บทที่7. ลืมตาตื่น
“ท่านซาคีลพวกเราถูกพวกโจรล้อมแล้ว พระองค์รีบเสด็จหนีก่อนเถิดพระเจ้าข้า!”
“หนี ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะพูดเช่นนี้กับข้านะซายาร์ด”
“อภัยให้กระหม่อมเถิด แต่เวลานี้จำเป็นต้องเสด็จหนี มิใช่เพื่อพระองค์เองแต่เพื่ออาเนียดาเรของเรา พระเจ้าข้า”
“ซายาร์ด”
“กระหม่อมจะยิงคุมกันพระองค์เอง รีบเสด็จเถิด”
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ร่างสูงใหญ่ลืมตาโพลงขึ้นเมื่อร่างกายของเขาถูกเขย่าให้รู้สึกตัว ใบหน้าคมเข้มเปื้อนหนวดเคราเต็มไปด้วยเหงื่อ จัสมินเองก็ตกใจกับการลืมตาตื่นของเขา แต่เธอมั่นใจว่าเขากำลังอยู่ในฝันร้าย และคงร้ายมากที่ทำให้ผู้ชายหน้าดุคนนี้นอนละเมอเพ้อด้วยพิษไข้เช่นนี้
“คุณฝันร้ายค่ะเลโอ”
น้ำเสียงแผ่วเจือความห่วงใยของจัสมินทำให้ซาคีลรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนโดยมีมือเรียวเล็กช่วยประคอง กลิ่นหอมจากเรือนผมสีตะวันฉายหอมละมุน เขาเผลอจับจ้องริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อยราวกับจะถอนหายใจ
“ผมคงทำให้คุณลำบากใจ” เขาถามเหมือนจะแหย่เล่นเสียมากกว่าจริงจัง
ลมหายใจของเขาที่เป่ารดอยู่ใกล้ๆ แก้มทำให้จัสมินหายใจติดขัดขึ้นมา “เปล่านี่ ฉันแค่เห็นคุณละเมอ...”
“ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณ” คนอย่างซาคีลไม่เคยติดหนี้ชีวิตใครเสียด้วยซิ ถ้าร่างกายแข็งแรงกว่านี้คงต้องรีบใช้หนี้เสียแล้ว!
“ไม่เป็นไร เป็นใครอยู่ตรงนั้นก็ต้องช่วยคุณ” จัสมินขยับตัวออกห่างแล้วนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงคนเจ็บ “แผลคุณหายเร็วมากนะ แค่อาทิตย์เดียวอาการคุณก็ดีขึ้นมาก”
“กำลังไล่ผมทางอ้อมหรือเปล่า” เขายิ้มพรายออกมา
ฉันพูดประโยคนั้นแล้วเหรอ” จัสมินขมวดคิ้ว “ฉันอาจจะไม่ได้ดูแลคุณอย่างดีแต่ก็เชื่อว่าไม่เคยหลุดปากไล่คุณนี่นะ”
“คุณดูแลผมดีมาก” เขาก้มศีรษะยอมรับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกครั้งที่ลืมตาจะเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่ยุ่งกับเอกสารก็อ่านหนังสือซึ่งบังเอิญเหลือเกินว่าเป็นหนังสือแนวเดียวกับที่เขาอ่าน
“อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะยื่นมือช่วยเหลือคนอื่นเช่นคุณนะ”
“มองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า” จัสมินหัวเราะคิกคัก “ชาวทะเลทรายย่อมช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อนไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วล่ะ”ซาคีลหัวเราะหึ หึ ในลำคอนึกตลกร้ายกับโชคชะตาตัวเอง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูอย่างเกรงใจของไนราทำให้จัสมินเผลอถอนหายใจออกมา ไม่ว่าจะพูดหรืออธิบายแค่ไหน หญิงสาวคนนี้ก็ช่างแสนจะขี้อายและขี้เกรงใจเหลือเกิน
“เอ่อ...คุณจัสมินค่ะ เด็กๆ มากันเต็มแล้วค่ะ”
