7. รวมญาติ
เช้าวันต่อมาคาลิฟา ได้รับเชิญจากท่านชีคซายิดให้ไปร่วมรับประทานอาหารเช้าที่คฤหาสน์ของท่านชีค เขาจึงเดินทางไปก่อนเวลาสิบนาทีเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่ท่านชีคผู้เป็นพี่ชายจะพูดกับเขา
อาหารเช้าของคฤหาสน์ท่านชีค เริ่มเวลาแปดโมงครึ่ง มีภริยาทั้งสามของท่านชีค ร่วมโต๊ะด้วย และทันทีที่สมาชิกทุกคนนั่งกันพร้อมหน้า บรรดาสาวใช้ก็ทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟอย่างพร้อมเพรียง มีอาหารให้เลือกรับประทานถึงสิบสองรายการ ซึ่งเป็นอาหารโปรดของแต่ละคนที่เลือกนำมาขึ้นโต๊ะคนละอย่างสองอย่าง
ช่วงเวลาที่รับประทานอาหารไม่มีการพูดคุยกันเลย ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับตระกูลนี้มาช้านานแล้ว เวลาที่รับประทานจะต้องไม่พูดคุยกันนอกจากจะสั่งอาหารเพิ่มหรือพูดถึงรสชาตอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กระทั่งการรับประทานเสร็จสิ้นลงก็จะมีการเสิร์ฟน้ำชาเป็นการตบท้ายมื้ออาหาร โดยการย้ายไปดื่มชากันที่ห้องดื่มชาโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ตกแต่งสวยงามไม่แพ้ห้องอาหาร คราวนี้จึงจะเริ่มมีการพูดคุยกันได้อย่างเต็มที่ ใครมีเรื่องอะไรอยากจะเล่าสู่กันฟังหรือมีปัญหาอะไรก็ยกมาพูดได้ในช่วงนี้
“การท่องเที่ยวทะเลทรายเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะคาลิฟา”
ท่านผู้หญิงราเนีย ซึ่งเป็นภริยาที่มีอาวุโสกว่าภริยาอีกสองท่านเป็นคนเอ่ยถามคาลิฟา ท่านผู้หญิงราเนีย อายุห้าสิบปีในปีนี้แล้ว ซึ่งท่านอายุมากกว่าชีคซายิดห้าปี และน้องสาวของท่านผู้หญิงราเนีย ก็คือท่านผู้หญิงซัลมา ภรรยาแต่งลำดับสองของชีคซายิดที่เสียชีวิตไปได้เกือบหนึ่งปีแล้ว
“ก็ตื่นเต้นสนุกดีครับพี่ราเนีย” คาลิฟา ตอบตามจริง
“น่าเสียดายนะที่เธอไม่ได้ชวนอัลยาไปด้วย..รายนั้นน่ะชอบท่องเที่ยวที่ตื่นเต้นผจญภัยเหมือนกัน”
ท่านผู้หญิงราเนีย เอ่ยถึงหลานสาวคนเล็กลูกของน้องชายเป็นการเปิดทาง
“แหม..พี่ราเนียพูดแบบนี้คงลืมประเพณีไปแล้วกระมังคะว่าชายหนุ่มกับหญิงสาวจะไปท่องเที่ยวกันตามลำพังไม่ได้ หากยังไม่ได้แต่งงานกัน”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ ภรรยาลำดับสาม ที่บัดนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับสองแทนท่านผู้หญิงซัลมา เป็นคนพูดขึ้น
“นั่นสินะ..ความจริงอัลยา เป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับคาลิฟา มากที่สุดเลยนะในสายตาของพี่ หากได้แต่งงานกันก็นับว่าเหมาะสมมากทีเดียว”
ท่านผู้หญิงราเนีย บอกพร้อมกับสังเกตสีหน้าของคาลิฟา ไปด้วย
“ผมคิดว่าอัลยาเป็นหลานสาวของผมเสมอครับ..”
คาลิฟา ตอบยิ้ม ๆ เขารู้ดีว่าบรรดาภริยาของพี่ชายที่มีศักดิ์เป็นทั้งพี่สะใภ้ และพี่สาวต่างมารดาของเขานั้น กำลังจะโน้มน้าวใจเขาให้สนใจบรรดาญาติสาว ๆ ในตระกูลเหมือนกับทุกครั้งนั่นเอง
“ถ้าคาลิฟาไม่สนใจอัลยา ก็ลองพิจารณาฟาติมาร์ ก็ได้นะจ๊ะ”
คราวนี้ท่านผู้หญิงซูรอยห์ ภรรยาลำดับสี่ที่เลื่อนมาเป็นลำดับสามของท่านชีค เป็นคนเสนอน้องสาวคนเล็กที่อายุห่างกว่าพี่ ๆ นับสิบปีบ้าง
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ เป็นน้องสาวของท่านผู้หญิงฟาริยะห์ ที่มีบิดาเดียวกันกับชีคซายิด เช่นเดียวกับท่านผู้หญิงราเนีย และท่านผู้หญิงซัลมา เพียงแต่ต่างมารดากันเท่านั้นเอง
“ฟาติมาร์..ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่คิดเป็นอื่นนอกจากเห็นเป็นน้องสาวคนหนึ่ง”
“เห็นเป็นน้องนั่นแหละดีแล้ว จะได้แต่งงานกันอย่างสนิทใจ”
ชีคซายิด ที่นั่งฟังการสนทนาของทุกคนอยู่นานแล้วเป็นคนพูดแสดงความเห็นขึ้นมา ทำให้คาลิฟา เริ่มที่จะอึดอัด
“ใช่จ๊ะคาลิฟา..ตอนนี้อายุของเธอก็มากพอที่จะคิดเรื่องแต่งงานได้แล้ว”
ท่านผู้หญิงราเนีย พูดเสริมราวกับว่าเตรียมการมากับสามีเป็นอย่างดี
“ผมเพิ่งจะย่างเข้าสามสิบเองนะครับพี่ราเนีย ผู้ชายควรจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวตอนอายุสี่สิบกำลังดีครับ”
“สี่สิบนั่นมันแก่เกินไปแล้วนะจ๊ะคาลิฟา”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ รีบแสดงความไม่เห็นด้วย
“ไม่แก่หรอกครับพี่ฟาริยะห์..ดูอย่างท่านชีคของเราสิครับสี่สิบห้าปีก็ยังดูหนุ่มอยู่เลย”
คาลิฟา หันไปชมพี่ชาย
“แต่ท่านชีค แต่งงานครั้งแรกกับพี่ราเนีย ตอนที่ท่านชีค อายุยี่สิบสองปีนะจ๊ะ ส่วนเธอจะย่างสามสิบแล้วต้องรีบแต่งงาน”
ท่านผู้หญิงซูรอยห์ พูดกระตุ้นให้คาลิฟา ได้คิดร้อนใจเรื่องมีคู่ครอง
“ก็ตอนนั้นท่านชีคได้ตำแหน่งเป็นทายาทชีคผู้ครองรัฐต่อจากท่านพ่อน่ะสิครับ ก็เลยต้องรีบแต่งงานเอาไว้ก่อน”
คาลิฟา บอกอย่างรู้ธรรมเนียมของตระกูลเขาดี
“นายก็เหมือนกันนะคาลิฟา..นายก็ต้องเตรียมตัวเช่นกัน ที่พี่เรียกนายกลับมาด่วนก็เพราะเรื่องนี้แหละ”
ชีคซายิด เริ่มเข้าสู่เรื่องที่เรียกน้องชายมาพบ
“ไม่ใช่เพราะข่าวลือว่าผมเป็นเกย์หรือครับ”
คาลิฟา แกล้งถามน้ำเสียงขบขัน
“นายรู้เรื่องนี้แล้วนี่..ใครบอกงั้นหรือ” ชีคซายิด ย้อนถามน้องชาย
“ผมก็มีสายคอยรายงานเหมือนกันนะครับ”
คาลิฟา ไม่ยอมบอกว่ารู้เรื่องนี้มาจากคุณนวลปรางค์
“แล้วมันจริงหรือเปล่า” ชีคซายิดถามกลับบ้าง
“ถ้าจริง ป่านนี้ผมกับซาร์กาคงจะแต่งงานกันไปแล้วล่ะครับ” คาลิฟาตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
“ว้าย..คาลิฟา ทำไมถึงได้กล้าพูดแบบนั้นล่ะ..ผู้ชายแต่งงานกับผู้ชายไม่ได้เด็ดขาดนะจ๊ะ”
ท่านผู้หญิงราเนีย ร้องบอกสีหน้าตกใจไม่แพ้บรรดาภรรยาอีกสองท่าน
“พี่ราเนียครับ..สมัยนี้เขาไม่ถือกันแล้วล่ะครับว่าผู้ชายจะแต่งงานกับผู้ชายไม่ได้ หรือว่าผู้หญิงจะแต่งกับหญิงไม่ได้ มีหลายประเทศที่เปิดโอกาสให้เพศเดียวกันแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันได้แล้วด้วย”
คาลิฟา บอกให้พี่สะใภ้ที่เป็นพี่สาวต่างมารดาของเขาได้รับรู้และเข้าใจความเป็นไปของผู้คนในโลกปัจจุบัน
“แต่ต้องไม่ใช่ประเทศดามัสเซียของเราแน่นอนจ๊ะ และโดยเฉพาะรัฐตุรเกียของเรา”
ท่านผู้หญิงฟาริยะห์ บอกเสียงหนักแน่น
“ใช่..ประเทศของเราเคร่งครัดกับเรื่องนี้มาก ถ้ามีข่าวเรื่องรักเพศเดียวกันเข้ามาก็ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง นายจะทำเป็นเล่นกับข่าวนี้ไม่ได้เด็ดขาดนะคาลิฟา มันมีผลต่อการเป็นทายาทชีคผู้ครองรัฐอย่างมาก อาจจะเป็นปัญหาให้นายไม่ได้เป็นชีคคาลิฟา ในอนาคตก็ได้”
ชีคซายิด บอกน้องชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมรู้ครับว่าธรรมเนียมประเพณีมีผลต่อเรื่องนี้แค่ไหน แต่พี่จะซีเรียสทำไมล่ะครับ ในเมื่อผมไม่ได้เป็นเกย์อย่างที่มีข่าวลือ ผมยืนยันว่าผมเป็นลูกผู้ชายทั้งร่างกายและจิตใจครับ”
คาลิฟา ให้ความมั่นใจแก่ทุกคน
“สิ่งที่จะช่วยยืนยันให้นายได้ก็คือนายต้องแต่งงาน” ชีคซายิด บอกเสียงจริงจัง
