงจังมากมายนัก

“แหม ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยนะที่รัก แต่ถ้าไม่กันคุณป้าออกจากบ้าน แล้วเอดี้จะคุยกับคุณพ่อได้ยังไงล่ะ...จริงมั้ยเอดี้” ดาร์เรลแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะหันไปถามเพื่อนสาวที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ

“มันก็จริงนะ แต่ฉันไม่ค่อยสบายใจเลยที่ต้องกลายเป็นคนโกหก” ถึงแม้อลงกตจะเห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่ลึกๆ แล้วก็ยังรู้สึกผิดกับคุณมุกดามากอยู่ดี

“ใครบอกว่าเธอโกหกล่ะ ฉันต่างหากที่เป็นคนโกหก เธอไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำนะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนั่งเงียบอยู่ ดาร์เรลจึงรีบเอ่ยต่อทันที “เอาล่ะๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นได้มั้ย ยังไงเราก็ทำไปแล้วนะ มันแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว...ตอนนี้เธอน่าจะคิดเอาไว้มากกว่าว่าจะเริ่มต้นพูดกับคุณพ่อยังไงดี”

อลงกตบีบมือตัวเองแน่น รู้สึกประหม่ามากเหมือนกันที่กำลังจะได้คุยกับบุพการีเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หากแต่เมื่อคุณมุกดาเดินกลับออกมาจากห้อง เธอก็ไม่มีโอกาสได้คิดมากอีก เพราะหลังจากที่ดาร์เรลพานางออกจากบ้านไป สิ่งแรกที่เธอต้องทำก็คือการรีบติดต่อกลับไปยังเมืองไทยให้เร็วที่สุด

สำหรับเรื่องเบอร์ติดต่อนั้นก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ เพราะเมื่อช่วงกลางวันที่คุณมุกดาเข้าไปเอนกายพักผ่อนในห้องนอน อลงกตได้แอบนำเบอร์โทรศัพท์ของบิดา ทั้งมือถือและเบอร์บ้านมาจากสมุดบันทึกเรียบร้อยแล้ว

“ไปกันเถอะครับ...ไว้เจอกันอีกครั้งตอนดึกๆนะสาวๆ” ดาร์เรลผายมือให้คุณมุกดาเดินนำไปที่รถสปอร์ตสีทองสวย จากนั้นจึงหันมาโบกมือให้สองสาว ที่เดินออกมาส่งจนถึงหน้าประตู แล้วรีบขับรถพาคุณมุกดาออกจากบ้านไปตามแผนทันที

เสียงโทรศัพท์บ้านที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้สองสาวสะดุ้งสุดตัว อลงกตเป็นคนแรกที่รีบหันกลับไปมอง โรซี่เองก็มีสีหน้าลุ้นระทึกไม่แพ้เพื่อน และไม่มีใครคาดคิดเลยว่าความบังเอิญจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วอย่างนี้

“ปกติไม่มีใครโทรเข้าเบอร์บ้านนี่เอย ฉันว่าต้องเป็นสายจากเมืองไทยแน่ๆ” โรซี่เดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อลงกตจึงลอบกลืนน้ำลาย แล้วค่อยๆเดินตรงไปยังโต๊ะวางโทรศัพท์ มือบางยื่นออกไปหวังจะยกหูขึ้นสนทนากับอีกฝ่าย แต่ทว่าสุดท้ายก็กำมือแน่นแล้วผละออกห่าง

“ทำไมไม่รับล่ะเอย เป็นอะไรไปเหรอ” โรซี่ถาม

“ฉัน...คือฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงน่ะโรส เธอก็รู้นะว่าฉันไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านมาเกือบสิบสามปีแล้ว” อลงกตตอบเสียงแผ่ว ดวงตาไหววูบคล้ายจะร้องไห้ แต่ก็ยังเก็บอาการเอาไว้ได้อยู่

