9. เรื่องวุ่นวายหลายเมีย
“แต่ยุคนี้เป็นยุคที่หญิงชายมีความเท่าเทียมกันแล้วนะครับ เราจะต้องส่งเสริมให้ผู้หญิงได้แสดงความสามารถได้ และผมก็ไม่เห็นด้วยกับกฎระเบียบของรัฐเรา ที่กดขี่ผู้หญิงไม่ให้มีทางเลือกโดยเฉพาะการจำกัดสิทธิผู้หญิงไม่ให้มีสิทธิมีเสียงในสังคม ไม่ให้ผู้หญิงทำงานนอกบ้านเหมือนผู้ชายได้..แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นเรื่องขับรถที่ห้ามผู้หญิงอย่างเด็ดขาด”
“ใครบอกว่าไม่ให้ทำงานนอกบ้านได้ล่ะ พวกผู้หญิงยังสามารถทำงานในโรงพยาบาล ในโรงเรียนได้”
ชีคซายิด รีบพูดให้น้องชายได้เข้าใจ
“แต่ก็จำกัดอยู่แค่อาชีพพยาบาลกับครูเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมทุกอาชีพ ยังปิดกั้นความสามารถของผู้หญิงอยู่มาก ผมว่ามันไม่ยุติธรรมควรจะให้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้”
คาลิฟา บอกถึงแนวความคิดของตัวเองอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งด้วยสาเหตุนี้ด้วยที่ทำให้เขาไม่อยากจะเป็นทายาทชีค ในอนาคต หากว่ายังต้องยึดถืออยู่กับกฎระเบียบของตระกูลที่ไม่ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันของโลก
“ถ้านายอยากจะเปลี่ยนแปลงก็เอาไว้เปลี่ยนตอนที่พี่ตายไปเสียก่อนเถอะ แต่ยุคนี้มันเป็นอำนาจของพี่ ที่ยืดหยุ่นได้มากเท่านี้เพราะพี่จะยึดถือตามบรรพบุรุษให้ได้มากที่สุด”
ชีคซายิด บอกอย่างเหนื่อยหน่ายใจเพราะเขาได้ยินน้องชายพูดเรื่องนี้บ่อยแล้วนั่นเอง
“ฉันชักอยากจะมีชีวิตอยู่ในช่วงที่ท่านชีคคาลิฟาจะได้ครองรัฐตุรเกียเสียแล้วสิ”
ท่านผู้หญิงราเนีย พูดสัพยอก เธอเองก็อยากจะเห็นผู้หญิงในรัฐตุรเกีย ได้มีสิทธิเสรีภาพในการทำงานอย่างที่คาลิฟา พูดอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการให้สิทธิผู้หญิงขับรถได้ ซึ่งท่านผู้หญิงราเนียอยากจะขับรถไปไหนมาไหนบ้าง อย่างน้อยขับเล่นอยู่ในบริเวณพาราไดซ์การ์เดนท์ ได้ก็ยังดี
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ อยากจะเห็นพวกสาว ๆ ในตระกูลของเราใส่ชุดสูทเป็นนักธุรกิจหญิงเป็นนักบริหารเก่ง ๆ เหมือนผู้หญิงจากประเทศอื่น ๆ บ้างก็คงจะเท่ดี”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ สนับสนุนขึ้นมาทันที
“ใช่ค่ะ..หลานสาวของพวกเราก็จะได้ไม่ต้องเก็บความรู้ความสามารถเอาไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่มีโอกาสได้ใช้”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ก็รีบถือโอกาสบอกท่านชีค ด้วยอีกคน
“ไม่เห็นจะต้องออกไปเย้ว ๆ ข้างนอกให้มันวุ่นวายนี่นา” ท่านชีคซายิด พูดอย่างไม่เห็นด้วย
“อยู่ในบ้านมันก็ไม่ภูมิใจเหมือนได้ออกไปทำงานนอกบ้านหรอกค่ะ ได้ใช้ความสามารถในการทำงานออฟฟิศบ้าง”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ อดที่จะแย้งสามีไม่ได้
“พอได้แล้วพวกเธอสามคน ทีเรื่องที่จะแหกกฎของบรรพบุรุษล่ะก็ ประสานเสียงกันดีนัก ผู้หญิงอยู่แบบเดิม ๆ น่ะดีแล้ว ไม่ต้องไปลำบากให้เหนื่อย แค่แต่งตัวสวย ๆ คอยปรนนิบัติให้ผู้ชายมีความสุขเป็นฝ่ายหาเงินมาเลี้ยงดูน่ะไม่ชอบกันหรือไง ถึงได้เรียกร้องอะไรไม่เข้าท่าสักนิด อย่าได้ไปเห่อเหิมตามประเทศอิสระเสรีจนเกินเหตุนั่นเลย”
ท่านชีค ปราม ทำให้ท่านผู้หญิงทั้งสามถึงกับปิดปากเงียบไม่กล้าแสดงความเห็นต่อ
