บทที่ ๑ : รีสอร์ทไอรัก 2
บรรยากาศอันสดชื่นและมีเสน่ห์ของรีสอร์ทไอรัก ทำให้ไอลดาไม่ยอมเสียเวลารับประทานอาหารเย็น หญิงสาวเดินทอดน่องอยู่ริมชายหาดอย่างอารมณ์ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสังเกตด้วยว่า ทำไมถึงได้ไม่มีใครออกมาเดินเล่นรับลมเหมือนอย่างเธอเลยสักคน
‘ที่นี่ดูเหมือนรีสอร์ทร้างจังเลยแฮะ’
ไอลดาคิดอยู่ในใจ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงห้าวทุ้มค้นหู ทักขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เธอหันไปมองทางด้านหลัง ก็พบว่าเจ้าของเสียงคือธีร์ธยาน์ และข้างกายเขาก็มีผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เธอเกาะแขนเขาแจ เสียจนไอลดาคิดว่าทั้งสองคนคงเป็นคู่รักกันแน่ๆ
“คุณยังไม่กลับอีกเหรอครับ นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ พากันออกไปจากรีสอร์ทหมดแล้วนะ” ธีร์ธยาน์ถามขึ้น เมื่อเห็นหญิงสาวส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“อะไรนะคะ” คนตัวเล็กที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาวยาวคลุมเข่า ถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจ แต่คราวนี้คนที่ตอบเธอ กลับเป็นสาวน้อยหน้าหวานที่ยืนอยู่ข้างๆธีร์ธยาน์
“รีสอร์ทไอรักมีความจำเป็นต้องปิดรับนักท่องเที่ยวกะทันหัน เพราะว่าผู้จัดการใหญ่ของที่นี่เขาอยากจะปรับปรุงขยับขยายอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยน่ะ...คุณไม่ได้ยินประกาศแจ้งเมื่อตอนช่วยสายๆหรอกเหรอ” สาวน้อยชี้แจงด้วยน้ำเสียงห้วนจัด พร้อมชายตามองคนตัวโตที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ตายจริง ฉันคงนอนหลับอยู่น่ะค่ะเลยไม่รู้เรื่อง...แล้วแบบนี้ฉันจะไปอยู่ที่ไหนดีล่ะคะ” ไอลดาเริ่มกังวล เพราะคนที่เพิ่งเคยออกมาจากบ้าน ด้วยตัวเองครั้งแรกอย่างเธอ ไม่ได้มีหนทางให้เลือกมากนัก ที่สำคัญรีสอร์ทไอรัก ก็เป็นที่เดียวที่เธอคุ้นเคยมากที่สุดอีกด้วย
“ความจริงไม่ไกลจากที่นี่ก็มีรีสอร์ทอื่นให้พักนะครับ หน้าหนาวแบบนี้ห้องพักคงว่างเยอะอยู่แล้ว” ธีร์ธยาน์เสนอ แต่เมื่อเห็นไอลดายังเอาแต่ก้มหน้า และบีบมือตัวเองแน่น เขาจึงตัดสินใจถามเธอตรงๆ
“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือ...ถ้าจะให้พูดตรงๆก็ได้ค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาเมื่อพูดจบ แอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนบอกความจริงให้ธีร์ธยาน์ฟัง เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนงานที่นี่ บางทีธีร์ธยาน์อาจจะช่วยเจรจากับเจ้าของรีสอร์ทไอรักให้เธอก็ได้
“เอ่อคือ... ที่นี่เป็นที่เดียวที่ฉันเคยมาเที่ยวค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่กล้าไปอยู่ในที่ๆไม่คุ้นเคยด้วย”