“ไม่มีเวลาคิดแล้วนะเอย ถ้าอยากรู้เรื่องที่สงสัยเธอควรจะรีบรับสายนะ” โรซี่แนะนำตามจริง หากแต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนกัดริมฝีปากนิ่ง จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่แผดดังลั่นอยู่เงียบหายไป

อลงกตถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง และพยายามทำใจให้สงบเท่าที่จะทำได้ ในเมื่ออยากรู้เรื่องราวที่เฝ้าเกาะกินหัวใจอยู่ เธอก็ควรเผชิญหน้ากับความจริงตามที่โรซี่บอก อีกอย่างการโกหกของดาร์เรล ก็จะได้ไม่ต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย

มือบางสั่นระริกเอื้อมไปยกหูโทรศัพท์บ้าน ทันทีที่มันดังขึ้นอีกรอบหนึ่ง แต่ทว่าริมฝีปากก็ยังคงนิ่งสนิท ไม่ได้คิดจะเอ่ยทักปลายสายก่อนเลยแม้แต่น้อย

“ฮัลโหล นั่นใช่คุณพี่มุกดาหรือเปล่าครับ” คนที่ยังไม่ยอมละเลิกความพยายามเอ่ยขึ้นก่อน ซึ่งน้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอบอุ่นนั้นก็ทำให้หัวใจอลงกตพองโตอย่างประหลาด ถึงแม้ลึกๆ จะยังคงโกรธเคืองการกระทำของบุพการีอยู่มากก็ตาม

“ผมรู้นะครับว่าคุณพี่ฟังอยู่ ผมอยากให้คุณพี่ทบทวนเรื่องเอยอีกสักครั้งจริงๆนะครับ...ผมขอร้องล่ะ” เมื่อเห็นคู่สนทนาเอาแต่นิ่งเงียบ คุณธาดาจึงเริ่มเอ่ยสิ่งที่พูดกันค้างไว้ต่อทันที

“ผมไม่ได้ให้เอยมาแต่งงานแทนน้องนะครับ ผมแค่อยากให้ลูกมาช่วยหมั้นแทนก่อนเท่านั้นเอง คุณพี่จะไม่เห็นแก่หน้าคุณมณีกับหลานเลยเหรอครับ นี่ถ้ายัยไอซ์ไม่หายตัวไป ผมก็คงไม่โทรมาขอความช่วยเหลือจากคุณพี่หรอกครับ”

อลงกตกำโทรศัพท์ในมือแน่น รู้สึกเจ็บปวดเต็มกำลังที่คนเป็นพ่อติดต่อมา เพียงเพราะต้องการความช่วยเหลือจากเธอเท่านั้น ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง แต่ในที่สุดก็ยอมเปิดปากพูดกับบิดา

“พ่อ...”

“เอย!...นั่นเอยใช่มั้ยลูก!” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของคุณธาดา ช่วยให้อลงกตใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมทำตามที่เขาร้องของ่ายๆ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุผลที่น่าสนใจมากพอสมควร

“เมื่อกี้พ่อบอกว่าอยากให้เอยไปหมั้นแทนน้องไอซ์เหรอคะ...ทำไมคะพ่อ”

“เอ่อ...เอยสบายดีมั้ยลูก อยู่ที่นั่นมีความสุขดีใช่มั้ย” คุณธาดาเสเปลี่ยนเรื่อง ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่อลงกตเอ่ยถาม

“พ่อลองถูกทิ้งให้อยู่ต่างบ้านต่างเมืองสักสิบสามปีสิคะ แล้วจะรู้ว่ามันมีความสุขมากแค่ไหน” หญิงสาวประชด

“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก พ่อกับทุกคนคิดถึงลูกมากนะ พ่อ...”

