บทที่8. ชื่่นชม
“คะ...คะ...ครับ”
เด็กชายอาลีตัวเล็กที่สุดแม้ว่าเขาจะอายุสิบขวบแล้วแต่เพราะรูปร่างผอมบาง จนเหมือนอายุหกเจ็ดขวบ
“ตอบซิ...คราวที่แล้วเรียนอะไรไปบ้าง” น้ำเสียงห้าวห้วนของกีวอนทำเอาเด็กน้อยตัวสั่น จัสมินตกยกมือขึ้นตีต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเป็นเชิงเตือน
“เธอนี่...ดุเด็กของฉันอีกแล้วนะ”
“ผมไม่ได้ดุ แค่เรียกให้เขาตอบ” กีวอนตอบหน้าตาย “และเด็กผู้ชายควรมีความกล้าไม่ใช่มาทำอะไรเงอะๆ งะๆ แบบนี้”
จัสมินโคลงศีรษะอย่างจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงให้คุณองครักษ์รู้จัก ‘อ่อนโยน’ เสียบ้าง! เธอได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินไปปลอบเด็กชายอาลี มือที่อ่อนโยนแตะที่ไหล่อาลีเบาๆ ถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านรอยยิ้ม เด็กชายจึงยิ้มตอบเมื่อหายหวาดกลัว
“จำได้ไหมว่าคราวที่แล้วเรียนอะไรไปเอ่ย” เด็กชายอาลีพยักหน้าหงึกหงัก “เราเรียนเรื่องตัวอักษรและสระภาษาอังกฤษครับ”
“ถูกต้อง ก่อนเริ่มบทต่อไปเรามาทบทวนของเก่าก่อนนะ”
เด็กๆ ต่างส่งเสียงเจื้อยแจ้วท่อง ABC เป็นทำนองเพลงอย่างสนุกสนาน และเมื่อท่องจบ จัสมินจึงเริ่มสอนบทเรียนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานต่อไป
สิ่งที่สายตาคมกริบของซาคีลเห็นนั้นทำให้เขาเผลอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว นอกจากไม่คิดว่าองค์หญิงแห่งบาฮาเนียจะมาเป็นครูสอนหนังสือเด็กๆ แล้ว ยังเป็นการสอนเด็กๆ ชาวทะเลทรายให้พูด-อ่าน-เขียนภาษาอังกฤษได้ เขาจะไม่แปลกใจนักหากหญิงสาวผมแดงคนนั้นจะสอนภาษาบาฮาเนียน แต่นี่....มันสร้างความงุนงงให้เขามาก แต่กระนั้นเขาก็ได้แต่นั่งดูจัสมิน สอนเด็กๆ อย่างสนุกสนาน ที่เหนือความคาดหมายคือการได้เห็นท่าทางหัวเราะสดใสกับดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับนั้น ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลิน ยิ่งกว่าการชมระบำหน้าท้องของนางรำสวยๆ ในฮาเร็มของเขาเสียอีก
ไนราอดปลื้มและชื่นชมองค์หญิงจัสมินไม่ได้ เมื่อพาคนเจ็บนั่งชมการสอนขององค์หญิงแล้วเธอก็ขอตัวไปตระเตรียมขนมของว่างให้เด็กๆ แม้ว่าจะเคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเองไม่มีความสามารถเก่งกาจอะไรเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องขนมของกินเธอมั่นใจในฝีมือตัวเอง ทว่ากับคนที่ไม่ชอบกินของหวานนี่สิ! คงยากที่จะทำให้ประทับใจได้
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่มีเสียงมือถือที่ตั้งเตือนเวลาไว้เอจะต้องเล่นกับเด็กๆ เพลินแน่ จัสมินเรียกเด็กมารวมกลุ่มเพื่อสั่งการบ้านก่อนที่จะปล่อยให้กินขนมหวานฝีมือไนราและกลับบ้าน แต่พอร่างเพรียวลมหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกดวงตาสีควันบุหรี่จ้องมอง ใบหน้าคมเข้มเปื้อนรอยยิ้มที่มุมปากเพียงเท่านี้ก็ทำให้ร่างบางสะท้านขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็น
“กีวอนช่วยดูเด็กๆ กลับบ้านด้วยนะ แล้วค่อยเก็บของเข้าที่” เธอหันไปสั่งงานกับองครักษ์แก้เขิน
“ครับ” แม้จะรับคำอย่างหนักแน่นแต่ก็อดบ่นในใจไม่ได้ ‘ไม่ต้องสั่งก็ได้ ก็มันหน้าที่ที่เคยทำอยู่แล้ว’
“เป็นการเรียนการสอนที่สนุกสนานดี” ซาคีลเอ่ยชมอย่างจริงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรู้ตัวเสียทีว่าเขาจ้องมองจนแทบจะใช้สายตาฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนร่างเพรียวลมออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” จัสมินไหวไหล่เล็กน้อยเดินมานั่งดื่มน้ำข้างๆ ชายหนุ่มที่เธอรู้จักในนามเลโอ
“ผมชื่นชมจริงๆ” เขาเอ่ยน้ำเสียงระรื่นเกือบจะกลายเป็นหัวเราะ “เพียงแต่...”
“สงสัยที่ฉันสอนพวกเขาเรียนภาษาอังกฤษนะเหรอ”เธอยิ้มอย่างรู้ทัน เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ริมฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มออกมา
“ถ้าเป็นลูกๆ ของคนมีเงินพวกเขาย่อมได้รับการศึกษาเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กยากจนและบางคนก็เป็นเด็กเร่ร่อน ฉันอยากให้พวกเราเรียนรู้ภาษาที่สองที่เป็นภาษาสากล มันเป็นผลดีต่อพวกเขาเอง หากวันหนึ่งข้างหน้าต้องพบปะพูดคุยกับคนต่างชาติจะได้ไม่ลำบาก พวกเขาสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ ไม่ถูกหลอกหรือโดนล่อลวง”
“แล้วคุณไม่กลัวว่าเขาจะลืมภาษาบาฮาเนียนหรอกหรือ”
“ไม่หรอก” จัสมินยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ “หากพวกเขายังระลึกว่า ตนเองเป็นคนบาฮาเนียนที่มีเลือดของชาวทะเลทรายเต็มเปี่ยม พวกเขาจะไม่มีวันลืมภาษาแม่ของตัวเอง”
ซาคีลทึ่งในความคิดของหญิงสาวแต่ก็ต้องยอมรับความคิดและเหตุผลของเธอซึ่งเป็นเรื่องจริงนิ่งนานวันเขาก็ได้รู้จักแง่มุมที่แปลกใหม่ของหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีเพลิงอันเจิดจ้าและดวงตาที่เย้ายวน
เธอไม่ได้มีแค่ความงดงามแค่ภายนอกแต่กลับมีสติปัญญาที่เรียกได้ว่า ‘ชาญฉลาด’ เธอช่างเหมือนของล่ำค่าที่หายากในทะเลทรายจริงๆ.