“เอาล่ะ..เรามาพูดเรื่องของคาลิฟากันต่อให้จบดีกว่า ราเนีย..ฟาริยะห์ แล้วก็ซูรอยห์ เธอทั้งสามคน ช่วยกันไปคัดสรรญาติพี่น้องในตระกูลของเรา ที่มีหน้าตาสวยงามมาให้
คาลิฟา เลือก ส่วนคาลิฟา นายจะต้องเตรียมตัวแต่งงานภายในปีนี้”
ชีคซายิด หันมาบอกน้องชายด้วยสีหน้าจริงจัง
“ภายในปีนี้!..เหลืออีกแค่สามเดือนเท่านั้นเอง..ผมเตรียมตัวไม่ทันหรอกครับ”
คาลิฟา รีบพูดออกมาอย่างตกใจ
“นายไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง มีหน้าที่เข้าพิธีแต่งงานอย่างเดียวเท่านั้นมันจะยากอะไรนักหนา” ชีคซายิดกล่าว
“ผมขอร้องล่ะครับพี่ซายิด..อย่าเพิ่งเร่งรัดผมเรื่องแต่งงานในตอนนี้ ขอให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้ถูกบังคับจิตใจ ผมไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกว่ากำลังถูกคลุมถุงชน ไม่ให้ผมได้มีทางเลือกซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต่อต้านอยู่ในใจมาโดยตลอด จนทำให้ผมไม่อยากจะเป็นทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพี่”
คาลิฟา ถือโอกาสระบายความอึดอัดใจที่เขาเก็บงำเอาไว้
“เธอกลัวการแต่งงานขนาดนี้เลยหรือคาลิฟา”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ เอ่ยถามคาลิฟา
“ผมไม่ได้กลัวการแต่งงาน แต่ผมไม่ชอบการแต่งงานที่ต้องทำตามกฎให้แต่งงานกับญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน”
“แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะคาลิฟา”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ตรงที่ผมไม่ได้รัก ไม่ได้พอใจด้วยไงครับ ผมไม่
อยากแต่งงานเพราะหน้าที่เพียงอย่างเดียวนะครับ ผมต้องการคนที่เข้าใจด้วย ที่สำคัญผมจะต้องรู้สึกชอบถึงขั้นที่จะแต่งงานด้วย ไม่ใช่แต่งแบบพวกพี่ที่ไม่ได้แต่งเพราะความรัก”
คาลิฟา เอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยความระมัดระวังไม่ให้ภริยาทั้งสามของท่านชีค ต้องกระเทือนจิตใจ
“ถึงไม่ได้แต่งเพราะรัก แต่ความเป็นญาติพี่น้องมันก็ทำให้เราอยู่กันมาได้อย่างไม่มีปัญหา”
ชีคซายิด พูดพร้อมกับมองสบตาภริยาทั้งสามทีละคน
“ใช่จ๊ะคาลิฟา..ความรักของพวกเราเป็นความรู้สึกที่มั่นคงกว่าความรักแบบหนุ่มสาว”
ท่านผู้หญิงราเนียเป็นคนพูดให้คาลิฟาได้คิด
“แต่ผมไม่คิดแบบพี่หรอกครับ..สำหรับผมแล้วการอยู่เป็นสามีภรรยากันก็ต้องมีความชอบพอกันเป็นพื้นฐานด้วย ไม่ให้รู้สึกว่าฝืนใจจนทำให้ชีวิตขาดความสุข”
คาลิฟา อธิบายให้ทุกคนได้รับทราบความคิดของตนเอง
“เธอจะไม่ขาดความสุขแน่นอนคาลิฟา เธอสามารถมีนางในฮาเร็มเหมือนท่านชีค”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ เป็นคนพูดเพื่อให้คาลิฟา ได้มีความหวังในชีวิต
“เหมือนที่ท่านชีค มีซาร่า มีนวลปรางค์เป็นนางบำเรอนั่นยังไงล่ะคาลิฟา”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ พูดเสริมทันที แต่เป็นลักษณะจิกเรียก ให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่า
“เรียกว่าอนุภรรยา จะดูดีกว่านะครับ พี่ฟาริยะห์”
คาลิฟา ติงคำพูดของท่านผู้หญิงฟาริยะห์
“โอ้ย..จะเรียกอะไรก็คือนางบำเรออยู่ดีน่ะแหละ”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ รีบพูดเข้าข้างพี่สาวทันทีด้วยน้ำเสียงเหยียด ๆ