“ถ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อ ก็คงต้องขออนุญาตผู้จัดการใหญ่ของรีสอร์ทแล้วล่ะนะ บางทีเขาอาจจะใจดีสงสารคุณก็ได้” สาวน้อยคนเดิมพูดขึ้นอีก คราวนี้สีหน้าและคำพูดของเธอ เล่นเอาไอลดาถึงกับหน้าเสียไปเลยเหมือนกัน
“อย่าพูดมากได้มั้ยครับคุณธาริษา...กลับไปก่อนเลยไป” ธีร์ธยาน์หันมาดุคนข้างตัวเบาๆ พร้อมกับดันหลังเธอให้เดินแยกไปอีกทาง
‘ธาริษา พัชรดำรงวิวัฒน์’ ทำเสียงบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองค้อนชายหนุ่มอีกครั้ง จากนั้นเธอก็สะบัดหน้าเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ไอลดาได้ยินเสียงธีร์ธยาน์ถอนหายใจ จึงพอมองออกว่าธาริษานั้น คงเป็นคู่รักที่เอาใจยากคนหนึ่งเลยทีเดียว
“ขอโทษที่ทำให้คุณสองคนไม่พอใจนะคะ...ฉันว่าฉันไปเก็บของก่อนดีกว่าค่ะ แค่นี้ก็รบกวนคุณมากพอแล้ว” เมื่อเห็นชายหนุ่มเอาแต่ยืนจ้องหน้านิ่ง ไอลดาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน คงถึงเวลาที่เธอต้องยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง อย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
เจ้าของร่างบางระหงขยับจะเดินกลับไปที่ห้องพัก เพื่อลงมือเก็บข้าวของอย่างที่พูด แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด มือหนาก็ถือวิสาสะคว้าเข้าที่ต้นแขนเรียวเล็ก ไอลดาชะงักฝีเท้าลงเพียงแค่นั้น รีบหันกลับมาจ้องหน้าอีกฝ่ายทันที
“คุณบอกว่าไม่กล้าไปอยู่ที่อื่นไม่ใช่เหรอครับ” ธีร์ธยาน์ชักมือกลับ และเปิดหัวข้อสนทนาเดิมขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าคำพูดของเขา กำลังทำให้ไอลดามีความหวังมากขึ้นอีก เพราะสายตาที่เธอใช้มองอย่างไม่พอใจในตอนแรก ดูอ่อนโยนขึ้นถนัดตา
“คุณจะช่วยฉันเหรอคะ” ไอลดาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง และเมื่อเห็นธีร์ธยาน์พยักหน้ารับแทนคำตอบ หญิงสาวจึงเผยรอยยิ้มสดใสออกมาให้เขาโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปขออนุญาตผู้จัดการใหญ่ของที่นี่กันเถอะค่ะ บางทีเขาอาจจะสงสารฉันเหมือนอย่างที่คุณคนเมื่อกี้บอกก็ได้” ไอลดาเอ่ยชวน เมื่อเห็นธีร์ธยาน์ยังคงยืนมองเธอเงียบๆ
“อย่าไปฟังที่ทอฝันพูดเลยครับคุณ...ผมไม่ใช่คนใจร้ายอะไรสักหน่อย” ธีร์ธยาน์บอกยิ้มๆ พลางซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวเดียวกับเมื่อเช้า เพียงแต่ตอนนี้เขาสวมเสื้อแล้ว ไม่ได้เปลือยท่อนบนอวดแผงอกกว้าง เหมือนอย่างที่เธอเห็นในตอนแรก
ไอลดาขมวดคิ้วเรียวสวยเข้าหากัน เมื่อนึกทบทวนคำพูดของธีร์ธยาน์ ถ้าหูไม่ได้ยินอะไรผิดเพี้ยนไปแล้วล่ะก็ เธอมั่นใจว่าเมื่อครู่นั้นได้ยินเขาบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนใจร้าย ทั้งที่เธอกำลังพูดถึงผู้จัดการใหญ่ของรีสอร์ทไอรักอยู่แท้ๆ
“คุณ...”
