บทที่9. ละล้าละลัง
คิ้วหนาของกีวอนขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นร่างบอบบางของไนรา ยืนละล้าละลังอยู่หน้าบานประตูห้องคนเจ็บ ในมือประคองถาดกาแฟ 2 ถ้วยและขนมปังปิ้ง ชายหนุ่มผมสั้นเกรียนอดถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้ บ้านหลังนี้มีคนรับใช้มากมายแต่คนหนูคนเดียวของบ้านกลับขี้เกรงใจไม่ยอมเรียกให้คนอื่นมาช่วยทั้งที่งานพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเธอเลยสักนิดและนี่...ก็คงจะเปิดประตูไม่ได้ละซิ
“หึ...หึ”
“คุณกีวอน”
ใบหน้าหวานหันมาทางเสียงหัวเราะในลำคอ อยากจะยิ้มที่เห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ แต่พอเห็นแววตาที่ขบขันก็ทำเอาเธอค้อนวงใหญ่เข้าให้ ก็ดูสิ! เธอถือของหนักขนาดนี้ยังมายืนหัวเราะเธออีก
“อยู่ด้วยกันเป็นเดือนยังทำเป็นจำหน้ากันไม่ได้อีก” เขาเอ่ยเสียงเข้มแต่ก็เอื้อมมือไปเปิดประตูให้ ใจจริงอยากแกล้งคนตัวเล็กอีกหน่อยแต่ก็อดสงสารไม่ได้
“ทะ...ทำ...ทำไมพูดจาแบบนี้ละคะ!” ใบหน้าหวานใสแดงกล่ำขึ้นมาทันที นี่ถ้าใครมาได้ยินเข้าคงเข้าใจผิดคิดว่าเธอกับเขา ‘อยู่ด้วยกัน’ จริงๆ
“พูดอะไร?” กีวอนขมวดคิ้วยุ่งลองนึกทบทวนสิ่งที่พูดไปเมื่อสองสามนาทีที่ผ่านมา ก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา แต่เมื่อเห็นผู้เป็นนายที่นั่งหน้ายุ่งบนเก้าอี้ใกล้เตียงคนเจ็บ คิ้วก็แทบจะขมวดผูกกันเป็นเงื่อนตายเลยทีเดียว
‘บอกแล้ว...อย่าอ่านข่าวตอนช้าก็ไม่เชื่อ’ กีวอนบ่นในใจแต่ก็ช่วยไนรายกกาแฟส่งให้คนเจ็บซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดกับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสองสามฉบับบนเตียงเหมือนกัน
“เกิดสึนามิที่ไหนหรือครับคุณจัสมิน” น้ำเสียงนิ่งขรึมของกีวอนทำให้จัสมินเงยหน้าขึ้นพลางถอดแว่นสายตาออก
“ทั่วโลกเลยนะซิ เนี่ยสึนามิทางเศรษฐกิจเลยละ” จัสมินรับถ้วยกาแฟจากไนราขึ้นมาดมกลิ่นหอมละมุน “กาแฟของไนราเนี่ยแค่ได้กลิ่นก็หายเครียดไปเยอะเชียว”
ไนราได้แต่ยิ้มอายๆ เป็นการรับคำชมนั้น แต่พอหันไปเจอใบหน้าคมเข้มขององครักษ์หนุ่มใหญ่เธอก็ชักสีหน้าแล้วสะบัดหน้าหนีทันที
“ไม่ค่อยเห็นผู้หญิงดื่มกาแฟดำ” ซาคีลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ “คุณคิดว่ามันเป็นหนักขนาดนั้นเลยหรือ”
“อะไรคะ?” จัสมินเอียงคอถามอย่างน่ารักแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างนึกได้ “อ้อ! แน่นอนฉันเชื่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เมื่อราวๆ สิบห้าปีที่แล้วประเทศทางฝั่งเอเชียก็เคยเกิดภาวะวิกฤตอย่างที่อเมริกาเป็นกัน”
“ท่าทางคุณจะหลงใหลประเทศฝั่งเอเชียเสียจริง”นับวันผู้หญิงคนนี้จะมีอะไรให้เขาชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ
“ก็โลกคือสถานที่แห่งการเรียนรู้นี่ค่ะ” จัสมินหัวเราะระรื่น “ฉันหลงใหลคลั่งไคล้ตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจเชียวละ ฉันเชื่อว่าพวกมันซื่อสัตย์ที่สุด”
“คุณกำลังจะบอกว่าเหมือนจิตใจคนที่ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างนั้นหรือ?” ซาคีลย้ำและได้คำตอบจากจัสมินเป็นการพยักหน้ารับ
“ก็ตัวเลขมันซื่อสัตย์จริงๆ นี่ เราสามารถหาเหตุผมหรือสูตรการคำนวณมารอบรับความเป็นไปของมันได้ แต่หากเป็นเรื่องปรัชญาแล้ว มันเป็นเรื่องของเหตุและผล ซึ่งแต่ละลัทธิความเชื่อก็จะแตกต่างกันไป”
“ผมรู้สึกเหมือนยืนอยู่นอกโลกยังไงก็ไม่รู้” กีวอนเปรยออกมาอย่างเจตนาให้องค์หญิงได้ยิน ทำให้จัสมินหัวเราะเสียงใสออกมา
“โอเค ฉันผิดเองแหละ” จัสมินยกมือยอมแพ้ “แล้วคนปกติเค้าคุยอะไรกันละ”
“ก็คุยเรื่องข่าวสารบ้านเมืองของเรา หรือไม่ก็ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอาเนียไงครับ ทำไมเราต้องพูดถึงแต่พวกอเมริกา หรือยุโรป”
“อาเนีย?” จัสมินเลิกคิ้วสูงเป็นการตั้งคำถาม
“คุณจัสมินไม่รู้จักประเทศอาเนียหรือคะ” ไนราทำตาโตอย่างไม่เชื่อ และทำให้ซาคีลทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันที
ก็...ถึงแม้ว่าประเทศของเขาจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความมันจะหาไม่เจอบนแผนที่โลกนี่นะ!
“ใช่ประเทศเดียวกับอาเนียดาเรหรือเปล่า” จัสมินถามย้ำพลางหยิบขนมปังกรอบขึ้นมากัดกิน
“ใช่แล้วครับ แต่พวกเราชาวพื้นเมืองมักเรียกสั้นๆ ว่าอาเนีย” กีวอนถอยหายใจอย่างโล่ง อกที่เจ้านายของตนเองก็ไม่ได้โง่งมขนาดไม่รู้จักประเทศเพื่อนบ้านของตนเอง
“ได้ข่าวว่าเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทหารับจ้างและกองโจรทะเลทรายใช่ไหมนะ” จัสมินหันไปถามกีวอนหวังจะได้พึ่งพาคนของตนเองได้บ้าง
“ข่าวว่าเป็นเช่นนั้น” กีวอนก้มศีรษะยอมรับ “และเป็นประเทศที่มาอาณาเขตติดกับบาฮาเนียของเรา”
“ไม่มีประเทศไหนส่งทหารเป็นสินค้าส่งออกหรอกนะกีวอน” จัสมินยิ้มที่มุมปาก “ฉันว่ามันเป็นข่าวสร้างภาพมากกว่า”
ประโยคของจัสมินทำให้ซาคีลกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาสีควันบุหรี่จับจ้องใบหน้างดงาม แม้จะไร้เครื่องสำอางแต่กลับเปล่งประกายราวน้ำค้างที่กระทบแสงตะวัน
