8. กดดันให้มีคู่
“แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้นะครับ” คาลิฟารีบสวนกลับทันที
“นายจะถ่วงเวลาอีกไม่ได้แล้วนะคาลิฟา การที่นายไม่ยอมแต่งงานจนอายุขนาดนี้แล้วมันถึงได้ทำให้เกิดข่าวลือบ้า ๆนี้ขึ้นมา แล้วตอนนี้นายก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทายาทชีคอย่างเป็นทางการแล้วด้วยนายควรต้องรีบแต่งงาน”
ชีคซายิด บอกให้น้องชายรับรู้
“ทำไมล่ะครับ..มันจะแปลกตรงไหนถ้าทายาทชีคผู้ครองรัฐจะอยู่เป็นโสด”
คาลิฟา แย้งอย่างไม่เข้าใจ
“มันแปลกตรงที่ยังไม่เคยมีชีคคนไหนในตระกูลฃองเราปฏิบัติไงล่ะ ผู้ปกครองรัฐจะต้องมีฐานครอบครัวให้ปกครองได้ก่อน ผู้คนจึงจะเคารพเชื่อมั่นในตัวของผู้นำ ตัวพี่เองก่อนที่จะขึ้นตำแหน่งต่อจากท่านพ่อ พี่ยังต้องทำตามคำสั่งของท่านพ่อที่ให้พี่แต่งงานกับพี่น้องพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ทั้งสี่คน ตัวนายก็ต้องปฏิบัติเหมือนกันจะต้องแต่งงานก่อนที่จะขึ้นตำแหน่ง”
ชีคซายิด ให้เหตุผล
“แต่ยุคสมัยมันได้เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ควรที่จะยึดติดกับสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญของมันนะครับ..สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือความสามารถในการบริหารบ้านเมืองนำพาความเจริญให้กับรัฐของเรา”
น้องชายก็มีเหตุผลให้กับทุกคนเช่นกัน
“อันนั้นมันแน่อยู่แล้ว แต่เรื่องครอบครัวก็เป็นสาระสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” พี่ชายแย้งกลับ
“ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัวนี่ครับ” คาลิฟา บอก
“เธอก็จะย่างสามสิบแล้วนะคาลิฟา จะรออะไรอีกล่ะควรที่จะแต่งงานได้แล้ว”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ รีบกล่าวย้ำ
“พี่เห็นด้วยกับฟาริยะห์ ตอนนี้มีข่าวเรื่องที่นายเป็นเกย์ก็ต้องยิ่งแต่งกลบข่าวลือนี้ซะ”
ชีคซายิด บอกน้องชาย
“แต่ผมยังไม่มีเจ้าสาวที่จะแต่งงานด้วยเลยนะครับ”
เขาหมายถึงผู้หญิงที่เขาพอใจอยากจะแต่งงานด้วย
“นายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย ผู้หญิงในตระกูลของเรามีมากมายให้นายเลือกแต่งงานด้วย”
“แต่ผมไม่ต้องการแต่งงานกับคนในตระกูล ผมควรมีสิทธิที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่ผมรัก”
“คาลิฟา...เธอก็รู้ว่าที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ชีคของรัฐเราไม่เคยแต่งงานกับคนนอกตระกูลสักคน เราอยากจะให้เธอแต่งงานกับคนในตระกูลเดียวกันที่เป็นญาติโดยสายเลือดเท่านั้นไม่ใช่คนนอกตระกูล”
ท่านผู้หญิงราเนีย เป็นคนเอ่ยขึ้นมาเป็นการเตือนให้อีกฝ่ายได้นึกถึงกฏระเบียบของตระกูล
“ถูกของราเนีย ตระกูลของเราปฏิบัติแบบนี้มาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว นายจะมาผิดกฎได้อย่างไรกัน สิ่งที่นายควรทำก็คือทำให้ตระกูลของเรายิ่งใหญ่ ผลิตทายาทลูกหลานในตระกูลซาเอด อัลมาร์ซี ของเราให้มากที่สุด..ดังนั้นนายควรจะแต่งงานมีภรรยาสี่คนเหมือนกับพี่”
ชีคซายิด กล่าวเสริมคำพูดของภรรยาผู้อาวุโส แต่คนฟังอย่างคาลิฟา แอบคัดค้านอยู่ในใจ
“พี่ก็เห็นด้วยกับท่านชีคนะคาลิฟา”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ รีบกล่าวสนับสนุนคำพูดของสามีทันที เช่นเดียวกับท่านผู้หญิงซูรอยห์ที่พยักหน้าเห็นด้วย
“พวกพี่จะให้ผมมีภรรยาสี่คนเต็มอัตราอย่างนั้นน่ะหรือครับ”
คาลิฟา ถามอย่างหนักใจ
“มันควรจะเป็นเช่นนั้นสำหรับตำแหน่งชีคผู้ครองรัฐตุรเกีย ในอนาคต”
ชีคซายิด บอกกับน้องชาย
“แต่ตอนนี้ผมเป็นเพียงทายาท...ยังไม่ได้เป็นชีคผู้ครองรัฐ ผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีภรรยาสี่คนนี่ครับ” คาลิฟา รีบแย้ง