“อย่าโกหกเลยค่ะ! เอยไม่เชื่อคำพูดของพ่อหรอก” อลงกตตัดบทเสียงแข็ง และรีบเอ่ยถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังต้องการคำตอบอีกครั้ง

“บอกมาเถอะค่ะว่าทำไมพ่อถึงอยากให้เอยหมั้นแทนน้อง มันเกิดอะไรขึ้นคะ น้องไอซ์หายไปไหน”

“คือว่า...ยัยไอซ์หนีออกจากบ้านไปหลายวันแล้วลูก นี่ถ้าน้องกลับมาไม่ทันงานหมั้นแม่กับพ่อคงมองหน้าฝ่ายชายไม่ติดแน่ ที่สำคัญแม่ของลูกก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงด้วย แต่ที่ช่วงนี้ดีขึ้นเพราะพ่อโกหกว่ายัยไอซ์ไปพักผ่อนต่างจังหวัดกับเพื่อน ก่อนจะเข้าพิธีหมั้น ตอนนี้พ่อไม่รู้จะทำยังไงแล้วเอย ลูกช่วยพ่อหน่อยได้มั้ย” เมื่อทนคำรบเร้าไม่ไหว อีกทั้งก็อยากขอให้อลงกตช่วยอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว คุณธาดาจึงเล่าทุกอย่างให้บุตรสาวฟังโดยละเอียด

อลงกตนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อคิดดีแล้วก็ตั้งใจว่าจะเอ่ยปฏิเสธตรงๆ เพราะถึงอย่างไรคุณมุกดาก็คงไม่ยอมให้เธอทำตามที่บิดาขออยู่แล้ว แต่ทว่าเมื่อนึกถึงบทสนทนาในตอนสายขึ้นมาได้ ความคิดบางอย่างก็แล่นปราดเข้ามาในสมองทันที

‘พี่จะถือเสียว่าวันนี้เราไม่ได้คุยกันนะธาดา อีกอย่างพี่อยากให้เธอหยิบใบสัญญาที่เราร่างขึ้นด้วยกันขึ้นมาอ่านอีกสักครั้งนะ...เผื่อว่าเธอจะรู้ว่าเรื่องที่ขอกับพี่มันมากเกินไป’

สิ่งที่ทำให้อลงกตสนใจมากที่สุด ก็คือเรื่องสัญญาที่ถูกทำขึ้นระหว่างป้าและบิดา เธอต้องการรู้โดยเร็วที่สุดว่าสัญญาฉบับนั้น มันเกี่ยวอะไรกับการที่เธอต้องถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่หรือเปล่า และถ้ามันเกี่ยวข้องกันจริงๆ อลงกตก็อยากรู้เหตุผลของมันเหลือเกิน ซึ่งทางเดียวที่จะให้ความจริงปรากฏออกมาก็คือ การตามหาสัญญาฉบับนั้นให้พบ และถ้ามันมีอยู่จริง เรื่องที่เธอสงสัยมานานก็จะถูกเปิดเผยออกมาในที่สุด

“เอยขอคิดดูก่อนนะคะพ่อ แต่ระหว่างนี้พ่ออย่าโทรเข้ามาที่เบอร์บ้านอีกนะคะ ถ้าเอยตัดสินใจได้จะรีบโทรหาพ่อเองค่ะ” คำตอบของลูกสาวคนโตทำให้คนเป็นพ่อยิ้มกว้าง

“ได้ยินแบบนี้พ่อก็ดีใจแล้วล่ะลูก แต่จะทำอะไรก็อย่าลืมบอกคุณป้านะ ถึงยังไงท่านก็เป็นคนดูแลลูกมาตลอดสิบสามปี”

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เอยไม่ใช่คนอกตัญญูอยู่แล้ว” พูดจบอลงกตก็เป็นฝ่ายวางสายก่อนทันที

โรซี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลส่งยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อนรัก เหมือนต้องการบอกว่าเธอทำทุกอย่างได้ดีแล้ว อลงกตก็คิดว่าตัวเองหาทางออกให้กับเรื่องนี้อย่างดีที่สุดแล้วเช่นกัน เพราะเธอตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะต้องทำทุกทางเพื่อเดินทางไปยังเมืองไทยให้ได้

…………………………………………………………………………………………………………….

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel