บทที่ 4 ความทุกข์ของเธอคือความสุขของเขา
“นา...วันนี้เลิกเรียนไปเดินห้างเป็นเพื่อนหลีนะ หลีอยากได้ไอโฟนใหม่ อุตส่าห์อ้อนให้แม่ซื้อตั้งนาน”
“อื้ม…ได้สิ ว่าจะไปดูนิยายเรื่องใหม่อยู่เหมือนกัน”
นลินดาตอบตกลงคำชวนของเพื่อน เธอชอบอ่านหนังสือนวนิยายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงไม่ได้ซื้อ ได้ไปดูก็ยังดี ไว้เก็บเงินได้เมื่อไหร่ค่อยไปซื้อทีหลัง ถึงตอนนั้นราคาอาจจะลดลงอีก
“แล้วเค้กจะไปด้วยกันไหม?”
“ไม่ดีกว่า เย็นนี้เค้กนัดแทนไว้น่ะ ไม่โกรธกันนะ”
“จะโกรธทำไมล่ะ เค้กไปเที่ยวกับแฟนนี่นา นานๆ จะได้เจอกันที ดูแลตัวเองด้วยนะเค้ก ไว้นาจะโทรหา”
หญิงสาวถือโอกาสเอ่ยลาเพื่อนสนิท เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเธอตั้งใจจะมาทำเรื่องดรอปเรียนเอาไว้ก่อน
“นาก็เหมือนกันนะ” คณิตรารับคำและส่งยิ้มเป็นกำลังใจกลับไป
“หลีลืมบอกไปว่าวันนี้หลีเอารถมา...งั้นเดี๋ยวหลีซื้อนิยายให้หนึ่งเล่ม แล้วก็จะเลี้ยงส่งนาด้วย ห้ามปฏิเสธนะ”
มานิตารีบดักคอเพื่อนทันที ด้วยความที่รู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดีว่าเป็นคนขี้เกรงใจ
“จะดีเหรอหลี ไม่ต้องถึงกับเลี้ยงส่งนาหรอก ยังไงเราก็ได้เจอกันอีก”
“ไม่เอาน่า เจอก็ส่วนเจอสิ หลีตั้งใจทำให้เพื่อน ถ้านายังไม่ไปหลีจะโกรธจริงๆ ด้วย”
มานิตาทำเสียงงอนๆ เมื่อรู้ว่ากำลังจะถูกทำลายความตั้งใจ
“ก็ได้จ้า...อย่างอนเลยน้า ดีซะอีกวันนี้ได้นิยายฟรีตั้งหนึ่งเล่ม แถมยังมีคนใจดีเลี้ยงข้าวอีก”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนทำท่าจะโกรธจริงๆ เธอจึงรีบตอบตกลงด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองหลวง ซึ่งเป็นที่นิยมของทุกเพศ ทุกวัย สินค้าและของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ มักรวมอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการปลดปล่อยความเครียดหลังจากการเรียนหรือการทำงานมาตลอดทั้งวัน
“มาร์คขา อลิสอยากได้กระเป๋าคอเลกชั่นใหม่ ใบเก่าตกเทรนด์แล้ว มาร์คซื้อให้อลิสนะ”
“อืม...คุณเข้าไปเลือกก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมเดินตามเข้าไป”
มาร์ตินตอบตกลงง่ายดาย แต่ถ้าจะให้เขาเข้าไปรอหรือเลือกเป็นเพื่อน ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มใส่ใจนัก
“มาร์คน่ารักที่สุดเลย อลิสรักมาร์คนะคะ”
เธอยิ้มหวานด้วยอาการดีใจ และเน้นคำว่า ‘รัก’ เป็นพิเศษ
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวผมต้องไปทำอย่างอื่นต่อ”
เขาเริ่มเบื่อหน่ายคำว่ารักของเธอ ตลอดเวลาได้ยินเจ้าหล่อนพูดจนเอียน และตนเองก็ไม่ได้รู้สึกยินดีสักเท่าไหร่ แต่ที่คบกันได้นานเพราะเธอไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงหลายๆ คนที่ตนเคยควงก่อนหน้านี้
ในระหว่างที่มาร์ตินกำลังยืนมองบริเวณรอบๆ สายตาก็ไปสะดุดกับหญิงสาวสองคนที่อยู่ในเครื่องแบบนักศึกษา ซึ่งหนึ่งในนั้นเขาจำได้ทันทีว่าเป็นคนเดียวกับที่สั่งให้ลูกน้องติดตามอยู่ทุกฝีก้าว
สายตาที่มองเต็มไปด้วยความสมเพชและเย้ยหยัน พาลคิดไปว่านิสัยเธอคงไม่ต่างจากบิดา จนแล้วไม่เจียมตัว ต้องการความสุขสบาย ขนาดว่าครอบครัวกำลังเดือดร้อนยังมีอารมณ์มาเดินห้าง ยิ่งท่าทางหัวร่อต่อกระซิกยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากจะเข้าไปสั่งสอนให้เจ้าตัวได้รู้สำนึก
“หลีไปรอที่ร้านก่อนเลยนะ เดี๋ยวนาตามไปจ้ะ ขอไปส่องๆ นิยายก่อน”
นลินดาบอกหลังตกลงกันได้ว่าจะไปกินบุฟเฟ่ต์ปิ้ง-ย่างก่อน หลังจากที่เดินซื้อของกันเกือบชั่วโมง ซึ่งตัวเธอไม่ได้ซื้ออะไรมากนักนอกจากสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ และของใช้อีกนิดหน่อย
หลังจากเดินเข้ามาในร้าน มือเล็กก็รีบคว้าหนังสือนวนิยายบนชั้นมาเปิดดูเนื้อหาด้านในคร่าวๆ เพื่อเป็นการตัดสินใจในการซื้อ โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาด้วยท่าทางไม่พอใจ
“เธอนี่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรจริงๆ มีปัญญาเดินเที่ยวห้าง แต่ไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้”
นลินดาตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงของเขาดังพอที่จะทำให้คนอื่นๆ ได้ยินไปด้วย ความอับอายไม่เท่าความเจ็บใจที่เขาพูดจาดูถูกเธออีกครั้ง
“ทำไมคะ การที่ฉันเดินห้าง มันผิดกฎหมายข้อไหน?”
“มันก็ไม่ได้ผิดกฎหมายหรอก แต่มันผิดที่เธอมีเงินซื้อของแต่ไม่คิดจะรีบหาเงินมาใช้หนี้ที่พ่อเธอก่อเอาไว้ไง”
มาร์ตินตะคอกใส่คนตรงหน้า ให้มันรู้ไปสิว่าเขาจะทำให้เธอรู้สึกตกต่ำไม่ได้
“มันจะมากไปแล้วนะ ฉันผิดอะไรนักหนา และการที่ฉันมาเดินห้างฯจนทำให้คุณเข้าใจว่าฉันใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนไม่มีเงินมาคืนคุณแล้วล่ะก็ คุณกำลังคิดผิด ของที่ฉันซื้อมันไม่ได้มีราคาเป็นล้านนะคะ คุณเจ้าหนี้หน้าเลือด”
คำต่อว่าของคนตรงหน้าทำให้เธออดรนทนไม่ไหว ตอบโต้กลับไปบ้าง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกต่อว่าแรงๆ ขนาดนี้มาก่อน
“ปากดีไม่เบาเลยนะ” เจ้าหนี้หน้าเลือดจ้องหน้ากลับด้วยความโกรธกับสรรพนามที่เธอบังอาจมาตั้งให้
“กรี๊ดดด”
ทว่าในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงกรีดร้องบวกกับแรงกระชากทางด้านหลังทำให้นลินดาถึงกับเซและนิ่วหน้าด้วยความที่ไม่ทันได้ตั้งหลัก
“แกเป็นใคร มายุ่งอะไรกับแฟนฉัน หน้าตาก็ดีแต่ไม่มีปัญญาหาแฟนหรือไงถึงต้องมาแย่งของคนอื่น”
ทันทีที่ตั้งสติได้ คนถูกกระทำก็ไม่รีรอที่จะตอกกลับคนตรงหน้าไปด้วยความโมโห
“แล้วอะไรเข้าสิงคุณ ถึงได้เป็นบ้ามาโวยวายใส่ฉัน”
“ฉันเป็นแฟนมาร์คคนที่แกกำลังอ่อยนี่ไง นังเด็กหน้าด้าน” พูดจบนางแบบสาวก็ตรงเข้าไปกอดแขนคนรักแสดงความเป็นเจ้าของทันที
“อ๋อ...เหรอคะ งั้นคุณก็ช่วยล่ามโซ่แฟนคุณไว้สิ ปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่านไม่มีเจ้าของอยู่ได้”
นลินดาแค่นเสียงใส่ด้วยความโมโห เธอไม่เคยยุ่งกับใครก่อนถ้าไม่มีใครมายุ่งกับเธอ อีตาบ้านี่ก็เหมือนกัน ดีแต่ยืนเก๊กหล่อแถมยังกล่าวหาคนอื่น
“เธอหมายถึงใคร?”
ชายหนุ่มถามเสียงขุ่น เด็กบ้านี่มาหาว่าตนเป็นหมา ไว้ถึงเวลาเมื่อไหร่พ่อจะเล่นงานให้เข็ด
“ไม่ทราบสิคะ โตแล้วน่าจะคิดเองได้”
“เก่งให้ตลอดแล้วกัน”
มาร์ตินมองคนตรงหน้าด้วยสายตาคาดโทษ ยิ่งเห็นใบหน้าเนียนทำไม่รู้ไม่ชี้ก็ยิ่งโกรธ ก่อนจะหันกลับไปทางคู่ควงสาว
“คุณก็ด้วยอลิส อย่าลืมว่าผมไม่ชอบอะไรบ้าง...กลับ”
พูดจบ เขาก็เดินนำออกไปเพราะเริ่มรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาด้วยความอยากรู้ ซึ่งนางแบบสาวก็ยังไม่วายหันกลับมาชี้หน้าคู่กรณีและส่งสายตาไม่พอใจไปให้
“ฝากไว้ก่อนเหอะนังเด็กปากพล่อย!”
“ยังไงก็อย่าลืมมาเอาคืนนะคะ”
นลินดาเชิดหน้ายิ้มและตอบโต้กลับไป หวงก้างแบบนี้น่าจะเก็บเอาไว้ดูเล่นคนเดียวที่บ้านจะดีกว่า
“นา มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
มานิตาไม่เห็นว่าเพื่อนเดินตามเข้าไปที่ร้านอาหาร จึงออกมาตามและได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่พอดี ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอกหลี แค่คนเป็นโรคประสาทหวงของ”
“หลีงงนะเนี่ยนา?”
คนถามยิ่งงุนงงกับสิ่งที่เพื่อนพูด
“ช่างมันเถอะหลี นาว่าเรากลับบ้านกันดีกว่านะ นาไม่อยากกินแล้ว”
หญิงสาวชวนเพื่อนกลับ ให้ไปกินตอนนี้คงไม่อร่อยแล้วแน่ๆ อยู่ดีๆ ก็โดนหาเรื่อง
“อ้าว...โอเค...กลับก็กลับ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอก็ไม่อยากจะซักไซ้ต่อให้มากความ