ไนราโผล่หน้ามาจากหลังบานประตู เธอรู้ดีว่าธรรมเนียนของอาบาเนียนั้น หากไม่ใช่สามีภรรยาแล้วชายหนุ่มหญิงสาวไม่ควรอยู่กันตามลำพังในที่ลับตาคน แต่กับคนที่เติบโตมาจากซีกโลกตะวันตกอย่างองค์หญิงจัสมินนั้น ไม่มีใครคาดเดาความคิดแผลงๆ ของเธอได้
“จริงเหรอ มากันเร็วจัง” จัสมินแทบจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ ท่าทางดีอกดีใจของเธอทำให้คนเจ็บขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ฉันมีนัดกับเด็กๆ ต้องขอตัวก่อนนะคะ”
“เด็กๆ” เขาทวนคำอย่างแปลกใจ เท่าที่รู้คือองค์หญิงนิสัยประหลาดคนนี้ยังไม่ได้แต่งงานนี่นะ
จัสมินไม่ตอบแต่พยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไปทันที ไนรากำลังจะปิดประตูแต่ถูกเรียกไว้ก่อน เธอหันกลับมามองด้วยสายตาฉงนแต่ก็ยิ้มบางๆ เมื่อเจอคำถาม
“คุณเลโออยากลงไปดูหรือคะ”
“ผมแข็งแรงดีแล้วนะ ขอไปดูด้วยคนเถอะนะครับ”
เขายิ้มที่มุมปาก ไนรานิ่งคิดไปนิดหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ เธอเดินเข้าไปจะช่วยพยุง แต่ซาคีลลุกขึ้นนั่งเรียบร้อย ร่างเล็กๆ จึงเดินไปหยิบเสื้อมาให้เขาสวมแล้วเดินนำมาที่หมาย
ลานบ้านบริเวณด้านหลังซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น กีวอนและคนสวนชายคนหนึ่งเพิ่งช่วยกันยกกระดานไวท์บอร์ดออกมา
เด็กๆ อายุประมาณแปดถึงสิบสองปีจำนวนสิบสามคนเป็นเด็กผู้ชายเสียสิบเอ็ดคนและอีกสองคนเป็นผู้หญิง แม้เด็กๆ จะแต่งตัวมอมแมมแต่แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น
“สวัสดีจ๊ะเด็กๆ เราเจอกันเป็นครั้งที่สองแล้วนะ” จัสมินทักทายด้วยน้ำเสียงดังและสดใส เด็กๆ ต่างทักทายตอบเธออย่างเป็นกันเองมากขึ้น ผิดกับครั้งแรกที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าพูดจาอะไรกันนัก
“วันนี้ถ้าใครเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนจะมีขนมอร่อยๆ ของพี่ไนราด้วยนะจ๊ะ”
พอจัสมินพูดเรื่องของกินเด็กๆ ก็เริ่มน้ำลายสอ เพราะขนมฝีมือไนราอร่อยไม่แพ้ใคร เมื่อครั้งที่ผ่านมาก็ได้ขนมนมเนยหิ้วกลับบ้านไปคนละถุงสองถุงเลยทีเดียว
“อย่าเห็นแก่กินละ ตั้งใจเรียนด้วย” น้ำเสียงเข้มๆ ดุๆ และสายตาคมกริบของกีวอนทำให้เด็กๆ อดกลัวไม่ได้ เขามักจะทำหน้านิ่งไร้อารมณ์เวลาที่องค์หญิงจัสมินทรงสอนหนังสือเด็กเร่ร่อนเหล่านี้
“เอาละ วันนี้เรามาทบทวนของเดิมก่อนนะจ๊ะ เอ้า!ใครตอบได้บ้างว่า คราวที่แล้วเราเรียนอะไรกันใครตอบได้ยกมือขึ้น พี่จัสมินมีสมุดสวยๆ ให้เป็นของรางวัล”
จัสมินหยิบสมุดบันทึกเล่มสวยขึ้นมาโชว์อวดเด็กๆ เอาเด็กๆ รีบแย่งกันยกมือขึ้นตอบ หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ไม่รู้จะเลือกใครขึ้นมาตอบเพื่อรับของรางวัลดี กีวอนใช้สายตาดุๆ จ้องเขม็งไปยังร่างเล็กๆ ที่ยกมืออย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะเรียกชื่อเด็กชายออกมาด้วยเสียงอันดังจนเด็กๆ พากันสะดุ้งโหย่ง
“อาลี!”