“ผมชื่อธีร์ธยาน์ครับ เป็นผู้จัดการใหญ่ของรีสอร์ทไอรัก ส่วนผู้หญิงคนเมื่อกี้เธอชื่อธาริษา...เรียกว่าทอฝันเฉยๆก็ได้ครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ และไม่ได้แปลกใจเลย ที่หญิงสาวจะมองว่าเขาเป็นเพียงแค่คนงานคนหนึ่งในรีสอร์ท
เหตุผลก็เพราะว่าคนอย่าง ‘ธีร์ธยาน์ พัชรดำรงวิวัฒน์‘ ไม่ได้ทำตัวเหมือนกับนักธุรกิจคนอื่นๆ เขาไม่ชอบสวมชุดสูทอย่างเป็นทางการ แล้วเอาแต่นั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองตลอดทั้งวัน แต่การได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ไร้สารพิษ ที่คนเมืองไม่มีโอกาสได้พบเจอนั้น เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มคิดว่าดีกว่า นอกจากนั้นยังได้ออกกำลังกาย ด้วยการทำงานเล็กๆน้อยๆ ภายในรีสอร์ทของตัวเองอีกด้วย
“เอ่อ...ฉันไอลดาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณธีร์ธยาน์นะคะ” หญิงสาวแนะนำตัวเองบ้าง ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายแทบไม่กระพริบ
ตอนนี้ไอลดากำลังงุนงง และประหลาดใจไปพร้อมๆกัน ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมองคนผิดไปได้มากถึงขนาดนี้ ความจริงแล้วผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ไม่ได้ดูคล้ายคนงานธรรมดาๆ สักเท่าไหร่นักหรอก และมันก็น่าเจ็บใจนัก ที่เธอเพิ่งจะมาสังเกตเอาตอนที่ได้อยู่ใกล้กับเขา
ธีร์ธยาน์เป็นผู้ชายที่มีรูปร่างดีมาก ดูแข็งแรงกำยำสมชายชาตรี ใบหน้าคมสันที่มีจมูกโด่งสวย กับริมฝีปากหยักลึกเป็นองค์ประกอบ ทำให้เขาดูหล่อเหลาอย่างลงตัว แต่สิ่งที่ไอลดาคิดว่าน่าสนใจที่สุด คือแผงขนตางอนยาวเหมือนผู้หญิง มันดูสวยเสียจนเธออดนึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ แล้วไหนจะผิวสีแทนสวยนั่นอีกเล่า
“คุณได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่าครับคุณไอลดา...คุณไอลดาครับ” เสียงทุ้มดึงความสนใจของหญิงสาวกลับมาอีกครั้ง ไอลดากระแอมเบาๆแก้เก้อ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่าชายหนุ่มพูดอะไรกับเธอ
“คุณว่ายังไงนะคะ”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่บอกว่าอยากให้คุณเรียกผมว่าทิวไม้ หรือเรียกสั้นๆว่าทิวเหมือนอย่างคนที่นี่มากกว่า มันฟังดูง่ายกว่าชื่อจริงของผมเยอะเลย” ธีร์ธยาน์เอ่ยซ้ำขึ้นอีกรอบอย่างชัดเจน
“ได้สิคะ ถ้าอย่างนั้นคุณทิวก็เรียกฉันว่าไอซ์ก็ได้นะคะ มันสั้นดีค่ะ”
“ตกลงครับ ว่าแต่คุณไอซ์จะกลับห้องพักหรือยังครับ ผมจะได้เดินไปส่ง” ธีร์ธยาน์ตอบรับหญิงสาว ก่อนจะถามขึ้นอีก ไอลดามองหน้าเขาอย่างประเมินกึ่งไม่ไว้ใจ ชายหนุ่มพอมองออกว่าเธอกำลังคิดมาก ฉะนั้นจึงรีบอธิบายให้ฟังทันที
“อย่างที่ทราบนั่นแหละครับ ว่าที่รีสอร์ทกำลังจะมีการปรับปรุงเพิ่มเติม คนงานจากที่อื่นก็เลยถูกเกณฑ์มาช่วยงานที่นี่อีกค่อนข้างเยอะ...ผมแค่ไม่ไว้ใจคนงานที่ผมยังไม่รู้จักนิสัยใจคอดีน่ะครับ ไหนๆผมก็อนุญาตให้คุณพักที่นี่ต่อได้แล้ว ผมก็ต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ของคุณด้วย”
ไอลดาสบตากับธีร์ธยาน์นิ่ง ความห่วงใยจากคำพูดของชายหนุ่ม กำลังทำให้เธอนึกถึงภพตะวันขึ้นมาอีก เขาและเธอคบหาดูใจกันมานานกว่าสามปีแล้ว ภพตะวันห่วงใยเธอ และดูแลเธอเป็นอย่างดีเสมอมา ตอนนี้นอกจากเขาแล้ว ธีร์ธยาน์คืออีกคนที่แสดงความจริงใจให้เธอได้เห็น
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณทิวแล้วนะคะ” ในที่สุดไอลดาก็ยอมตอบตกลง ที่จะให้ชายหนุ่มเดินไปส่งที่ห้องพัก ธีร์ธยาน์ผายมือให้หญิงสาวเดินออกหน้าไปก่อน ส่วนเขาเองก็เดินตามเธอไปช้าๆ จนกระทั่งสุดท้ายทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกันไปจนถึงปลายทาง โดยไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาอีก
ภพตะวันมาที่บ้านวารีพิทักษ์ในช่วงสายของเช้าวันใหม่ และหวังว่าจะได้พบกับไอลดาอย่างที่หมายมาดไว้ แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวทุกอย่างจากปากของคุณธาดา ชายหนุ่มก็รู้สึกผิดหวังจนแทบหมดแรงเลยเหมือนกัน
“น้องไอซ์ไม่น่าทำแบบนี้เลย...แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้มันก็เป็นความผิดของผมด้วยนะครับคุณอา” ภพตะวันพูดกับตัวเอง ก่อนจะหันไปสารภาพกับว่าที่พ่อตาตรงๆ ว่าเพราะอะไรไอลดาถึงคิดหนีออกจากบ้าน ชายหนุ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่าง ให้คุณธาดาฟังอย่างละเอียด และจากคำพูดที่น่าเชื่อถือของเขา บวกกับความจริงใจที่ภพตะวันแสดงให้เห็นมาตลอดสามปี ผู้สูงวัยกว่าจึงเชื่อในสิ่งที่เขาพูดโดยไม่มีข้อสงสัย
“อาไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าหนูผึ้งจะทำอะไรแบบนั้นกับเพื่อนตัวเองได้ อาสงสารยัยไอซ์จริงๆเลยตะวัน” คุณธาดาเปรยขึ้นกับว่าที่ลูกเขยอย่างกลัดกลุ้ม แต่เมื่อหันไปเห็นภรรยา กำลังเดินบันไดลงมาพร้อมกับจ๋อม เขาก็รีบปรับสีหน้าให้ดูร่าเริงสดใสขึ้นทันที ถึงแม้ภพตะวันจะไม่เข้าในปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่เขาเองก็ฝืนยิ้มส่งให้ ‘คุณมณี’ ก่อนจะยกมือกระพุ่มไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณอามณี สบายดีหรือเปล่าครับ”
“เฮ้อ อาจะสบายได้ยังไงล่ะจ้ะ ตอนนี้ลูกไอซ์หายไปไหนก็ยังไม่มีใครรู้เลย” จ๋อมประคองคุณมณีที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ให้นั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับสามี ภพตะวันเห็นคุณธาดาหันมาขยิบตาให้ จึงพอเดาออกว่าเขาควรพูดอย่างไร เพื่อช่วยให้คนเป็นแม่คลายความกังวลลงได้บ้าง
“เอ่อ...น้องไอซ์แค่ไปเที่ยวน่ะครับคุณอา” ภพตะวันพยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติที่สุด เพราะเขาเองก็ไม่เคยต้องสร้างเรื่องโกหกใครมาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นการโกหกแบบบริสุทธิ์ใจก็ตามทีเถอะ
“อะไรนะ! นี่ตะวันได้คุยกับน้องแล้วเหรอลูก” คุณมณียกมือขึ้นทาบอก ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูตกใจ แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ครับคุณอา น้องไอซ์โทรมาบอกผมว่ามีเรื่องเครียดนิดหน่อย ก็เลยอยากไปพักผ่อนคนเดียวสักสามสี่วันน่ะครับ” ภพตะวันจำต้องไหลไปตามน้ำ เพราะไหนๆก็หลงตัวโกหกเข้าแล้ว
“สบายใจแล้วสินะคุณมณี ลูกก็แค่อยากไปเที่ยวก่อนถึงวันหมั้นเท่านั้นเอง” คุณธาดาเสริมขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าปล่อยให้ภพตะวัน ออกโรงคนเดียวมานานพอดูแล้ว ซึ่งคุณมณีเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้ว่าที่พ่อตากับว่าที่ลูกเขย นั่งมองหน้ากันอยู่สองคน
“อาผู้หญิงของตะวันนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะเนี่ย เล่นซะอาตามอารมณ์ไม่ทันเลย ฮ่าๆๆ” คุณธาดาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นห้องรับแขก แต่ภพตะวันเพียงแค่ส่งยิ้มน้อยๆให้ ก่อนจะขอตัวลากลับทันที เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำมากที่สุด คือการตามหาไอลดาให้พบ และอธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจอย่างถูกต้อง
ภพตะวันขับรถเบนซ์สปอร์ตสีเงิน ราคาหลายสิบล้านเข้าไปพบบิดาที่บริษัทรัตนทรานนท์กรุ๊ป ร่างสูงสง่าที่ย่างกรายเข้ามาภายในบริษัท ทำให้สายตาทุกคู่หันไปให้ความสนใจกับเขาโดยอัตโนมัติ เพราะปกติแล้ว ภพตะวันแทบไม่เคยเข้ามาที่นี่เลย
ครั้งนี้นับว่าเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเขา ในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ และแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ออกงานสังคมมากมายนัก แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาคือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลรัตนทรานนท์ ซึ่งเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในธุรกิจส่งออกรถยนต์ภายใต้แบรนด์ RN
ประตูห้องทำงานของท่านประธานใหญ่แห่งรัตนทรานนท์ถูกเปิดออก ทั้งที่เลขานุการหน้าหวาน ยังไม่ทันได้เรียนให้เจ้านายทราบตามหน้าที่
‘ภาคภูมิ รัตนทรานนท์’ เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมากมายเพื่อสบตากับลูกชาย รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่มุมปากอย่างยินดี
“คิดยังไงถึงมาหาพ่อที่นี่ได้ล่ะเจ้าลูกชาย” คนเป็นพ่อทักขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมแค่อยากจะมาบอกให้คุณพ่อทราบว่าผมลาออกจากการเป็นนักบินแล้วครับ” ภพตะวันเอ่ยเสียงเย็น หากแต่ประโยคที่หลุดออกมาจากปากเขา กลับทำให้คุณภาคภูมิถึงกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ และตบโต๊ะทำงานเสียงดัง
“กล้าดียังไงถึงทำแบบนี้โดยไม่ปรึกษาพ่อ! แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพ่ออยากให้แกประสบความสำเร็จทางด้านนี้มากแค่ไหนน่ะตะวัน”
“ผมทราบครับ แต่นั่นมันเป็นความต้องการของคุณพ่อ...ไม่ใช่ของผม” ภพตะวันตั้งท่าจะเดินออกจากห้องทำงานของบิดาไป แต่ทว่าคุณภาคภูมิกลับรั้งเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิตะวัน พ่อยังพูดธุระของเราไม่จบเลยนะ”
“คุณพ่อมีอะไรก็รีบว่ามาสิครับ ผมรีบ” ชายหนุ่มหันกลับมาถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นบิดาพยักพเยิดเป็นเชิงให้นั่งลงบนเก้าอี้ เจ้าของร่างสูงจึงทิ้งตัวลงนั่งแรงๆ อย่างไม่พอใจนัก
“พ่อจะไม่ถามหรอกนะ ว่าทำไมแกถึงลาออกจากงานกะทันหันแบบนี้ แต่จะไม่ลองทบทวนดูใหม่อีกสักครั้งจริงๆเหรอตะวัน” ชายวัยห้าสิบต้นๆที่ยังดูดี และแข็งแรงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แอบหวังไว้ไม่น้อย ว่าลูกชายจะยอมรับฟังแต่โดยดีบ้าง
“ผมคิดอยู่แล้วล่ะครับว่าคุณพ่อต้องพูดแบบนี้...ทำไมครับ แค่ผมอยากเลือกทางเดินของตัวเองบ้าง มันผิดมากนักเหรอ เมื่อไหร่คุณพ่อจะเข้าใจสักทีว่าความฝันของผมกับพี่ธรมันต่างกัน ผมไม่ได้อยากเป็นนักบินมาตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมต้องบังคับผมด้วย!” ภพตะวันระเบิดอารมณ์ใส่คุณภาคภูมิอย่างไม่เกรงกลัว และผลที่ได้รับเป็นการตอบแทน ก็คือฝ่ามือหนักๆที่ฟาดลงบนข้างแก้มอย่างแรง จนเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก
“ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้ผมรู้ว่าคุณพ่อยังนึกถึงแต่พี่ธรคนเดียวเสมอ แล้วก็คงเสียใจมากสินะครับ ที่วันนั้นผมไม่ได้เดินทางไปต่างจังหวัดกับคุณแม่” ภพตะวันเอ่ย ขณะยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเบาๆ ชายหนุ่มหันไปมองหน้าบิดาด้วยแววตาเจ็บปวด ก่อนจะพาตัวเองออกมาจากมาทันที
“เมื่อไหร่แกจะเข้าใจนะตะวัน เมื่อไหร่จะเลิกมองพ่อด้วยสายตาแบบนั้นสักที” คุณภาคภูมิเปรยขึ้นกับตัวเอง เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเสียงดังด้วยฝีมือของลูกชาย ก่อนจะเบนสายตามองไปยังภาพถ่ายครอบครัว ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานตลอดเวลา ด้วยแววตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน
…………………………………………………………………………………………………………….