“แต่พวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาท่านชีคเหมือนพวกพี่ มีความเป็นคนเหมือนกับพวกพี่ทุกคนนั่นแหละ พวกเขาต่างก็ซื่อสัตย์ต่อท่านชีค ปรนนิบัติท่านชีคเพียงคนเดียว เพียงแต่พวกเขาไม่มีโอกาสที่ดีเหมือนพวกพี่ ไม่ได้เกิดมาเป็นคนในตระกูลซาเอด อัลมาร์ซี ก็แค่นั้น”
คำพูดของคาลิฟา ทำให้ท่านชีคแอบพอใจ
“ท่านพี่คะ..ท่านจะยอมให้คาลิฟา ยกย่องผู้หญิงต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้หญิงในตระกูลแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ หันไปบอกกับชีคซายิด ที่ยังนั่งอมยิ้มอยู่ ในขณะที่ท่านผู้หญิงราเนีย ยังคงนั่งฟังเงียบ ๆ ไม่แสดงความคิดเห็นออกมา
“เปิดใจกว้างกันหน่อยสิครับพี่ซูรอยห์” คาลิฟา บอกอย่างใจเย็น
“ถ้าไม่เปิดกว้าง พี่คงไม่ยอมให้ท่านชีค มีพวกนางบำเรอต่างชาติเป็นสิบ เข้ามาอยู่ในพาราไดซ์การ์เดนท์ นี่หรอกนะ”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ โต้ตอบอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้พอใจกับการที่ท่านชีค มีอนุภรรยาเลย เธอไม่ยอมเรียกบรรดาผู้หญิงชาวต่างชาติของท่านชีคว่าอนุภรรยา แต่พอใจที่จะเรียกนางบำเรอมากกว่า เธอคิดว่าท่านชีค มีภรรยาแค่สี่คนที่เป็นคนในตระกูลเดียวกันก็ถือว่าเพียงพอแล้ว และตอนนี้เหลือภรรยาแต่งสามคนก็ไม่ควรจะหามาเพิ่มจนเต็มอัตราสี่คนเหมือนเดิม
เธอพอใจที่จะให้ท่านชีค มีผู้หญิงบำเรอนอกบ้านเป็นครั้งคราวมากกว่าที่จะเก็บมาชุบเลี้ยงในบ้าน
“เรียกพวกเขาว่าอนุภรรยาก็ได้นะจ๊ะซูรอยห์”
ท่านผู้หญิงราเนีย พูดเตือนสติเพื่อให้ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ได้วางตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งภรรยาแต่งของท่านชีค
“ราเนีย พูดถูกต้องแล้ว พวกอนุภรรยาของฉันทุกคนก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียฉันทั้งนั้นรวมทั้งเธอด้วยนะซูรอยห์ เธอควรจะให้เกียรติคนอื่นเช่นกัน หากอยากจะได้รับเกียรติจากคนอื่น.เพราะคำพูดนั้นจะส่อถึงจิตใจของผู้พูดด้วย”
ชีคซายิด ได้ยินท่านผู้หญิงราเนีย พูดเช่นนั้นก็ถือโอกาสกล่าวสนับสนุน ทำให้ท่านผู้หญิงซูรอยห์ หน้าตาไม่พอใจที่ได้ยินท่านชีค กล่าวยกย่องอนุภรรยาแต่ตำหนิเธอ
“จะต้องให้ดิฉัน ยกย่องแม่นวลปรางค์ เป็นกรณีพิเศษหรือเปล่าล่ะคะท่านพี่..ดิฉันจะได้เชิญแม่นั่น มาพักที่ห้องใน คฤหาสน์หลังนี้ด้วยเสียเลย”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ อดที่จะเหน็บแนมด้วยความหมั่นไส้อนุภรรยาคนโปรดของท่านชีคไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้บรรดาภรรยาทั้งหมดต่างก็ทราบดีว่าชีคซายิด ให้ความรักใคร่เอ็นดูคุณนวลปรางค์ เป็นพิเศษกว่าใคร ๆ แม้จะพยายามทำตัวเป็นปกติกับภรรยาทุกคนก็ตาม แต่พฤติกรรมลำเอียงก็มีมาให้เห็นจนได้
“ฟาริยะห์! เธอพาน้องสาวของเธอไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องส่วนตัวได้แล้ว..ฉันไม่ชอบให้เมียคนใดคนหนึ่ง มาแสดงความอิจฉาริษยาหรือพูดจาประชดประชันแบบนี้มันเสียบรรยากาศที่ดี ถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของฉันล่ะก็ต่อไปห้ามมาให้ฉันเห็นหน้าอีก และถ้ายังดื้อดึงต่ออีก ฉันจะสั่งปลดออกจากตำแหน่งภรรยาชีค ทันที”
ชีคซายิด แสดงความเป็นผู้นำอย่างเด็ดขาด ทำให้ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ รีบฉุดแขนของน้องสาวให้ลุกออกไปทันทีอย่างรู้อารมณ์ของท่านชีคดี