“ถ้านายยังไม่อยากมีสี่คนตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ก็แต่งงานกับคนในตระกูลของเราคนหนึ่งก่อนก็ได้ แต่ถ้าภรรยาของนายไม่มีลูก นายก็ต้องแต่งงานกับคนที่สองที่สามเพื่อให้ได้ทายาท”
ชีคซายิด กล่าวเป็นการยืดหยุ่นให้กับน้องชาย
“ผมคงทำใจยากเหลือเกินที่จะต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้พอใจ”
คาลิฟา บอกสีหน้าเศร้า ทำให้ชีคซายิดหันไปสบตากับภริยาทั้งสามของท่านทีละคน ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของน้องชายอย่างเห็นใจ เพราะชีคซายิด เองก็ไม่ได้แต่งงานด้วยความรักความพอใจแต่อย่างใด
“พี่จะเปิดโอกาสให้นายได้เลือกผู้หญิงที่นายพอใจ จะไม่บังคับนายในเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ชีคซายิดบอก ทำให้คาลิฟา เบิกตากว้างด้วยความดีใจแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
“จริงหรือครับพี่ซายิด พี่จะไม่จับผมคลุมถุงชนใช่ไหมครับ” คาลิฟาถามด้วยความตื่นเต้น
“จริงสิ..พี่จะให้นายเลือกผู้หญิงในตระกูลของเราได้ตามใจชอบ” ชีคซายิดยืนยัน
“ใช่จ๊ะ..พวกเราจะเลือกเฟ้นญาติสาว ๆ ในตระกูลที่อยู่ในวัยยี่สิบต้น ๆ ที่สดใสสวยงามให้เหมาะสมกับความหล่อดูดีของเธอ เพื่อมาให้เธอเลือกแต่งงานด้วย”
ท่านผู้หญิงราเนีย พูดเสริม แต่คาลิฟาเริ่มที่จะหุบยิ้ม สีหน้าห่อเหี่ยวลงทันที เมื่อได้ยินคำว่าผู้หญิงในตระกูล ที่แท้ท่านชีคให้อิสระในการเลือกคนในตระกูลเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงที่เขาพอใจอยากจะแต่งงานด้วย เขาไม่น่าหลงดีใจเลย
“แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าเปิดโอกาสให้ผมได้เลือกหรอกครับ..เพราะสิ่งที่ผมต้องการคือคนที่ผมรักต่างหาก” คาลิฟา บอก
“นายก็เลือกรัก เลือกพอใจผู้หญิงสักคนในตระกูลเราสิมีญาติสาว ๆ ตั้งหลายคนต่างก็สวย ๆ ทั้งนั้น” ชีคซายิด กล่าว
“ผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงแค่เพียงความสวยอย่างเดียว ผมอยากจะได้คนที่มีทัศนคติที่ตรงกันด้วย ผมไม่ต้องการภรรยาที่คอยแต่ฟังคำสั่งสามีอย่างเดียวนะครับ” คาลิฟาแย้ง
“ภรรยาที่ฟังคำสั่งสามีอย่างเดียวที่เธอพูดนั่นหมายถึงพวกพี่หรือเปล่า คาลิฟา”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ รีบถามขึ้น เพราะชีวิตของเธอเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอดนั่นเอง รวมไปถึงผู้หญิงทุกคนในตระกูลที่มีหน้าที่เป็นเพียงเมีย และแม่ ทำหน้าที่ดูแลสามี ควบคุมคนรับใช้ให้ทำงานบ้านเท่านั้นไม่ได้มีสิทธิหาประสบการณ์ชีวิตนอกบ้าน
“ว่าไงล่ะคาลิฟา..เธอกำลังว่าพวกพี่อยู่ใช่ไหม”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ รีบถามซ้ำเมื่อคาลิฟาไม่ยอมตอบ
“ถ้าให้ผมพูดตรง ๆ ก็ต้องบอกว่าใช่ครับ..ผมกำลังหมายถึงพวกพี่ รวมทั้งผู้หญิงในตระกูลของเรา แล้วก็ผู้หญิงทุกคนในรัฐตุรเกียด้วย”
คาลิฟา บอกพร้อมกับสบตากับบรรดาพี่สะใภ้ที่เป็นพี่สาวต่างมารดาของเขาทีละคน
“พวกพี่ยอมรับนะคาลิฟา ว่าเราเป็นภรรยาแบบนั้น แต่มันก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ ในเมื่อผู้หญิงเกิดมาก็เพื่อเป็นแบบนี้”
ท่านผู้หญิงราเนีย ยอมรับ แม้จะรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมที่ได้รับในประเทศของตนก็ตาม
“ไม่แปลกหรอกครับ แต่ผมไม่อยากให้ภรรยาของผมต้องเป็นแบบนั้นไม่อยากให้คิดว่าผู้หญิงต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่มีปากมีเสียง”
คาลิฟา บอกความในใจของเขา
“นายอยากมีเมียที่ข่มผัวอย่างนั้นหรือคาลิฟา..นายจะยอมลดเกียรติของลูกผู้ชายให้เมียเป็นใหญ่ได้อย่างไร ผู้ชายเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำทำให้ภรรยาเคารพยำเกรง นายอย่ามาคิดอะไรที่มันนอกกรอบให้วุ่นวายเลย”
ท่านชีค ต่อว่าน้องชายอย่างไม่เห็นด้วย
